บทที่ 963 ปิดผนึกและทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมด
บทที่ 963 ปิดผนึกและทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมด
ให้ข้าจัดการเอง!
มันเป็นประโยคที่กล่าวออกมาอย่างเรียบง่ายสบาย ๆ ราวกับการช่วยคนอื่นเก็บเกี่ยวพืชผล น้ำเสียงของเขาไม่ได้ฟังดูจริงจังด้วยซ้ำ
แต่เมื่อคำกล่าวเหล่านี้เข้าหูผู้เยี่ยมยุทธ์ตระกูลชุย มันก็ราวกับถ้อยคำเสียดหูอันแสนยโสโอหัง ทั้งยังน่าหัวเราะเยาะและยังไร้มารยาทยิ่ง!
คนที่เป็นผู้นำของคนเหล่านี้คือชายชราผอมแห้งที่มีผมหงอก เขามีกลิ่นอายที่มืดมนและน่าสยดสยอง ทั่วทั้งร่างของคนคนนี้ปลดปล่อยปราณเซียนที่โหมกระพือลงมาราวกับสายฝน และดูราวจะชะโลมไปด้วยเลือด ทำให้มันเต็มไปด้วยจุดแสงสีแดงเข้มและดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
นี่คือยอดราชันที่น่าเกรงขามของขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด!
ยิ่งกว่านั้น ทั่วทั้งร่างของอีกฝ่ายยังเผยจิตสังหารแห่งการต่อสู้ออกมา ดังนั้นคนผู้นี้จะต้องผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนเป็นแน่
เขาคือชุยเหลิ่งจง หนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์แห่งกรมราชทัณฑ์ อาจมีน้อยคนในยมโลกที่เคยได้ยินชื่อของเขา แต่เมื่อเอ่ยถึงนาม ‘นักแล่เนื้อหน้าเหล็ก’ ทุกคนก็จะร้องอ๋อทันที เพราะชื่อนี้ สามารถทำให้เด็กหยุดร้องไห้ได้ชะงักนัก
ส่วนคนทั้งสี่ที่ยืนอยู่เคียงข้างก็มีพลังอันแข็งแกร่งของขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดเช่นกัน และพวกเขาจะคอยเฝ้าระวังอยู่ในกรมราชทัณฑ์เสมอ ซึ่งพวกเขาต่างมีสถานะสูงส่ง เป็นถึงระดับผู้อาวุโส
เมื่อกลุ่มยอดราชันที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ผู้เข่นฆ่าสังหารสิ่งมีชีวิตจนมือแปดเปื้อนไปด้วยเลือดนับไม่ถ้วน ได้ยินในสิ่งที่เฉินซีกล่าวออกมา ความคิดในใจของคนทั้งห้าก็มุ่งไปในทิศทางเดียวกันในพริบตานั้น!
สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังเฉินซี ได้กลายเป็นเย็นยะเยือกและมืดมน ราวกับสัตว์ใหญ่กำลังจดจ้องมดตัวจ้อย!
