บทที่ 21 รีบออกไปจากบ้านซะ
บทที่ 21 รีบออกไปจากบ้านซะ
เหลียงซิ่วโกรธจัด เธอใช้พละกำลังหนึ่งส่วนสี่กับการตบในครั้งนี้ ส่วนซูหม่านเซียงได้แต่แสยะยิ้มด้วยความเจ็บปวด
“หม่านเซียง หล่อนเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถลงมือกับเด็กได้ ตบหล่อนแค่นี้แล้วมันจะทำไมเล่า?” หวังเซียงฮวาช่วยเสริม
“หากไม่ใช่ว่าวันนี้หล่อนตบลูกสาวพวกเรา แต่ไปทำเด็กบ้านอื่นคงเจอแรงกว่านี้แน่ ถ้าไม่ได้หักขาหล่อนเรื่องคงไม่จบ” ฉีเหลียงอิงเห็นด้วย
ซูเสี่ยวเถียนฉลาดและเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในครอบครัว ปกติพวกเธอก็ทั้งเอ็นดูทั้งรักอยู่แล้ว
แม้จะช่วยตบกลับไม่ได้ แต่ช่วยพูดสักหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร
ซูหม่านเซียงเสียหน้าอย่างหนัก ทั้งยังทะเลาะกับคนอื่นจนเกิดเสียงดังเอะอะโวยวายอีก ท่าทางแบบนั้นคงหมายความว่า ไม่ดีแน่หากเธอไม่ตอบโต้กลับ
คุณปู่ซูไม่ทนฟังอีกต่อไป ก่อนจะสาปแช่งอย่างรุนแรง “ฉันจะไปโวยวายที่บ้านแก!”
“คุณพ่อคะ คุณพ่อทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร? แบบนั้นฉันโดนลงโทษแน่ ๆ!” ซูหม่านเซียงเอามือกุมใบหน้าและมองบิดาอย่างไม่เชื่อสายตา
“นั่นคือสิ่งที่แกสมควรได้รับ ถ้าพี่สะใภ้ของแกไม่ตบ ฉันจะลงมือเอง!” คุณปู่ซูกล่าว
“ฉันเป็นลูกสาวพ่อนะ!” ซูหม่านเซียงกระทืบเท้า
“แค่เพราะแกเป็นลูกสาวฉัน หลายปีมานี้จึงตามใจแกไปไม่น้อย ซูหม่านเซียง หากแกคิดด้วยจิตสำนึกว่าสองสามปีมานี้ไม่ว่าครอบครัวจะยากลำบากแค่ไหนทุกคนก็ล้วนช่วยแกได้ แต่แกตอบแทนคนในครอบครัวอย่างไรกัน?” คุณปู่ซูกล่าวอย่างผิดหวัง
“จากนี้ไป ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก กลับไปบอกคังเหรินเต๋อเสีย อย่าคิดจะทำอะไรที่ได้มาโดยไม่เปลืองแรง! ชีวิตขึ้นอยู่กับสองมือเรา!”
ตอนที่พูดประโยคนี้ คุณปู่ซูดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะเป็นลูกสาวที่เอ็นดูมาตลอดหลายปี หากไม่ผิดหวังเกินไป คุณปู่ซูจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้อย่างไร
ทุกคนต่างตกตะลึง มองคุณปู่ซูด้วยสายตาไม่เชื่อ
ซูหม่านเซียงไม่คิดว่าพ่อของตนจะพูดเช่นนี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ไม่ต้องการเธออีกแล้วหรือ?
เธอตกใจมากจนพูดไม่ออกอยู่นาน
พ่อกำลังจะตัดขาดกับเธอ?
ไม่ได้นะ!
ตระกูลคังมักจะดูถูกเธอว่าเป็นเด็กสาวบ้านนอก ส่วนแม่สามีกับพวกสะใภ้ก็จิกกัดเธอไม่น้อย
เพราะได้รับการดูแลจากครอบครัวฝั่งแม่ จึงพอมีเงินอยู่บ้าง ทำให้เธอยืนอยู่ที่บ้านแม่สามีได้ตลอด
หากตัดขาดกัน แม้กระทั่งครอบครัวฝั่งแม่ก็ไม่ช่วยแล้ว ชีวิตจากนี้ไปของเธอจะเป็นอย่างไร?
เมื่อคิดไปคิดมา ซูหม่านเซียงก็ดีดดิ้นบนพื้น เอะอะโวยวายเสียงดัง
“ซูหม่านเซียง ถ้าแกไม่อยากให้คนอื่นโยนออกไปก็ไสหัวไปซะ!”
เมื่อคุณปู่ซูกล่าวเช่นนี้ก็ไม่มีความเมตตาเหมือนเคยอีกแล้ว ทั้งมีแต่เข้มงวดอีกด้วย
ซูหม่านเซียงตระหนักได้ว่าพ่อโกรธมากจริง ๆ จึงนึกถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างตอนที่ผู้เป็นบิดาสั่งหลานชายให้โยนตนออก จากนั้นก็ไม่กล้าสร้างปัญหาอีก
แต่เธอไม่ยินยอมจากไปอย่างมืดมนเช่นนั้นอีกแล้ว
“คุณพ่อคะ พ่อทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร? เพื่อยัยเด็กเลวซูเสี่ยวเถียนคนนั้น คุณพ่อต้องโหดร้ายกับลูกสาวตัวเองถึงขนาดนี้เลยหรือคะ?”
ครั้นเหลียงซิ่วได้ยินซูหม่านเซียงเอาลูกสาวของเธอไปอ้างอีกครั้ง เธอก็หงุดหงิด ก่อนพุ่งไปอยู่ตรงหน้าซูหม่านเซียงด้วยแววตาแดงก่ำ
“ซูหม่านเซียงโดนตบแค่นี้ยังไม่พอหรืออย่างไร? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ตราบใดที่ฉันยังคงอยู่ หล่อนไม่มาที่นี่จะเป็นการดีที่สุด ถ้าเจออีกครั้งก็จะตบทุกครั้ง!”
แม้ว่าคุณย่าซูจะไม่ค่อยยินดีที่ได้ยินลูกสะใภ้พูดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ลูกสาวกระทำก็ไม่ช่วยพูดอะไรอีก
ซูหม่านเซียงมองท่าทางที่ปกป้องลูกตัวเองของเหลียงซิ่วก็พลันหวาดผวา!
เธอยืนอยู่เบื้องหน้าคุณปู่ซูพลางสะอื้นไห้และแสดงท่าทางเสียอกเสียใจ ได้แต่หวังว่าบิดาและมารดาจะรู้สึกเสียใจกับซูหม่านเซียงสักหน่อย
แต่ไม่ว่าจะร้องไห้เสียใจแค่ไหน ทั้งคุณปู่ซูและคุณย่าซูก็ไม่อ่อนข้อลงเลย
เหลียงซิ่วค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว ท่าทางเช่นนี้หากไม่เห็นด้วยก็คงจะต้องลงไม้ลงมืออีกสักครั้ง
พี่น้องทั้งเก้าคนของตระกูลซูที่ได้ยินเรื่องราว พวกเขาก็ขวางประตูหลักเอาไว้ แล้วจ้องไปยังซูหม่านเซียงนิ่ง ๆ
ซูหม่านเซียงเคยถูกพวกหลานชายโยนทิ้งมาก่อน และเมื่อมองกลุ่มเด็กชายที่มีสายตาราวกับหมาป่าก็ทำได้เพียงถอยไปตามกำแพงทีละก้าว
คังเหม่ยหวาขบริมฝีปาก ท่าทางไม่เต็มใจ แต่เธอเป็นแค่เด็กทั้งยังไม่กล้าลงมือกับผู้ใหญ่ด้วย
แต่สิ่งที่คังเหม่ยหวาถูกซูหม่านเซียงสอนให้คิดบ่อย ๆ คือตนเองเป็นคนในเมือง สูงส่ง และดูถูกทุกคนในครอบครัวของคุณตา
“ทำไม ยังไม่ไปอีกหรืออย่างไร?” ซูซื่อเลี่ยงอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเห็นคังเหม่ยหวายังคงยืนอยู่ในห้องโถง
คังเหม่ยหวาดึงคังจงฮวาที่ยังร้องไห้อยู่ขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างโกรธเคือง “จากนี้ไป ถ้าอยากให้พวกเราช่วยก็จะไม่มาอีก! และถ้าพวกเรามีเรื่องก็จะไม่ขอให้บ้านนายช่วย”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ต่อให้เป็นขอทานก็จะไม่เหยียบบ้านเธอแน่!” ซูซื่อเลี่ยงพูดพร้อมกับยิ้มเยาะ
อาคนนี้เป็นคนไร้หัวใจ และไม่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างดี!
