บทที่ 930 เต๋าแห่งสวรรค์พิโรธ
บทที่ 930 เต๋าแห่งสวรรค์พิโรธ
“พวกเจ้าคิดว่าผู้ใดชนะ หากการต่อสู้ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป?”
“พูดตามตรง ข้ารู้สึกว่าเฉินซีในยามนี้น่าเกรงขามกว่าก่อนหน้านี้นัก จึงเป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายมีชัยในการประลองนี้ อยากไรเสีย การที่เขาสามารถเผชิญหน้ากับปิงซื่อเทียนได้ขณะที่บรรลุเพียงขอบเขตเซียนปฐพี ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!”
“ตอบยากเหมือนกันนะ นอกเสียจากว่าทั้งคู่จะมีไพ่ตายซ่อนอยู่ ไม่อยากนั้นแล้วก็ยากจะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
การประลองดำเนินมาถึงจุดที่เกินความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว คล้ายกับว่าพวกเขากำลังชมการต่อสู้ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งบรรพกาล ดังนั้นผู้ชมทั้งหลายจึงไม่กล้าตัดสินโดยผลีผลาม
ปัง!
ไม่นานนัก ฝ่ามือที่ทรงพลังประหนึ่งถือครองตะวันและจันทราของปิงซื่อเทียนก็ปรากฏผนึกเซียนโบราณขึ้น ผนึกนี้ปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงขณะที่มันพุ่งเข้ามายังร่างของเฉินซีอย่างดุดัน แสงสีม่วงเหลือบทองบนฝ่ามือของเขาเรืองอร่ามด้วยประกายแห่งสวรรค์ พร้อมกันนั้น ทั้งภูเขาเซียน ตำหนักเซียน ระฆังเซียน รวมไปถึงปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่อื่น ๆ ก็เกิดขึ้นรอบกายเขา
นี่เป็นหนึ่งในการโจมตีปิดฉากศัตรูประเภทหนึ่ง ศาสตร์เซียนถูกหลอมรวมเป็นผนึกซึ่งสำแดงถึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ พลังของมันรุนแรงเสียจนสามารถบดขยี้อาณาบริเวณอันไพศาล!
ฉับ! ฉับ!
เฉินซีก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เขาพุ่งตัวเข้าใส่ผนึกดังกล่าวโดยปราศจากความกลัวด้วยความเร็วสูงสุดและไม่คิดหลบหลีกแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน อักขระยันต์จำนวนมากได้ไหลเวียนโคจรรอบกายอย่างหนาแน่น ส่งเสียงคำรามประหนึ่งกำลังปลดปล่อยพลังอันแสนดุดันออกมา
เมื่อเข้าประจันหน้ากับปิงซื่อเทียน ชายหนุ่มลดการป้องกันลงและโคจรปราณเซียนออกมาจนถึงขีดจำกัด ทันทีที่พลังทั้งสองปะทะกัน เสียงดังกึกก้องพลันคำรามลั่น ทำให้ผู้คนโดยรอบตกตะลึง
ตึ้ง!
การปะทะกันระหว่างกระบี่และฝ่ามือส่งผลให้ประกายแสงสีม่วงเหลือบทองปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิด ในขณะที่อักขระยันต์ไหลทะลักไม่ต่างม่านน้ำตก ทั่วทั้งฟ้าดินในขณะนี้สั่นสะเทือนไปด้วยเสียงกัมปนาท ราวกับโลกใบนี้ถึงวาระแตกสลาย
การลงมือระยะประชิดเช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัว อำนาจจิตสังหารสร้างการสั่นสะเทือนราวเสียงกองศึกที่กระหึ่มไปทั่วแดนสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ทำให้ผู้ได้ยินปวดแสบทั้งแก้วหู แม้แต่วิญญาณก็คล้ายถูกฉีกกระชาก
ผู้ชมต่างตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้เห็น หัวใจของพวกเขาเต้นรัวด้วยความตกตะลึงอันบรรยายไม่ได้
นี่เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งการบ่มเพาะของแดนภวังค์ทมิฬในรอบหมื่นปี การต่อสู้ที่มีชีวิตและความตายเป็นเดิมพันนี้สั่นคลอนทั้งแดนสวรรค์และปรโลกให้สั่นสะเทือน!
ตู้ม!
ตอนนั้นเอง เฉินซีทะยานข้ามแผ่นฟ้าพร้อมกับกระบี่ในมือ เขาเคลื่อนไหวร่างกายรวดเร็วประหนึ่งเดินทางผ่านช่องว่างแห่งมิติไปพร้อมกับบรรดาอักขระยันต์ที่โอบล้อม ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยพลังโจมตีอันรุนแรงออกมาพร้อมกับร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา!
ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีหลังจากเก็บตัวบ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ได้เปลี่ยนแปลงแสงกระบี่ในมือของเขาไปอย่างสมบูรณ์ ทุกที่ที่คมกระบี่ส่องไปถึง แผ่นดินแห่งนั้นต้องสยบยอมและถูกตัดผ่าออกเป็นสอง
ท่าทางของปิงซื่อเทียนพลันเปลี่ยนไป เขาเร่งฝีเท้าหลบการโจมตีจากอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงสุด
ตู้ม!
แรงสั่นสะเทือนของปราณกระบี่ฟาดลงไปยังพื้นดิน สร้างรอยแยกที่มีความลึกราวหกสิบลี้ อีกทั้งราวกับว่าหุบเหวลึก ภูเขา ทะเลสาบ และแม้แต่พฤกษาพงไพรที่อยู่โดยรอบรอยแยกได้ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนก่อนจะแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ
ทุกคนต่างประหลาดใจ ด้วยพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะวางแผนลงมือตอบโต้โดยใช้พลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
ฟึ่บ!
เฉินซีกลายเป็นดั่งมังกรที่สง่างามยิ่ง ทั้งจิตวิญญาณ พลัง และแก่นแท้ของเขาสว่างเรืองรองยามที่เจ้าตัวเริ่มตวัดกระบี่อีกครั้ง โดยไม่รอให้ปิงซื่อเทียนได้ตั้งตัว!
การโจมตีครั้งนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มไล่ตามปิงซื่อเทียนอย่างดุเดือด ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีจังหวะพักหายใจแม้แต่น้อย
คิ้วของปิงซื่อเทียนขมวดเกร็ง ภายใต้การโจมตีตรงหน้า เซียนทองคำเช่นเขาไม่มีโอกาสหลบหลีก ได้แต่ย่อตัวลง พร้อมกับซัดฝ่ามือออกไป โดยตั้งใจจะต้านรับการโจมตีด้วยกระบี่ของอีกฝ่ายโดยตรง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
คนทั้งคู่ซัดกระบวนท่ากันไปมาร่วมพันครั้ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ภาพที่น่าสะพรึงกลัวได้บังเกิดแก่สายตาของผู้คน ปิงซื่อเทียนตัวสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาล่าถอยไปข้างหลังเรื่อย ๆ ไม่อาจตั้งหลักและกลับมารุกคืบได้เลย ขณะเดียวกัน ที่มุมปากของเจ้าตัว…ก็ได้เปียกชุ่มไปด้วยโลหิต!
ในอีกฟากหนึ่ง เฉินซีกลับดูองอาจมาก ยิ่งเขาโจมตีมากเท่าไร กลิ่นอายอันสง่างามของชายหนุ่มก็ยิ่งทอประกายราวสายรุ้ง รุกประชิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังขึ้นมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ ปิงซื่อเทียนพลันกวาดขาขึ้นเตะด้วยความเร็วที่ว่องไวประหนึ่งลูกธนูหลุดจากคันศร มันทั้งแม่นยำ ทรงพลัง และเหี้ยมโหดเกินบรรยาย
แกร็ก!
แม้เฉินซีจะหลบหลีกด้วยความเร็ว แต่ไหล่ซ้ายของเขาก็ยังถูกแข้งนั้นกระแทกเข้าอย่างแรง
เห็นได้ชัดว่าปิงซื่อเทียนได้สั่งสมกำลังสำหรับการโจมตีครั้งนี้อยู่นานทีเดียว มันอัดแน่นไปด้วยปราณเซียนและกฎที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้จำนวนมาก นับเป็นการโจมตีที่ทรงพลังและดุดันอย่างยิ่ง
เฉินซีที่ถูกแรงกระแทกได้กระอักเลือดออกมา ขณะที่ความเจ็บปวดจากไหล่ซ้ายแผ่ซ่านไปทั่วจนขยับร่างกายได้ยากลำบาก …ปราณเซียนและกฎซึ่งโจมตีเข้ามานั้น ทำให้เขาไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บได้ในทันที
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแขนซ้ายของชายหนุ่มไม่สามารถใช้ต่อสู้ได้ชั่วคราว
“ที่แท้ปิงซื่อเทียนก็แสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อรอจังหวะสวนกลับในคราวเดียว!” ผู้ชมต่างประหลาดใจเมื่อเห็นความลับที่ซุกซ่อนไว้เบื้องหลังการโจมตีนี้
“เฉินซีตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตแล้ว!”
“แขนซ้ายของเขาใช้การไม่ได้ หากเป็นเวลาปกติ มันคงไม่มีผลอะไร แต่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ อาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็มากพอที่จะตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว!”
“หรือว่าศึกนี้ใกล้จะปิดฉากแล้ว?”
บรรดาผู้อยู่โดยรอบพากันตื่นตะลึง ดวงตาของพวกเขาวูบไหวขณะที่จ้องมองไปยังคนทั้งสองตาไม่กะพริบ หลาย ๆ คนรู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้น่าจะจบลง เนื่องจากอาการบาดเจ็บดังกล่าวเพียงพอที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การต่อสู้โดยรวม
“เขาไม่แพ้อย่างแน่นอน” ชิงซิ่วอี้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่สุขุมและสงบนิ่ง ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นจนถึงตอนนี้ นางทำเพียงเฝ้าดูการต่อสู้เงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“เหตุใดกัน?” เลี่ยเผิงถามอย่างประหลาดใจ
“พลังของปิงซื่อเทียนใกล้มาถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมปล่อยให้ภาพลักษณ์ของตัวเองเสียหายเพื่อรอเวลาโจมตีเฉินซีอย่างกะทันหันเช่นนี้หรอก” ชิงซิ่วอี้พูดเสียงเนิบช้า ดวงตาที่ใสกระจ่างดุจผืนน้ำของนางสะท้อนภาพการประมือที่อยู่ไกลออกไป
เลี่ยเผิงเข้าใจในทันที ใช่แล้ว! หากปิงซื่อเทียนเหลือพลังอยู่เต็มเปี่ยม อีกฝ่ายคงลงมือคว้าชัยชนะมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีทางจะยอมล่าถอยซ้ำ ๆ เพื่อรอจังหวะโจมตีเช่นนี้แน่
จริงอยู่ที่มันอาจจะเป็นกลยุทธ์ประเภทหนึ่ง แต่การที่คนยิ่งยโสและชอบวางตัวสูงส่งอย่างปิงซื่อเทียนใช้มัน ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย
“เช่นนั้น เฉินซีจะไม่แพ้สินะ” เลี่ยเผิงมีหน้าตาที่สดใสขึ้น
“หากอยู่ในภพเซียน เฉินซีจะต้องเป็นฝ่ายปราชัยอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ที่นี่คือภพมนุษย์ ยิ่งปิงซื่อเทียนใช้ศาสตร์เซียนและกฎมากเท่าไร เขาก็ยิ่งสูญเสียพลังไปมากเท่านั้น เขาน่ะไม่สามารถเติมเต็มพลังที่ใช้ไปภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้หรอก” ชิงซิ่วอี้วิเคราะห์อย่างมั่นใจ
“แต่เฉินซีเองก็ใช้ปราณเซียนไปมากเช่นกะ…” ยังไม่ทันทีเลี่ยเผิงจะพูดจบ เขาก็ต้องปิดปากสนิท
นั่นเป็นเพราะเจ้าตัวสังเกตเห็นว่า ความแข็งแกร่งของเฉินซีไม่ได้แสดงสัญญาณว่าอ่อนกำลังลงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ชายหนุ่มยังคงดูมีพลังล้นเหลือ และขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบทีละน้อย!
“นี่คือกลยุทธ์ของเฉินซี” ชิงซิ่วอี้เอ่ยเสียงเบา
ตึง!
เป็นอย่างที่ชิงซิ่วอี้วิเคราะห์ไว้ แม้แขนซ้ายของเฉินซีจะขยับไม่ได้ ทว่าความสามารถในการต่อสู้ของชายหนุ่มไม่ได้ลดลงเลย เขายังเคลื่อนไหวด้วยท่าทางน่าเกรงขามท่ามกลางผืนฟ้าคราม
ตอนนั้นเอง… เฉินซีได้ทำให้ปิงซื่อเทียนต้องถอยกรูดไปไกลกว่ายี่สิบลี้ จากการฟาดด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียว!
สายตาของผู้ชมแทบจะถลนออกจากเบ้าอย่างคลางแคลงใจ พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าเฉินซีจะสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ที่น่าจะรู้ผลไปแล้วได้
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่ปิงซื่อเทียนก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาตะโกนถามด้วยความประหลาดใจและงุนงงว่า “เป็นไปไม่ได้! มดปลวกจากภพมนุษย์เช่นเจ้าจะมีความแข็งแกร่งที่ล้ำลึกเช่นนี้ได้อย่างไร!?”
ขวับ!
เฉินซีไม่ยี่หระต่อเสียงตะโกนนั้น เขาสะบัดยันต์ศัสตราในมือ ส่งมันเคลื่อนไหวราวกับสายธารแห่งดวงดาวที่ตกลงจากผืนฟ้า ทำให้ร่างของปิงซื่อเทียนสะท้านสั่น กระอักเลือดออกมาเสียจนเสื้อผ้าอันประณีตถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉาน
เฉินซีรู้อยู่แล้วว่าสภาพของอีกฝ่ายไม่ต่างจากธนูง้างสุดปลาย ด้วยเหตุนี้ เขาจะปล่อยให้ปิงซื่อเทียนมีโอกาสได้หายใจหายคอ และตั้งหลักได้อย่างไร?
ตอนนี้แหละ ถึงเวลาที่เขาต้องบดขยี้ปิงซื่อเทียนในคราวเดียวแล้ว!
“บัดซบ! นี่เจ้าวางแผนไว้แล้วสินะ!” หลังจากถูกโจมตีกลับอย่างต่อเนื่อง ปิงซื่อเทียนก็โกรธจัดเสียจนตาแดงก่ำ เขาตะโกนออกมาด้วยเสียงเหี้ยม
ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า เฉินซีมีสมบัติล้ำค่าซึ่งสามารถเติมเต็มปราณเซียนให้แก่ตนเองอย่างไม่มีขีดจำกัด
เพราะแบบนี้ ชายหนุ่มจึงวางแผนตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ โดยทำให้พลังของปิงซื่อเทียนค่อย ๆ หมดลง
ตึ้ง!
เฉินซีแสร้งทำหูทวนลม พลังของเขากล้าแกร่งขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มโจมตีไปยังปิงซื่อเทียนโดยกระบี่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยปราณ ส่งผลให้อีกฝ่ายถูกฟาดจมพสุธา สร้างหลุมลึกไว้ที่พื้นดินจนมิอาจคะเนจุดสิ้นสุดได้
บรรดาผู้ชมโดยรอบตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ ทำให้พวกเขาสับสน
มีเพียงไม่กี่คนที่จับเงื่อนงำบางอย่างได้ พวกเขาตกใจไม่น้อยเมื่อได้รู้ว่านับแต่ที่การต่อสู้เริ่มต้นนั้น เฉินซีได้วางหมากไว้เต็มกระดานมาตั้งแต่แรกแล้ว!
“บัดซบ! เจ้าคิดว่าตัวเองชนะแล้วหรือไร?” ปิงซื่อเทียนหยัดตัวขึ้นจากพื้นที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงคำรามกู่ก้อง เขาพุ่งขึ้นไปพร้อมด้วยผมเผ้ากระเซิง ท่าทางเหี้ยมโหดของเจ้าตัวแฝงไปด้วยความโกรธจัด บัดนี้ ความสง่างามอย่างเซียนทองคำบนร่างกายได้สลายหายสิ้นแล้ว
ขณะเดียวกัน เฉินซียังคงโจมตีต่อไปโดยไม่ได้พูดตอบโต้แม้ประโยคเดียว
ปิงซื่อเทียนที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะด้วยแรงโทสะออกมา “เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยม! ในที่สุดเจ้าก็บีบให้ข้าใช้ศาสตร์ต้องห้ามนี้ เจ้ามดปลวกเอ๋ย อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ตายอย่างสมเกียรติ!” เขากัดฟันกรอด
ตู้ม!
ทันทีที่พูดจบ หลุมดำจำนวนมากพลันปรากฏขึ้นโดยรอบ ปราณเซียนซึ่งยิ่งใหญ่หาใดเปรียบแผ่ซ่านออกมาจากกายของปิงซื่อเทียน มันพุ่งขึ้นไปบนผืนฟ้าและทลายชั้นมวลเมฆ ก่อนจะแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้วงจักรวาล
ตอนนั้นเอง ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสั่นสะท้านด้วยความหวาดประหวั่นยามทอดเงาลงบนพื้นโลก ได้ถูกปลดปล่อยจากร่างกายของปิงซื่อเทียน!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ท้องฟ้าที่เดิมเคยสดใส บัดนี้ถูกเมฆดำทะมึนกว้างใหญ่ปกคลุม ชั้นเมฆสีดำสนิทหนาทึบเหล่านั้นยังแผ่รัศมีแห่งการลงทัณฑ์ให้ปรากฏสู่สายตา!
“สวรรค์! เขาทำให้เต๋าแห่งสวรรค์สั่นสะเทือน!”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! นี่แปลว่าการโจมตีครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าข้อจำกัดที่ภพมนุษย์จะรับได้ จนแม้แต่เต๋าแห่งสวรรค์ก็ไม่อาจทานทน!”
“หรือว่าเขาไม่กลัวถูกเต๋าแห่งสวรรค์ลงทัณฑ์กัน?”
ผู้ชมที่อยู่ห่างไกลรู้สึกแน่นหน้าอก ใบหน้าของพวกเขาถอดสีซีดเผือด ผู้คนทั้งหลายต่างสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวเกิดต้านทานผ่านปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า มันทำให้ทั่วทั้งร่างของทุกคนเป็นต้องขนลุกเกรียว แม้แต่ดวงจิตแห่งเต๋าก็คลอนไหวด้วยความหวาดหวั่น
เพราะนั่นคืออำนาจของเต๋าแห่งสวรรค์ มันล้ำลึกยากหยั่งถึง ยามใดที่มันพิโรธ ยามนั้นพลังของมันจะทรงอานุภาพเพียงพอที่จะทำลายล้างสิ้นทั้งภพมนุษย์!
แม้แต่เฉินซีก็ยังหยุดการเคลื่อนไหวลงในตอนนี้ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่ร่างอาบไล้ไปด้วยแสงทองธรรมเทพอันไร้ที่สิ้นสุด
ชายหนุ่มรู้ชัดว่าถึงแม้พลังของเต๋าแห่งสวรรค์จะไม่ได้มุ่งหมายจัดการตัวเขา แต่เฉินซีก็ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ให้ดี เนื่องด้วยเขานับเป็น ‘สิ่งแปลกหลอม’ เช่นกัน!
“ป้ายคำสั่งเซียนกฎลึกล้ำ ประกาศิตพิสูจน์เทพ!” ปิงซื่อเทียนคำรามขึ้นไปยังแผ่นฟ้าเบื้องบน เมื่อเขาพลิกฝ่ามือ ประกาศิตก็พลันปรากฏขึ้น มันเป็นลำแสงสีทองที่สว่างไสวและเปล่งประกายเจิดจ้า ยามมันถูกอวดโฉมสู่สายตา มันได้มอบความรู้สึกสูงส่งให้แก่ผู้พบเห็น ทำให้พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่าได้คุกเข่าสยบยอม
มันเป็นประกาศิตแห่งภพเซียนซึ่งถูกตราไว้ด้วยเจตจำนงขั้นสูงสุดของภพเซียนที่มีความเป็นเอกภาพยิ่ง!
ขวับ!
ทันทีที่ประกาศิตนี้ปรากฏขึ้น อำนาจทัณฑ์จากเต๋าแห่งสวรรค์ที่บรรจบยังแผ่นฟ้าก็คล้ายตรวจพบบางสิ่งเข้า มันสลายตัวไปอย่างรวดเร็วคล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทว่ากลิ่นอายที่เปล่งประกายมาจากปิงซื่อเทียนหาได้สูญสลายไปด้วย ตรงกันข้าม เขากลับดูน่าเกรงขามยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว!
“ฮ่า ๆๆ! เจ้ามดตัวจ้อย เจ้าเห็นหรือไม่? ข้าน่ะเป็นตัวแทนแห่งภพเซียน และแม้แต่เต๋าแห่งสวรรค์ก็ไม่อาจทำอันใดข้าได้ แล้วเจ้าจะคู่ควรกับคนอย่างข้าได้เช่นไร?” ปิงซื่อเทียนในยามนี้ได้สำแดงท่าทางโอหังออกมาอย่างเปิดเผย ผมยาวของเขาพลิ้วสะบัดไปตามสายลม ให้ความรู้สึกสูงส่งเย่อหยิ่ง!