“ชุยเหลิ่งจง เจ้าทรยศต่อท่านพ่อของข้าหรือ?” ทันใดนั้น ชุยชิงหนิงกล่าวขึ้นในขณะที่สายตาของนางจับจ้องไปยังชุยเหลิ่งจงและคนอื่น ๆ ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเฉยเมย
“เรารับใช้กรมราชทัณฑ์และรับใช้ตระกูลชุยมาตลอด ดังนั้นเราจะทรยศต่อตระกูลได้อย่างไร? คุณหนู อย่าได้กล่าวหาใส่ร้ายพวกเรา” ชุยเหลิ่งจงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
พวกเขาคนหนึ่งได้เย้ยหยันออกมา ทั้งยังเผยท่าทีไม่แยแสอย่างเปิดเผย
“ชิงหนิง คนเหล่านี้คืออดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดาของเจ้าใช่หรือไม่?” เฉินซีถามตรง ๆ
“ใช่เจ้าค่ะ นั่นคือชุยเหลิ่งจง ศิษย์สาขาของตระกูลชุยที่ยากไร้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ใช่เพราะท่านพ่อของข้ารู้สึกสงสารต่อความยากลำบากที่เขาต้องเผชิญ และได้สอนวิธีบ่มเพาะให้ เขาจะมีความสำเร็จอย่างในปัจจุบันเช่นนี้ได้อย่างไร?” ชุยชิงหนิงกล่าวอย่างเย็นชา “ส่วนอีกสี่คน พวกเขาก็เหมือนกับชุยเหลิ่งจง แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะหักหลังท่านพ่อและเข้าข้างชุยฟางจวิน”
“คุณหนู เจ้าซุกซนเกินไปแล้ว เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอก และหาว่าเราเป็นคนทรยศ เพียงเท่านี้ก็นับว่าผิดกฎของตระกูลแล้ว รีบยอมรับความผิดเดี๋ยวนี้ซะ บางทีเจ้าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้” ยอดราชันกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและท่าทางเฉยเมย ซึ่งเผยให้เห็นถึงความดูถูกเหยียดหยาม
“สมรู้ร่วมคิดกับคนนอกรึ?” ชุยชิงหนิงหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่ดวงตาของนางปราศจากอารมณ์ความรู้สึก “ในฐานะคนทรยศ พวกเจ้ามีสิทธิ์กล่าวคำเหล่านี้อยู่อีกหรือ?”
นางหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวเน้นออกมาทีละคำ “อันที่จริง ข้ารู้มานานแล้วว่า สาเหตุที่ไม่สามารถจัดการกับความขัดแย้งภายในของตระกูลชุยได้ก็เป็นเพราะเจ้า คนทรยศที่ช่วยชุยฟางจวินในการกระทำความผิด บางทีสิ่งแรกที่ข้าควรทำเมื่อเข้าควบคุมตระกูลชุยแล้ว ก็คือการทำลายล้างคนทรยศทั้งหมดในตระกูล ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ข้าจะสามารถนำสันติสุขกลับคืนสู่ตระกูลชุยของข้าได้”
ความสงบภายในเป็นขั้นแรกของการปกครอง
มันเป็นเช่นนี้มาแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน หากเนื้อร้ายภายในตระกูลไม่ถูกขจัดจนหมด หายนะก็ยังคงเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว
ดังนั้นคำกล่าวของนางจึงไม่ผิดเลย
แต่เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูของชุยเหลิ่งจง ก็ทำให้เปลือกตาของเขากระตุกวูบ ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างเย็นชาและไม่แยแสว่า “เจ้ายังไม่รู้จักโตจริง ๆ!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็รู้ว่าไร้ประโยชน์ที่จะกล่าววาจาต่อ
“อนุญาตให้ข้าจัดการเถอะ” เฉินซีตบไหล่เด็กสาว ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
ครืน!
ในชั่วพริบตาต่อมา กระแสพลังผันผวนที่น่าสะพรึงกลัวได้แผ่ออกมาจากร่างของเฉินซี ตัวคนเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกไปในระยะไกลถึงสิบห้าลี้ ในขณะที่ทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มถูกปกคลุมด้วยอักขระยันต์มากมาย เขาดูเหมือนจักรพรรดิยันต์อักขระที่ตื่นจากการหลับใหล กลิ่นอายอันยิ่งใหญ่พุ่งทะยานถึงชั้นฟ้า และทำให้ผู้คนทั้งโลกหล้าตกอยู่ในความหวาดกลัว!
ม่านตาของชุยเหลิ่งจงและคนอื่น ๆ หดตัว ในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ราวกับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ไอ้หนูตรงหน้ามีพลังที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปดเช่นกัน!
“คุณหนู ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าไม่เกรงกลัว ที่แท้เจ้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ น่าเสียดาย พลังเพียงเล็กน้อยนี้ก็ยังไม่เพียงพอหรอก” ชุยเหลิ่งจงส่ายศีรษะ
“ผู้พิทักษ์ชุยอย่าได้เสียเวลากับพวกเขาเลย ให้ข้าฆ่าเจ้าเด็กนี้เอง!” ผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็ก้าวไปบนท้องฟ้า ก่อนจะชกหมัดออกไปอย่างดุเดือด
หมัดนี้ดูราวกับมันได้เปิดประตูนรก เหล่ายักษาและวิญญาณร้ายจำนวนมากได้พุ่งออกมาจากภายในพลังหมัดนี้ ประหนึ่งกระแสน้ำซัดลงมาที่เฉินซี
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ขยับเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ มีเพียงดวงตาของเขาที่ทอประกายลึกล้ำ ราวกับความลับของจักรวาลกำลังไหลเวียนอยู่ภายในนั้น และมันได้เปล่งแสงสีดำเย็นยะเยือกอันลึกล้ำออกมา ทำให้กาลเวลาและห้วงมิติบิดเบี้ยว
เนตรเทวะแห่งความจริง… แสงแห่งการทำลายล้าง!
อ๊าก!
ยักษาที่พุ่งเข้าใส่ด้านหน้าระเบิดทันทีทันใด มันกลายเป็นประกายแสงที่กระจัดกระจายและหายไป
หลังจากนั้น เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เฉินซีกวาดสายตาไป ทำให้เหล่ายักษาและวิญญาณร้ายที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหมัดของอีกฝ่าย ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว!
“หืม? ไอ้สารเลว! ข้าประเมินเจ้าต่ำไป! รับอีกหมัดของข้าซะ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นตกตะลึง ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะมืดหม่นลง และทันใดนั้น เขาก็ระเบิดหมัดใส่เฉินซีอีกครั้ง
ฟิ้ว~ ฟิ้ว~ ฟิ้ว~
ทันทีที่หมัดนี้พุ่งออกมา พลังของมันก็โหมกระพืออย่างรุนแรง ในขณะที่จิตสังหารส่งเสียงหวีดหวิวตามไปด้วย และเมื่อจิตสังหารที่ไม่มีใครเทียบได้มาบรรจบกับมัน ก็ราวกับขุมนรกได้อุบัติขึ้นบนพื้นโลก และได้เปลี่ยนพื้นที่กว้างใหญ่ให้กลายเป็นพื้นที่อันน่าสะพรึง!
เพลงหมัดขุมนรกสังหาร!
มันเป็นศาสตร์เต๋าอันน่าสะพรึงกลัวที่บดขยี้และขัดเกลาจักรวาล!
แต่เฉินซีก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน เขาเพียงกล่าวไม่กี่คำว่า “เจ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป!”
ดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วของชายหนุ่มเบิกออก และทุกคนต่างรู้สึกได้ทันทีว่า ฟ้าดินดูจะตกอยู่ในความมืด กาลเวลาและห้วงมิติบิดเบี้ยว ในขณะที่สนามพลังอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หลังจากนั้น พวกเขาได้เห็นเพลงหมัดขุมนรกสังหารที่ถูกใช้โดยยอดราชันคนนั้นสลายตัวทีละนิด!
นี่คืออำนาจของแสงแห่งการทำลายล้าง ซึ่งถูกกล่าวขานว่าสามารถปิดผนึกและทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดในใต้หล้าได้ ดังนั้น มันจะไม่คู่ควรกับชื่อเสียงที่ได้รับได้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกัน การโจมตีครั้งนี้ทำให้ปราณจ้าววิญญาณในร่างกายของเฉินซีหมดไป ถึงอย่างไร การขัดเกลากายาของร่างหลักของเขายังต่ำเกินไป และชายหนุ่มก็ใช้มันต่อสู้เป็นเวลานานไม่ได้
“ถึงเวลาเจ้ารับหมัดข้าบ้างแล้ว!!”
ในชั่วพริบตาต่อมา ดวงตาของเฉินซีทอแววเย็นชา ในขณะที่เขาเหวี่ยงหมัดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ และมันก็เหมือนกับเส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟ ซึ่งมีสีแดงเข้มเหมือนเลือดปกคลุมพื้นที่ข้างหน้า ชี้นำไปสู่อีกด้านหนึ่งโดยตรง!
วูบ!
ร่างกายของยอดราชันเริ่มเผาไหม้อย่างไร้ที่มา ก่อนที่ทั้งร่างของคนผู้นี้จะกลายเป็นลูกไฟดวงใหญ่ในพริบตาถัดมา!
“อ๊ากกกกก!!!!” เสียงร้องอันน่าสยดสยองดังขึ้น ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ไม่ว่าจะพลังชีวิต ปราณโลหิต หรือปราณเซียนในร่างกายของคนคนนี้ ก็ได้ถูกกำจัดและถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ยิ่งกว่านั้น ดวงวิญญาณของยอดราชันยังถูกกระชากออกไปโดยเพลงหมัดเทพอัคคี และถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งพุ่งเข้าสู่ระเบียนแดนมรณะ
ณ จุดนี้ ยอดราชันแห่งตระกูลชุยคนนี้ได้ใช้หมัดเพียงสองกระบวนท่า ก่อนที่เขาจะถูกโจมตีจนตายด้วยกระบวนท่าเดียวของเฉินซี!
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนตกใจทันที
นี่คือยอดราชันที่ต้องการแค่เวลา ก่อนที่จะสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์และทลายพันธนาการของฟ้าดินได้ทุกเมื่อ เพื่อขึ้นสู่ภพเซียนและกลายเป็นเซียนสวรรค์ที่มีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์
ทว่าตอนนี้ เพียงแค่การจ้องมองและพลังหมัดจากเฉินซี ก็สามารถทำลายการดำรงอยู่ของตัวตนดังกล่าวจนตายได้ โดยที่อีกฝ่ายไม่มีแม้แต่โอกาสจะร้องขอความช่วยเหลือด้วยซ้ำ!
แม้แต่เป้ยหลิงก็มีท่าทางประหลาดใจ แม้นางจะรู้ว่าเฉินซีเป็นยอดราชันขอบเขตเซียนปฐพีเมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อนางเห็นอีกฝ่ายสังหารยอดราชันคนอื่นได้อย่างง่ายดาย หญิงสาวก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง!
พลังต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนั้น นับว่าเกินสามัญสำนึกของนางไปแล้ว!
แต่เฉินซีย่อมไม่บอกนางว่าเขาเคยสังหารร่างอวตารของเซียนทองคำเมื่อก่อนหน้านี้…
ตอนนี้เขาได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาระดับสมบูรณ์และเพลงหมัดเทพอัคคี ดังนั้นแม้แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้แน่ชัดว่า ขีดจำกัดของเขาขยายออกไปมากเพียงใด
แต่เฉินซีมั่นใจมากว่าอย่างน้อยเขาก็อยู่ยงคงกระพันในหมู่ผู้บ่มเพาะระดับเดียวกัน!
“เจ้าเด็กนี่รับมือยาก พวกเราร่วมมือกันฆ่ามันซะ!” สีหน้าของชุยเหลิ่งจงหนักอึ้ง เมื่อรู้แล้วว่าพวกตนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเมินเฉยอีกต่อไป และตวาดสั่งคนอื่น ๆ ให้รวมพลังเพื่อบดขยี้เฉินซีพร้อมกัน
“ความแข็งแกร่งไม่สามารถทดแทนได้ด้วยจำนวน…” เฉินซีส่ายศีรษะก่อนที่ร่างของเขาจะสว่างวาบ และระเบิดอำนาจอักขระยันต์ออกมา!