ส่วนน้องชายและน้องสาวสองคนนั้นก็เรียนไม่เก่ง ดีที่สุดคืออย่าไปยุ่งด้วยเลย!
ทั้งสามคนเดินไปยังประตูใหญ่ซึ่งมีผู้คนแออัดอยู่ที่ตรงผู้เฒ่าซูทีละก้าว
สายเกินกว่าจะแก้แล้ว ซูหม่านเซียงที่ไม่พอใจวิ่งร้องไห้ออกไปราวกับว่าพ่อแม่ของหล่อนเสียชีวิต
ใกล้ได้เวลาไปทำงานแล้ว มีคนไม่น้อยอยู่บนถนน ซูหม่านเซียงไม่พลาดโอกาสในครั้งนี้ร้องไห้ออกมาให้ทุกคนได้รู้ว่าเหลียงซิ่วทนเธอไม่ไหวทั้งยังถูกตบตีอีกด้วย
ผู้คนในชุมชนการผลิตหงซินล้วนจิตใจดีมีเมตตา และดีกว่าคนในชุมชนการผลิตอื่น ๆ ไม่น้อย
พวกเขาไม่เชื่อว่าเหลียงซิ่วจะเป็นคนที่ตบตีคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล แต่รอยบนใบหน้าของซูหม่านเซียงนั้นเป็นเรื่องจริง จึงไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี
ดวงตาของคังเหม่ยฮวาราวกับโดนยาพิษ และเธออยากจะกลืนซูเสี่ยวเถียนใจจะขาด
หลังจากโทษซูเสี่ยวเถียนเสร็จ เธอก็คิดอีกว่าแม่ของเธอไร้ประโยชน์ แม้กระทั่งเธอที่เหนื่อยก็ยอมจำนน
ความไม่พอใจของพวกหล่อนถูกซูเสี่ยวเถียนบันทึกไว้แล้ว
“จากนี้ไป เหล่าซานไม่ต้องไปซื้อของในตำบลอีกแล้ว ไม่งั้นจะสร้างปัญหาแบบนี้อีก!” คุณปู่ซูพูดพลางขมวดคิ้วขณะมองดูคนที่เดินจากไป
ลูกสาวคนนี้นับวันยิ่งน่ากังวลนัก ลูกเขยยังมีการมีงานทำ แล้วทำไมถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้? มีตาแต่หามีแววไม่!
“ฉันเข้าใจแล้ว ตาเฒ่า ต่อไปให้เหล่าซานยอมเสียเวลาสักหน่อยไปซื้อของในตัวอำเภอก็แล้วกัน” คุณย่าซูตอบตกลง
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่สามารถไปสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในเมืองได้แล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าเจ้าคังเหรินเต๋อนั่นจะสร้างเรื่องอะไรอีก
เมื่อตระกูลซูออกไปทำงาน คนในชุมชนการผลิตไม่น้อยก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้าน
สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวในครอบครัว คุณย่าซูพูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็หลอก ๆ ไปบ้าง
“ได้ยินหรือยัง? ชุมชนการผลิตของเราดูเหมือนจะมีคนมานะ”
“ใครหรือ?”
“ได้ยินมาว่าเป็นผู้กระทำผิดด้วย หัวหน้าชุมชนการผลิตเพิ่งจะไปรับมา โถ่! คนเยอะขึ้นหนึ่งคน อาหารปันส่วนก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง ไม่รู้ว่าปีนี้พวกเราจะกินพอหรือเปล่า”
ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็พลันรู้สึกกังวล
ที่ดินในชุมชนการผลิตมีเยอะมาก ผลผลิตก็มาก แต่ถ้าคนมากก็คือภาระหน้าที่ก็เพิ่มขึ้น!
การใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย!
ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าพวกผู้ใหญ่คิดอย่างไร เธอคิดแค่ว่าควรดูแลพวกพี่ชายให้เล่าเรียนหนังสือ จะได้มีความสำเร็จกันบ้าง
รอกระทั่งพวกผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านไม่อยู่ ด้วยความคิดเช่นนี้ซูเสี่ยวเทียนจึงเริ่มแนะนำพวกพี่ชายให้อ่านหนังสือ
เดิมทีพวกเขาคิดว่าน้องสาวเพิ่งจะทำความผิด จึงอยากเป็นครูตัวน้อย พวกเขาเลยเล่นเป็นนักเรียนตามความปรารถนาของเธอ
แต่ไม่คิดว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้สามารถเป็นครูได้จริง ๆ