บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 942 มาพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 942 มาพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์

บทที่ 942 มาพร้อมกับผู้เยี่ยมยุทธ์

เป้ยหลิงกระอักเลือดออกมา ในขณะที่ใบหน้างามของนางซีดเซียว

สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษคือมีรูเลือดที่ไหล่ขวาของนาง และปราณสีดำก็ส่งเสียงฟู่ ๆ อยู่บริเวณรอบ ๆ บาดแผลราวกับมันกำลังกัดกร่อนผิวหนังของนาง

ถึงอย่างนั้น สีหน้าของหญิงสาวก็ยังคงเย็นชา แต่ดวงตาที่จ้องมองไปยังชิงเซียวกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ที่แท้มันก็คือกระบี่พิสดารไร้เสียง! เจ้าเป็นศิษย์ของวิถีนรกกระมัง?”

ชิงเซียวตกตะลึง จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าสายตาของเจ้าจะเฉียบแหลมขนาดนี้”

ความหมายในคำพูดของเขาคือการยอมรับโดยปริยาย

“ในบรรดาหกวิถีสังสารวัฏ วิถีนรกทำหน้าที่ไล่ล่าและปราบปราม พวกเขาถูกเรียกว่าตุลาการนรก แต่เท่าที่ข้าทราบมา ตุลาการนรกต้องได้รับมอบหมายจากผู้บังคับลงทัณฑ์ในกรมราชทัณฑ์เสียก่อน จึงจะเคลื่อนไหวได้ การทำโดยไม่ได้รับอนุญาตและสร้างปัญหาให้แก่ข้าครั้งนี้ถือเป็นข้อห้ามอย่างยิ่ง!”

เป้ยหลิงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เพราะข้าไม่ใช่อาชญากรหรือวิญญาณร้าย และข้าไม่เคยฝ่าฝืนกฎของนรกใต้พิภพ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจ้าจงใจทำร้ายข้า และถ้าข่าวนี้แพร่กระจายกลับไปยังนรกใต้พิภพ ผู้บังคับลงทัณฑ์อาจจะไม่ยกโทษให้เจ้า”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชิงเซียวไม่เพียงไม่เกรงกลัว แต่ความดูถูกเหยียดหยามกลับฉายวาบในดวงตาของเขาแทน และเขาดูจะปรายตามองเป้ยหลิงด้วยความสมเพช “ถ้าเป็นช่วงยุคสมัยของจักรพรรดิยมโลก ข้าคงกลัวอย่างมากกับสิ่งที่เจ้ากล่าวถึง”

เขาหยุดชั่วขณะแล้วส่ายศีรษะ แล้วจึงกล่าวว่า “น่าเสียดาย เจ้าคงลืมบางอย่างไป ยมโลกไม่เพียงจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย แม้แต่นรกใต้พิภพก็ยังยุ่งเหยิงเช่นกัน หกวิถีสังสารวัฏกำลังทำหน้าที่ของมัน และราชานรกทั้งสิบได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย แม้กระทั่งกรมราชทัณฑ์ก็ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในที่ไม่รู้จบในตอนนี้”

“ส่วนโถงน้ำพุยมโลก โถงยายเฒ่าเมิ่ง เมืองผู้หลงผิด และห้าทวารแห่งนรก ล้วนแต่กำลังรวบรวมกองทัพของพวกมัน และคอยเฝ้าดูด้วยความโลภ ตั้งใจที่จะแย่งชิงอำนาจ ด้วยเหตุนี้ แล้วผู้ใดจะยังคงทำตามกฎที่จักรพรรดิยมโลกได้กำหนดไว้ในอดีต?”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชิงเซียวก็แฝงไปด้วยความสมเพช “เจ้าคงปิดด่านบ่มเพาะมานานเกินไป และคงหลงลืมไปแล้วว่านี่ไม่ใช่ยุคที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามครองราชย์ ช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน ที่ตัวเจ้านั่นคิดว่ากรมราชทัณฑ์จะผดุงความยุติธรรมให้แก่เจ้า? เจ้าช่างน่าสมเพชเสียจริง”

เป้ยหลิงตกตะลึง นางเม้มริมฝีปากสีแดงเบา ๆ ในขณะที่ใบหน้าเย็นชาได้เผยให้เห็นถึงความผิดหวังเล็กน้อยเป็นครั้งแรก และดูเหมือนหญิงสาวไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะวุ่นวายขนาดนี้

“ดูเหมือนว่าข้าอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะนานเกินไป…” นางถอนหายใจแผ่วเบา

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ชิงเซียวก็พึงพอใจมาก จากนั้นเขาก็กล่าวช้า ๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าติดกับดักแล้ว และเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ยอมสวามิภักดิ์ต่อข้าอย่างเชื่อฟัง มิฉะนั้นอย่าได้ตำหนิข้าที่จะขัดเกลาเจ้าในตอนนี้!”