…
เบื้องหน้าแท่นบรวงสรวงโบราณ ซึ่งตั้งอยู่ภายในจวนตระกูลชุย
บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังกลายเป็นกดดันทันที และแม้แต่พระอาทิตย์สีม่วงบนท้องฟ้าก็ถูกหมอกหนาปกคลุม ทำให้ฟ้าดินถูกบดบังจนมืดมิด
เมื่อเวลาผ่านไป ความหม่นหมองก็ปกคลุมใบหน้าของชุยฟางจวิน ทำให้เขาสูญเสียกลิ่นอายที่อิ่มเอมใจและมีชีวิตชีวาที่เคยมี
สายตาของทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นเฉียบแหลมมาก ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงสังเกตเห็นร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างเฉียบขาด ทำให้พวกเขางงงวยเล็กน้อยในใจ ไม่ใช่ว่าได้ส่งชุยเหลิ่งจงและยอดราชันคนอื่น ๆ ไปสบทบหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่ากองกำลังเหล่านี้ก็ยังทำให้ผู้อาวุโสรองสบายใจไม่ได้?
เกิดอะไรขึ้นในโลกภายนอกกันแน่?
“พายุกำลังจะมา!” ชุยฟางหู่ที่อยู่ใกล้เคียงถอนหายใจเสียงยาว เขารู้สึกได้ราง ๆ ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันครั้งใหญ่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ และมันเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ตระกูลชุยในตอนนี้ได้ตกอยู่ในความขัดแย้งภายในที่ไม่มีที่สิ้นสุด และปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เลวร้าย ทำให้มหาอำนาจมากมายในโลกภายนอกต่างจ้องมองมายังตระกูลชุยอย่างหิวกระหาย หากความขัดแย้งภายในไม่ได้รับการสะสางโดยเร็ว สถานการณ์ของตระกูลชุยและกรมราชทัณฑ์จะตกอยู่ในอันตราย
และต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นในช่วงที่ชุยฟางหลิน ผู้นำตระกูลคนล่าสุดเสียชีวิตลง…
“พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษจะเริ่มขึ้นราวหนึ่งช่วงก้านธูปให้หลัง ทุกท่าน ข้ามีเรื่องจะประกาศในช่วงเวลานี้!” ผู้อาวุโสรองชุยฟางจวินก้าวไปข้างหน้า และเผชิญหน้ากับทุกคนก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด
เสียงของเขาเหมือนเสียงระฆังที่ดังก้องไปทั่วบริเวณแท่นบวงสรวง
ทุกคนที่อยู่ในนั้นตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสรองต้องการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลล่วงหน้า?”
ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของชุยฟางหู่และคนอื่น ๆ กลับมืดหม่นลง
“ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า ตระกูลชุยของข้าประสบกับความขัดแย้งไม่รู้จบเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้กิจการของตระกูลเราถูกละเลย ความคิดเห็นของทุกคนถูกแบ่งแยก และตระกูลอยู่ในสภาพแตกแยก”
ชุยฟางจวินกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพราะตำแหน่งผู้นำตระกูลว่างเปล่า และตระกูลชุยของเราก็ขาดผู้นำ ดังนั้นข้าจึงใช้เวลาก่อนที่พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษจะเริ่มขึ้นในครั้งนี้ ขอแนะนำว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าชุยฟางจวินจะสืบทอดผู้นำตระกูลเพื่อกำจัดความชั่วร้ายทั้งหมดในตระกูล และสร้างกฎของตระกูลขึ้นใหม่!”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเจ้าตัวพลันเปล่งประกายราวกับสายฟ้าแลบ และมันก็เต็มไปด้วยความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ ในขณะที่เขากวาดสายตามองทุกคน “ทุกคนคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
บริเวณโดยรอบพลันเงียบสนิทจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่น และมีเพียงเสียงของชุยฟางจวินเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในอากาศ