บทที่ 48 เฉินจื่ออัน
บทที่ 48 เฉินจื่ออัน
ต่อให้ซูเสี่ยวเถียนไม่พูดถึงเรื่องหน้าหมู่บ้านหรือท้ายหมู่บ้านก็ตาม
ในใจนักบัญชีหลี่พลันนึกถึงขึ้นมาในทันที เขากับชู้พวกนั้นคือคนที่ไปตีท้ายครัวกันที่หน้าหมู่บ้านและท้ายหมู่บ้านมา
เรื่องนี้ถูกเก็บงำเป็นความลับมาตลอด และไม่ควรมีใครในหมู่บ้านล่วงรู้เรื่องนี้
ถ้าอย่างนั้นสาวน้อยคนนี้รู้ได้อย่างไร?
หรือคนในตระกูลซูก็รู้ด้วย?
นักบัญชีหลี่หันไปมองพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
ทุกคนไม่รู้ว่าทำไมซูเสี่ยวเถียนถึงพูดเรื่องหน้าหมู่บ้านและท้ายหมู่บ้านขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล จึงทำให้เกิดความสงสัย
นักบัญชีหลี่มองสมาชิกบ้านซูที่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา เหงื่อผุดเต็มหน้าผากเขาและไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดดี
ถ้าคนพวกนี้รู้แล้วพูดออกมา จะต้องเดือดร้อนเป็นแน่
ไม่ว่าใครก็รู้ว่านักบัญชี่หลี่เป็นคนต่างถิ่น เพราะแต่งงานกับลูกสาวบ้านซูที่เป็นครอบครัวใหญ่ จึงได้มีตำแหน่งอยู่ทุกวันนี้ ถ้าถูกภรรยาที่แสนดุรู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าจะจบเห่แน่
เจ้าหน้าที่หลิวไม่รู้ว่าภายในใจของนักบัญชีหลี่กำลังขมุกขมัว แต่รู้สึกว่าเด็กผู้หญิงอย่างซูเสี่ยวเถียนเรียนไม่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย รู้จักใช้คำพูดพูดกับคนอื่นด้วย
“คิดว่าตัวเองท่องคำขวัญได้สองสามประโยคก็พิสูจน์ได้ว่าครอบครัวเป็นคนดีน่ะ? คนดี ๆ เขาไม่มีแนวคิดทุนนิยมหรอกนะ แล้วคนดีก็ไม่ขัดขืนกลุ่มตรวจค้นด้วย!” เจ้าหน้าที่หลิวเหลือบมองไปยังนักบัญชีหลี่ซึ่งกำลังพูดไม่ออก แล้วผุดลุกขึ้นยืน
เขารู้สึกว่าพฤติกรรมของตนเองดูน่าขัน ข้างหน้ามีเด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบเอง ไม่มีประโยชน์จริง ๆ ที่พวกผู้ใหญ่จะมาทะเลาะเบาะแว้งกับหล่อน
แต่ไม่ทะเลาะกันก็ดี เพราะไม่รู้ว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอีก ไม่แน่อาจจะบอกว่าเขาเป็นพวกนักปฏิวัติก็ได้!
“น้องเถียนพูดถูกแล้วเจ้าหน้าที่หลิว ในเมื่อไม่ได้ตรวจค้นก็ไม่มีสิทธิ์พูดสิ ตั้งแต่ที่คุณมาบ้านเราก็ไม่ได้ตรวจค้นอะไรเลย แถมยังปกปิดชื่อเสียงอันใหญ่หลวงอีก คุณบอกว่าที่ครอบครัวเรามีความเห็นอกเห็นใจต่อคนในคอกวัวเป็นสิ่งที่ไม่ดี แล้วใครเป็นคนพิสูจน์ล่ะครับ? เพราะพวกเรามีกิน คุณก็เลยคิดว่าเป็นพวกทุนนิยมเหรอ? หรือบ้านเจ้าหน้าที่หลิวจะไม่มีอาหารเลยเชียว? พอเป็นแบบนี้ก็เลยพูดได้ว่าบ้านเราไม่ใช่คนดีเหรอครับ?” ซูซื่อเลี่ยงพูดจาฉะฉาน
คนพวกนี้เข้าบ้านมาข่มเหงกันชัด ๆ ตัวเด็กหนุ่มไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวจัดการเรื่องนี้ได้หรอก
เป็นพี่ชายแล้วก็ต้องเป็นให้สุด
“ถูกต้องแล้วเจ้าหน้าที่หลิว ใครบอกว่าครอบครัวเรามีความเกี่ยวข้องอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ กับพวกคนในคอกวัวกันล่ะ? งั้นก็เรียกพวกเขาออกมาแล้วเผชิญหน้ากันเลย ถ้าเจ้าหน้าที่หลิวบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร ที่พูดมาก็มั่วซั่วทั้งนั้น”
ถึงซูเสี่ยวเถียนจะสงสัยว่าเจ้าหน้าที่หลิวมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักบัญชีหลี่ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่อีกฝ่ายที่เป็นคนทำ
แล้วใครกันล่ะที่ถ่อไปถึงชุมชนใหญ่เพื่อรายงานเรื่องตระกูลของเธอ?
หากในชุมชนการผลิตหงซินมีคนแบบนี้อยู่ กลัวก็แต่ว่าหลังจากนี้คงอยู่ไม่สงบแน่!
สิ่งที่ดีที่สุดคือทำให้ชัดเจนไปเลย แล้วค่อยป้องกันในภายหลัง
ส่วนเรื่องที่จะต้องกังวลว่าคนที่คอกวัวจะถูกหาเจอไหม แล้วก็เรื่องหลักฐานที่มีการติดต่อกันอีก ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากนัก เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราทั้งสองครอบครัวต้องคอยระวังให้มาก ส่วนใหญ่ก็คือเรื่องส่งอาหารให้
ถึงจะหาเจอ แต่ตราบใดที่ไม่ยอมรับ ใครจะบอกได้ว่าของกินพวกนั้นมาจากตระกูลผู้เฒ่าซูล่ะ?
แต่เห็นชัดเลยว่าเจ้าหน้าที่หลิววางแผนจะก่อเรื่อง และจะตัดสินลงโทษโดยไม่ถามไถ่อะไรด้วย นี่แหละถึงเป็นปัญหา
“แต่มีคนรายงานเรื่องครอบครัวของคุณ ยัยเด็กตัวแสบ ต่อให้เธอคายดอกไม้อะไร*[1] มาวันนี้พวกเขาก็ต้องโดนจับอยู่ดี”
พอได้ยินเช่นั้น ในใจซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ยินยอม
ครอบครัวเรามีผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นผู้ชายสิบกว่าคน ถ้าพวกเขาต่อต้าน คนที่เจ้าหน้าที่หลิวพามาคงไม่สามารถมัดไว้ได้
ต้องพูดจริง ๆ ว่าเป็นข้อดีของตระกูลซูที่มีผู้ชายเยอะ โดยเฉพาะเด็กบางคนที่อายุส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระหว่างวัยรุ่น
หลาย ๆ คนในชุมชนการผลิตหงซินก็ยังเป็นเครือญาติกับตระกูลซูด้วย อีกอย่างทุกคนในนี้ก็ยังสนิทสนมกัน ถ้าจะมัดตระกูลซูคงไม่สามารถออกจากชุมชนการผลิตได้
ถึงเหล่าเครือญาติจะมีความตั้งใจที่จะมาแทนที่ตระกูลซูมานาน แต่เพราะไม่มีชื่อเสียงมากนักและยังไม่สามารถทำให้ชุมชนการผลิตหงซินฟังเสียงพวกเขาได้
ถ้าไม่ใช่เพราะความอุตสาหะ เจ้าหน้าที่หลิวคงลงมือไปแล้ว และไม่มีเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับซูเสี่ยวเถียนนัก
“พรุ่งนี้ฉันจะกลับมณฑลไปรายงานเรื่องเจ้าหน้าที่หลิว อาหารที่บ้านคุณต้องมีเยอะกว่าเราแน่ ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีไก่ เป็ด ปลา เนื้ออะไรพวกนั้น อย่างน้อยก็มีไข่ใช่ไหมครับ ร่ำรวยกว่าพวกเราอีก” ซูอู่ร่างพูดอย่างเป็นธรรมชาติ
“แกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่? เจ้าหน้าที่หลิวมาจากครอบครัวชาวนาสูงส่ง จะมาใส่ร้ายใครได้อย่างไร!” นักบัญชีหลี่รีบปกป้อง “ซูชวน คุณสอนลูกหลานอย่างไรเนี่ย? ทำไมถึงยุ่งยากกันขนาดนี้?”
คนอื่นไม่รู้สถานการณ์ที่บ้านนักบัญชีหลี่ แล้วนักบัญชี่หลี่จะไม่รู้ได้อย่างไรกันล่ะ?
สภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวเจ้าหน้าที่หลิวดีอยู่แล้ว แต่ปกติกลับพาคนทำผิดและไม่รู้ว่าชิงของคนอื่นไปมากขนาดไหน มันจะยังดีอยู่ไหม?
แต่ว่าปกติเขาเดินบนเส้นทางที่เหนือกว่า จึงทำให้เขาเดินไปได้อย่างราบรื่น
“เด็กดี ไม่จำเป็นต้องไปอำเภอหรอก เพราะฉันมาให้รายงานถึงที่เลย!”
ตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงอันไพเราะที่ประตูดังขึ้น และทุกคนโดนเสียงนี้เรียกความสนใจกันหมด
ทุกคนหันกลับมามอง พวกเขาไม่รู้จักชายหยาบคายที่อยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ
ซูเสี่ยวเถียนมองเลยไป ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง อายุราว ๆ สามสิบปี หน้าเหลี่ยม มีกลิ่นอายเป็นมิตรทั่วร่าง แตกต่างจากเจ้าหน้าที่หลิวอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าสามารถเชื่อถือได้
“แกเป็นใคร?” เจ้าหน้าที่หลิวเอ่ยถาม
“ผมชื่อเฉินจื่ออันจากกลุ่มกองกำลังทหารของมณฑลครับ! คุณเป็นเจ้าหน้าที่จากชุมชนใหญ่เหรอ?”
เฉินจื่ออันตัวสูงมาก พอยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าหน้าที่หลิว ทำอีกฝ่ายรู้สึกถูกกดดันจนหายใจไม่ออก
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขาหายใจลำบากคือคนที่ชื่อว่าเฉินจื่ออัน
เจ้าหน้าที่หลิวเป็นเจ้าหน้าที่จากชุมชนใหญ่ แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเฉินจื่ออันผู้เป็นหัวหน้ากองกำลังทหารของมณฑลเป็นคนที่แข็งแกร่ง และแม้แต่เลขาธิการของมณฑลก็ยังกลัวเขา การจะแตะต้องเขามันไม่ง่ายเลย
แล้วเทพแห่งโรคระบาดมาที่หัวหน้าชุมชนการผลิตหงซินแห่งนี้ล่ะ
พอเฉินจื่ออันพูดชื่อสามคำนี้ออกมา ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกประหลาดใจมากจนอ้าปากอยู่ครึ่งหนึ่ง
เป็นเฉินจื่ออันเหรอ? ไม่แปลกใจที่ดูคุ้นเคย ชายผู้นี้ย้ายจากกองทัพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมามาก และสิ่งนี้มันทำให้ประชาชนขุ่นเคืองเพราะความซื่อตรง จึงถูกจับให้เป็นหัวหน้ากองกำลังทหาร
แต่ทองคำยังส่องประกายอยู่เสมอ ไม่กี่ปีต่อมาเฉินจื่ออันก้าวเดินไปอย่างมั่นคงและในที่สุดก็กลายเป็นผู้นำระดับมณฑล และเป็นคนที่มักจะปรากฏตัวในโทรทัศน์ ซูเสี่ยวเถียนเคยเห็นอยู่บ่อย ๆ
เฉินจื่ออันไม่ใช่คนในพื้นที่และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอเลย ทำไมถึงมาปรากฏตัวได้ล่ะ?
*[1] พูดจาเป็นเรื่องเป็นราว