เป้ยหลิงถอนหายใจ “โลกพังสลายและกฎเกณฑ์ก็ถูกละเลย น่าเสียดาย ความพยายามอันอุตสาหะของจักรพรรดิยมโลกได้หายไปกับสายลมแล้วในตอนนี้…” เสียงของนางเบาลงเรื่อย ๆ

“นี่คือผลของเวลาและโชคชะตา ไม่ว่าจักรพรรดิยมโลกจะน่าเกรงขามเพียงใด เขาก็ยังคงถูกฝังด้วยน้ำมือของทวยเทพและพุทธองค์ทั้งหลายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าใจสถานการณ์ที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่เสียเถอะ” ชิงเซียวกล่าว

วูบ!

ทว่าเสียงของเขายังไม่ทันเลือนหายไปจากอากาศ เป้ยหลิงกลับเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ปลายนิ้วของนางอาบไปด้วยประกายดาบสีเงินเข้มที่ฉีกความว่างเปล่าออกจากกัน เข้าโจมตีใส่ชิงเซียวโดยตรง!

“เจ้า…ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรมิควรจริง ๆ!” ชิงเซียวอดไม่ได้ที่จะเดือดดาล เมื่อเห็นว่าสตรีผู้นี้ยังคงดื้อรั้น แม้เขาจะเสียเวลาเกลี้ยกล่อมก็ตาม ทำให้จิตสังหารฉายชัดอยู่ในแววตา และยุติความลังเลที่จะลงมือสังหารเป้ยหลิงดีหรือไม่ไป

เคร้ง!

ประกายดาบสีน้ำเงินเข้มแตกเป็นเสี่ยง ๆ ชิงเซียวหัวเราะอย่างชั่วร้ายและกล่าวว่า “นังแพศยาน้อย ข้าชิงเซียวได้ทรมานและฆ่าสตรีมานับไม่ถ้วน และวันนี้ตัวข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองบ้าง!”

ขณะกล่าว จู่ ๆ ร่างของเขาก็สว่างวาบ กระบี่สีดำที่ทั้งแคบและเรียวยาวในมือพลันลอยขึ้น ก่อนจะระเบิดประกายกระบี่นับไม่ถ้วนที่ส่งเสียงหวีดหวิว ขณะที่เข้าปกคลุมร่างของผู้เป็นเจ้าของไว้

เคร้ง!

แต่ในขณะที่กำลังจะลงมือ จู่ ๆ ก็มีมือปรากฏขึ้นจากอากาศทางด้านหลัง ทำให้ชิงเซียวประหลาดใจ ทว่าโดยที่ยังไม่ได้ทำอันใด มือดังกล่าวพลันคว้าคอไว้แน่นก่อนจะบีบ ทำให้กระดูกคอของชิงเซียวแตกเป็นเสี่ยง ๆ บังเกิดเป็นเสียงแตกหักที่ดังชัดเจน!

ทันใดนั้น ลูกตาของชิงเซียวก็แทบถลน ในขณะที่การหายใจได้กลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา ดั่งมัจฉาที่กำลังใกล้ตายและดิ้นรนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

น่าเสียดายที่มือข้างนั้นเหมือนภูเขาที่ไม่ขยับเขยื้อน และมันค่อย ๆ บีบแน่นขึ้น

“อึก…อึก…” เสียงแปลก ๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอของชิงเซียว แต่เขากล่าวอะไรไม่ได้แม้แต่คำเดียว และแม้เจ้าตัวต้องการหันกลับไปดู มันก็น่าเสียดายที่การกระทำง่าย ๆ เช่นนี้ก็ยังไม่สามารถทำให้สำเร็จได้!

ตู้ม!

ลำคอของชิงเซียวระเบิดกลายเป็นฝนโลหิตที่โปรยปรายลงมาจากอากาศ พร้อมกับศพของเขาร่วงหล่นลงมา

นักฆ่าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในยมโลก ตัวตนที่เคยลอบสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับเจ็ด ในขณะที่มีการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ …กลับถูกโจมตีไม่ทันตั้งตัวจากทางด้านหลังและต้องตายลง โดยที่ชิงเซียวไม่แม้แต่จะทันได้เห็นใบหน้าของฆาตรกรก่อนตายด้วยซ้ำ!

“ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลังโดยแท้*[1]” เป้ยหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน นางจ้องมองชายหนุ่มรูปงามที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ก่อนจะค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า การบ่มเพาะของอีกฝ่ายนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์เท่านั้น!

‘เป็นไปได้อย่างไรกัน?! พลังของชิงเซียวน่ากลัวยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ เขาจะถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวและถูกสังหารโดยชายหนุ่มที่ขอบเขตสถิตกายาได้อย่างไร?’

‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก!’

แม้ว่าจะมีความคิดมากมายเกิดขึ้นในใจของนาง แต่ท่าทางของเป้ยหลิงยังคงเย็นชา ใบหน้าของนางทั้งสง่างามและสงบ ขณะที่สายตาซึ่งมองไปยังเฉินซีเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกว่าเฉินซีนั้นเหมือนกับชิงเซียวคือมีจุดประสงค์ที่จะมาจับตัวนาง!

หากเฉินซีต้องต่อสู้กับชิงเซียวแบบตัวต่อตัว บางทีเขาอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ถ้าฉวยโอกาสโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นอาศัยสัญชาตญาณการต่อสู้ของเขตเซียนปฐพีระดับแปด ชายหนุ่มย่อมสามารถจัดการกับชิงเซียวได้อย่างง่ายดาย!

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ชิงเซียวกับเป้ยหลิงไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งนี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับชายหนุ่มในการลอบสังหารชิงเซียว!

“เจ้าไปเถอะ” เฉินซีกล่าวอย่างสบาย ๆ ก่อนที่เขาจะทะยานไปทางศพของเซวี่ยคง จากนั้นชายหนุ่มได้พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกพึงพอใจ เนื่องจากปราณยมโลกในศพของเซวี่ยคงยังคงอยู่ ดังนั้นเขาจึงสามารถรวบรวมมันเพื่อขัดเกลาระเบียนแดนมรณะ

ส่วนศพของชิงเซียวนั้น ปราณยมโลกในร่างของอีกฝ่ายได้ไหลออกมาจนหมดเมื่อตายแล้ว เพราะคนผู้นี้ไม่ใช่วิญญาณ และเป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมปราณยมโลกไว้ในกายเนื้อว่างเปล่า

เป้ยหลิงตกตะลึง “เจ้าไม่ได้มาหาข้าหรือ?!”

“อันที่จริง ข้ามาเพื่อฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก แต่เนื่องจากเจ้าไม่ใช่วิญญาณร้ายและไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญ ข้าจึงตั้งใจจะปล่อยเจ้าไป” เฉินซีกล่าวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายยิ่ง

มีอีกอย่างที่เฉินซีไม่ได้กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ เขาได้ฟังการสนทนาระหว่างเป้ยหลิงและชิงเซียวแล้ว จึงทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าสตรีผู้นี้ได้ปฏิบัติตามกฎที่กำหนดโดยจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามมาตลอด และไม่เคยฝ่าฝืนเลยสักครั้ง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ

แต่หากเฉินซีไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ศิษย์ระหว่างเขากับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เพราะเขาได้รับเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและเต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือนจากจักรพรรดิยมโลกผ่านระเบียนแดนมรณะกับพู่กันพิพากษามาร

ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม ทำให้เขาสูญเสียความตั้งใจที่จะฆ่าเป้ยหลิงไปโดยปริยาย

“เจ้าไม่ได้ต้องการโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีหรือ” เป้ยหลิงอดไม่ได้ที่จะถาม นางรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้แปลกประหลาดเกินไป เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างพยายามล้อมกรอบนางหรือลงมือโดยตรง เมื่อพวกเขาพบว่านางเป็นโพธิจิตของจักรพรรดิวิญญาณที่บรรลุเต๋า และไม่ค่อยมีใครที่สามารถปฏิเสธการเย้ายวนนี้ได้

แต่มันเพิ่งเกิดกับชายหนุ่มตรงหน้านาง อีกฝ่ายไม่แม้จะแยแสต่อมัน และสิ่งนี้ทำให้หญิงสาวประหลาดใจเล็กน้อย

“ข้าไม่มีงานอดิเรกในการเข่นฆ่าและช่วงชิงสมบัติ” เฉินซียักไหล่ และตั้งใจจะนำศพของเซวี่ยคงไปด้วย

“ช้าก่อน” เป้ยหลิงตะโกนจากทางด้านหลัง

“เจ้าต้องการสิ่งใดอีก?” เฉินซีหันกลับมา

เป้ยหลิงกัดริมฝีปากสีแดงสด แต่นางยังคงเงียบ

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ จากนั้นเขาก็หยุดลังเลและหันหลังกลับเพื่อจากไป

กู่เทียนและคนอื่น ๆ กำลังเดินทางไปข้างหน้า และมันจะน่าเสียดาย หากเขาแยกจากอีกฝ่าย ถึงอย่างไร ชายหนุ่มต้องการเข้าสู่นรกใต้พิภพ และเขาต้องพึ่งพาชุยชิงหนิงเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จนี้

ฟิ้ว!

เฉินซีเพิ่งจะทะยานออกไป ทว่าเขากลับสังเกตเห็นว่าเป้ยหลิงกำลังไล่ตามเขาจากทางด้านหลัง

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และหยุดลง ก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามาทำไมกัน?”

“เจ้ากำลังจะไปที่ใดหรือ?” เป้ยหลิงตอบกลับด้วยคำถาม

“นรกใต้พิภพ” เฉินซีตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาไม่มีอะไรจะปกปิด

“ข้าก็จะไปที่นั่นเช่นกัน” ดวงตาที่ใสกระจ่างของเป้ยหลิงทอประกายแสง “ข้าไม่ได้ออกจากดินแดนอ่างโลหิตมาหลายปีแล้ว ตอนนี้โลกกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ข้าอยากจะไปดูว่านรกใต้พิภพนั่นตกอยู่ในความโกลาหลจริง ๆ อย่างที่ตุลาการนรกกล่าวหรือไม่”

“แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไมกัน?” เฉินซีขมวดคิ้ว

“ข้า…” เป้ยหลิงไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไรดี นางรู้สึกว่านางกล่าวได้ชัดเจนแล้ว แต่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้านางกลับดูจะยังคงปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้คิ้วงามของหญิงสาวขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ กอปรกับใบหน้าที่เย็นชาและสวยงามไร้ที่เปรียบ มันจึงขับความรู้สึกที่ว่าออกมาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้าตามข้ามาก็ได้ แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขของข้า”

เป้ยหลิงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นดวงตาอันสดใสและเป็นประกายเหมือนดวงดาว พร้อมกับกล่าวว่า “ตกลง!”

ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้างามและท่าทางที่เย็นชาของนาง เฉินซีคงคิดว่านางเป็นสาวน้อยที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ผู้ไม่เคยคิดระแวดระวังสิ่งใด…

ถึงอย่างไร วิญญูชนควรพึงรับฟังเงื่อนไขและชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนจะตัดสินใจตกลงปลงใจ

แต่นางไม่แม้แต่จะถาม กลับเลือกที่จะตอบตกลงทันที ทำให้เฉินซีรู้สึกละอายเล็กน้อย

ต่อมาชายหนุ่มจึงทราบว่า ตั้งแต่ที่นางได้บรรลุเต๋า เป้ยหลิงมักจะอยู่ในดินแดนอ่างโลหิตคนเดียวเสมอ ซึ่งนางใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะและไม่ค่อยติดต่อกับผู้อื่น จึงทำให้หญิงสาวไม่รู้ถึงความเป็นไปของโลก

ยิ่งกว่านั้น ความรู้และความคิดทั้งหมดของนางก็ยังคงอยู่ในช่วงเวลาของอดีตที่ไกลโพ้น

ช่วงเวลาในอดีตนั้น เป็นช่วงที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามได้ขึ้นครองราชย์เหนือยมโลก และน่าจะเป็นเวลาหนึ่งล้านปีก่อน…

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป้ยหลิงผู้นี้เป็นผู้อาวุโสที่มีอายุมาก มีชีวิตอยู่เป็นเวลานานอย่างน่าตกใจ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ เมื่อมีใครล่วงรู้ว่านางคือโพธิจิตของจักรพรรดิภูตผีที่บรรลุเต๋า

ถึงอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะวัดความหมายของการดำรงอยู่ของดวงวิญญาณชั้นเลิศและหาได้ยากเช่นนี้ด้วยกาลเวลา

‘การมีผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ติดตามมาด้วยก็ไม่เลว อย่างน้อยที่สุด นางก็ช่วยเหลือข้าจัดการกับปัญหามากมาย ก่อนที่พลังของข้าจะฟื้นตัว…’ เฉินซีชำเลืองมองไปยังเป้ยหลิงที่เดินตามหลังเขาทีละก้าว และเขาดูจะหลงอยู่ในห้วงความคิด

[1] ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง หมายถึง การจ้องจะทำร้ายหรือจัดการอีกฝ่าย โดยลืมไปว่าตนเองก็อาจจะถูกจ้องจัดการอยู่เหมือนกัน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท