บทที่ 42 ยังมีเรื่องให้ประหลาดใจ
บทที่ 42 ยังมีเรื่องให้ประหลาดใจ
ยายฉางกลายเป็นฝ่ายกระทำผิดเสียแล้ว เธอทำอะไรกัน? แค่บอกว่าซูเสี่ยวเถียนเป็นยัยเด็กแสบไม่กี่ประโยคเนี่ยนะ? เหตุใดถึงได้เป็นการต่อสู้ทางความคิดไปแล้วล่ะ?
“หัวหน้าชุมชน ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แค่บอกว่าซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้มีดีอะไร เธอก็ไม่ยอมแล้ว”
“หัวหน้าชุมชน ยายฉางแค่บอกว่าเด็กผู้หญิงเป็นพวกเด็กแสบ เป็นตัวโชคร้าย แถมยังบอกว่าถ้าแบกขึ้นหลังจะต้องพบเจอกับความโชคร้ายอะไรนั่นด้วย นี่มันคำพูดอะไรกันน่ะ? ไม่ใช่แค่เลือกปฏิบัติกับคนเพศหญิงนะ แต่ยังแบ่งชนชั้นอีกด้วย”
คุณย่าซูเป็นคนฝีปากไวจึงพูดจาปุบปับ
ครั้นยายฉางได้ยินที่คุณย่าซูพูดจึงเกิดความกังวล และเอ่ยอย่างร้อนรน “ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ! หัวหน้าชุมชน ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ!”
“ตอนนี้ทำงานก่อนเถิด กินข้าวเย็นเสร็จเมื่อไรค่อยมาเรียนรู้กันที่ทุ่ง คนตระกูลฉาง คุณต้องไตร่ตรองให้มากนะ!”
“หัวหน้าชุมชน คุณจะช่วยเธอเพราะเป็นคนตระกูลซูไม่ได้นะ” ยายฉางไม่ยินยอม
“ผมแค่จะถามเองว่า คุณได้เป็นคนพูดหรือเปล่า? มีคนอยู่ที่นี่ตั้งเยอะ คุณคิดให้ดีแล้วค่อยพูดเถอะ” ซูฉางจิ่วเป็นคนยุติธรรม และไม่ได้ช่วยตระกูลซูเพราะพวกเขาเป็นคนของตระกูลนี้ เขาจะไม่โยนความผิดให้ใครแน่นอน
ยายฉางมองผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ที่พูดเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรือเปล่า? แล้วมันกลายเป็นเรื่องเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและแบ่งชนชั้นได้อย่างไรกัน?
“แต่เธอ…” ยายฉางไม่ยอมเสียหน้าเพียงลำพังแน่นอน คิดจะลากคุณย่าซูลงมาซวยด้วย
“ฉันทำไมเหรอ? พูดมาเลยว่าฉันพูดอะไรไม่เข้าหูเธอกัน?” คุณย่าซูถามทันที ท่าทางดูภูมิใจมาก
ตอนที่พวกเด็ก ๆ เรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน ปกติจะต้องพูดอะไรสักหน่อยแล้ว แต่เพราะเธอฟังมาเยอะ จึงจำได้ว่าถึงจะด่าอยู่ก็อย่าให้เขาไล่ตามความคิดเราได้ทัน
ยายฉางครุ่นคิดอยู่นาน กลับคิดไม่ถึงการรับมือของคุณย่าซูเสียอย่างนั้น
ยายฉางถูกคุณย่าซูหยิกอยู่หลายที่ เดิมทีไม่รู้สึกอะไร แต่พอกลับถึงบ้านดันรู้สึกเจ็บ ๆ ขึ้นมาตรงบริเวณที่โดน ก่อนจะรู้ว่าตนเสียท่าเข้าให้แล้ว
แล้วมันดันอยู่ในที่ที่ไม่สามารถยกขึ้นมาให้คนดูได้ การเสียเปรียบในครั้งนี้เธอทำได้กลืนมันลงไปเท่านั้น
“เก่งนักนะยายซู รังแกคนทีเผลอ…”
ยายฉางเพิ่งด่าออกมาแค่ประโยคเดียวก็ถูกสามีทุบตี “แกมันตัวซวย แค่นี้ยังขายหน้าไม่พอหรือไงถึงต้องพูดสิ่งที่คิดออกมา ทำไมตระกูลผู้เฒ่าซูเช่นฉันถึงได้แต่งงานกับตัวน่าหนักใจเช่นแกด้วย!”
เมื่อปีก่อนที่หมู่บ้านก็มีคนพูดสิ่งที่คิดออกมา ส่วนปีนี้ภรรยาเขาเป็นคนแรก น่าอับอายไม่พอหรือไง!
หลังจากที่โดนทุบตีไม่หยุด ยายฉางก็ไม่กล้าด่าอีก ไม่แม้แต่จะพูดโดยไม่จำเป็นด้วย
เธอไม่กล้าเกลียดชังสามี จึงทำได้เพียงโยนความรู้สึกทั้งหมดใส่คุณย่าซูเท่านั้น
ระหว่างทางกลับบ้าน คุณย่าซูภาคภูมิใจมาก แต่อย่ามองหน้าเลยเพราะมันแย่สุด ๆ รู้แค่ว่ายายเฒ่าบ้านนั้นเพิ่งจะเสียท่าให้กับเธอไปก็พอแล้ว
ส่วนสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือหลิวซิ่วอิง ไม่แปลกใจที่จะดึงคุณย่าซูลงมาให้ยายฉางตบ วันนี้ไม่มีอารมณ์แล้ว แต่ยังมีเวลาอยู่เหลือเฟือ ยังมีวิธีทีที่จะทำให้หล่อนเสียท่าอยู่
พอกลับถึงบ้าน คนในครอบครัวก็ได้ยินข่าวคราวหลังจากกลับมาจากทำงาน พวกเขาปรี่เข้ามาไต่ถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่ายายเฒ่าของบ้านเสียเปรียบไป
“แม่แกเป็นใครกัน? ลืมไปแล้วหรือว่าหลายปีก่อนแม่พวกแกเป็นบุคคลที่ไม่มีใครสู้ได้น่ะ”
พอคุณย่าซูพูดพวกเขาก็จำขึ้นได้จริง ๆ สมัยที่แกยังสาว ๆ แกตบตีคนได้ เพราะอย่างนั้นคนในหมู่บ้านจึงไม่มีใครกล้ายั่วยุใส่
คุณปู่ซูมองไปยังยายเฒ่าอย่างลึกซึ้ง “เธออายุมากแล้วนะ ระวังด้วยล่ะ”
“ตาเฒ่านี่ ฉันจะไม่รู้ได้อย่างไรกันเล่า? วางใจเถอะน่า ถึงฉันจะดูน่าอนาถก็เถอะ โอ๊ย ยายฉางโหดร้ายนัก ดึงผมฉันออกมาขนาดนี้เลย!”
ได้ยินน้ำเสียงโกรธจัดของคุณย่าซู ทุกคนในบ้านรู้ทันทีว่าเธอสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว
ซูเสี่ยวเถียนคุกเข่าข้างคุณย่าซู ทำความสะอาดบาดแผลบนใบหน้าอย่างระมัดระวัง และถามว่าเจ็บหรือเปล่า
ท่าทางที่ระมัดระวังนั้นทำให้หัวใจคนมองอ่อนยวบ
โดยเฉพาะคุณย่าซู เธอเป็นคนใจอ่อนมาก ก่อนจะบอกว่ามีแค่หลานสาวคนเดียวเท่านั้นที่เป็นห่วงจริง ๆ
“เด็กดีอย่ากังวลไปเลยนะ ย่าไม่เป็นไรจ้ะ เจ้าพวกเด็กดื้อ วันหลังแบกน้องขึ้นหลังเดินผ่านบ้านผู้เฒ่าฉางวันละสามเที่ยวนะ”
คุณย่าซูรีบจัดการทันที ไม่มองตาเฒ่าที่กำลังไม่สบายใจ
“ย่าครับ อย่าโกรธไปเลย วันนี้พวกเราขึ้นเขาก็เอาของดี ๆ กลับมาด้วยล่ะ” ซูซื่อเลี่ยงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพูดกับคุณย่าซู
“บนเขายังมีอะไรดี ๆ ให้พวกแกเอากลับมาอีกเหรอ?” คุณย่าไม่เชื่อ เพราะเห็ดก็ไม่ได้มีทุกวัน
“กระต่ายป่าครับคุณย่า มันตัวอ้วนมาก” น้องเก้าทนไม่ไหวจึงพูดออกมา
“ไม่มีใครเห็นใช่ไหม?” คุณย่าซูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที แต่ก็พยายามป้องกันไม่ให้ผู้ใดพบเห็น
สัตว์ป่าบนเขาเป็นของส่วนรวม ไม่สามารถครอบครองได้
“ไม่เห็นครับ พวกเราระวังมาก แอบไว้ข้างใต้วัชพืชตอนเอากลับมาครับ”
คุณย่าซูคิดว่าราชามังกรจะต้องให้รางวัลพวกเขาอีกเป็นแน่
“เย็นนี้ย่าคงไม่กล้าทำอาหาร ไว้รอดึก ๆ ค่อยทำแล้วกัน ตื่นเช้ามาพรุ่งนี้ก็จะได้ดื่มน้ำแกงกันคนละถ้วย แล้วก็กินเนื้อกระต่ายอีกสองชิ้น” คุณย่าซูโบกมือแล้วตัดสินใจทันที
ถึงเด็ก ๆ ที่บ้านจะอยากกินมันมากแค่ไหน แต่พวกเขารู้ว่าคุณย่าซูพูดความจริงจึงพยักหน้าให้
อย่างไรเสียถ้าวันนี้ไม่ได้กิน พรุ่งนี้ก็ได้กินอยู่ดี
“ขอบคุณที่ช่วงนี้ครอบครัวเราไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ไม่อย่างงั้นวันนี้ที่ไปทะเลาะกับเขาคงแย่กว่านี้แน่” คุณย่าซูว่าพลางหอมแก้มซูเสี่ยวเถียนฟอดใหญ่
ต้องขอบคุณความโชคดีของหลานสาวที่ได้รับความโปรดปรานจากราชามังกร ไม่เช่นนั้นเรื่องราวจะดีเช่นนี้ได้อย่างไร
ตลอดวันหยุด ลูกหลานตระกูลผู้เฒ่าซูใช้เวลาว่างไปกับการขึ้นเขาล่าสมบัติ
ไม่ต้องพูดเลยว่าวันหยุดนี้พวกเขาได้ของดีมาไม่น้อยเลย
ซูเสี่ยวเถียนโชคดีจริง ๆ
ปีที่แล้วตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นปีเก็บเห็ดได้ไม่ถึงสองถึงสามจิน แต่หลังจากที่ซูเสี่ยวเถียนขึ้นเขาไป ก็แบกลงเขามาอย่างเต็มตะกร้า เยอะมากจนกินไม่หมด คุณย่าซูเลยแอบเอาไปตากแห้งไว้
แม้ว่าตอนที่พวกเด็ก ๆ ขึ้นไปกันไม่กี่คน ยังจับไก่ป่ามาสามตัวและกระต่ายอีกสองตัวด้วย
ทุกครั้งที่จับมาได้ คนบ้านซูก็จะทำอาหารกันในตอนกลางคืนเป็นมื้ออาหารอันโอชะ และสุขภาพของพวกเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูเสี่ยวเถียนมีความสุขที่สุดคือการที่สามารถขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่าได้
พวกเด็ก ๆ เก็บผลไม้ป่าที่มีรสหวานอมเปรี้ยวมามากมาย และยังสดใหม่ด้วย อร่อยกว่าผลไม้รสเปรี้ยวในปีก่อน ๆ นัก
ซูซื่อเลี่ยงฉงนสงสัย เหตุใดผลไม้ปีนี้ถึงหวานเป็นพิเศษ? อีกอย่างคือก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เลยว่าบนเขาจะมีผลไม้เยอะขนาดนี้
ตลอดช่วงวันหยุด ตระกูลซูมีผลไม้สดให้กินหลังอาหารเย็นทุกวัน
ทีแรกพวกผู้อาวุโสในบ้านไม่ยอมกิน แล้วพูดว่าเป็นของไว้หลอกล่อเด็ก แต่ซูเสี่ยวเถียนก็คะยั้นคะคอให้ทุกคนกินมันแล้วยังบอกอีกว่าดีต่อสุขภาพ
ครั้นเห็นผลไม้ป่าจำนวนไม่น้อย พวกผู้อาวุโสก็กินด้วย
วันแล้ววันเล่าผ่านพ้นไป ความเป็นอยู่ของตระกูลซูดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
“ฉันคิดว่าช่วงนี้สุขภาพฉันดีขึ้นเยอะเลย เมื่อเช้าเห็นคนตระกูลหลี่ยังบอกว่าช่วงนี้ฉันอ้วนขึ้นด้วย” คุณย่าซูคุยกับลูกสะใภ้ขณะที่นั่งเย็บรองเท้าอยู่บนเตียงเตา