บทที่ 50 ยึดมั่นในหน้าที่แล้วจะอยู่ได้ยืนยาว
บทที่ 50 ยึดมั่นในหน้าที่แล้วจะอยู่ได้ยืนยาว
“คุณก็คิดเองสิ!” เฉินจื่ออันขมวดคิ้วพลางพูดอย่างหงุดหงิด
เจ้าหน้าที่หลิวเข้าใจแล้ว นี่คงต้องการให้เขาเสียเงินเยอะ ๆ สินะ
เขาหยิบตั๋วเงินและเงินจากร่างกายออกมาอย่างสั่นเทา แล้วพูดจาแดกดัน “พวกคุณเอาไปให้หมดเลย!”
พวกคนที่ปกติมักไปไหนมาไหนกับเจ้าหน้าที่หลิวได้ยินก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ก็ยังหยิบตั๋วกับเงินมา
มากันสิบคน ฉันหนึ่งใบแกหนึ่งใบ เงินทั้งหมดเป็นหนึ่งร้อยยี่สิบสามหยวนกับสี่เหมา รวมเข้ากับตั๋วอาหารสามสิบห้าจิน ตั๋วน้ำตาลสองจิน ตั๋วเนื้อแปดจิน และตั๋วผ้าเจ็ดฉื่อ
“หัวหน้าเฉินรวมได้เยอะขนาดนี้แล้ว ท่านพอใจหรือไม่ครับ?”
เจ้าหน้าที่หลิวมือสั่นตอนที่ยื่นตั๋วเงินพวกนี้ให้ พอเงินจำนวนมากถูกมอบให้กับครอบครัวของซูชวนแบบนี้ รู้สึกเจ็บใจนัก!
ถึงปกติพวกเขาจะมีน้ำมันอยู่บ้าง แต่จะมีเท่าไหนกันเชียว? แถมวันนี้ที่มากลับสูญเสียไปเยอะขนาดนี้อีก
“คุณเป็นคนชดใช้ให้พวกเขาเอง แล้วจะถามผมหาอะไร?” เฉินจื่ออันจ้องเขม็งทำเจ้าหน้าที่หลิวเขาไม่กล้าพูดอะไรสักคำ แล้วเดินไปหาซูชวนอย่างเชื่อฟังพร้อมกับตั๋วเงินในมือ
ซูชวนในตอนนี้ยังไม่ได้ตอบสนอง พอเห็นเจ้าหน้าที่หลิวเดินเข้ามาเลยปฏิเสธไปโดยไม่รู้ตัว
ซูเสี่ยวเถียนรีบหยิบตั๋วและเงินจากมืออีกฝ่ายมา
บางทีในตั๋วพวกนี้อาจจะมีของบ้านเธอปะปนอยู่ด้วยก็ได้ ทำไมจะไม่รับไว้ล่ะ?
“น้อยไปหน่อยค่ะ แต่จะรับไว้ก็แล้วกันค่ะ เจ้าหน้าที่หลิว หนูเป็นครอบครัวชาวนาที่สูงส่งนะคะ เป็นชาวนากันแปดชั่วโคตรเลย เป็นครอบครัวผู้บริสุทธิ์!” น้ำเสียงของซูเสี่ยวเถียนดูภาคภูมิใจ แต่ฟังดูแล้วน่ารำคาญนัก
ประโยคที่เธอพูดทำให้เขาโกรธจนอยากเอื้อมมือออกไปตี แต่ถามว่าเขากล้าไหม?
ไม่แน่นอน ตราบใดที่เฉินจื่ออันยอมปล่อยเขาไป คงเป็นบุญบารมีที่บรรพบุรุษสั่งสมมาแล้ว
เจ้าหน้าที่หลิวถอนใจ ไม่ง่ายเลยที่จะได้ออกมา
สวรรค์ ในที่สุดก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขอบคุณตัวเองที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วนะ!
“เจ้าหน้าที่หลิว พวกเรายังจะไปคอกวัวอยู่หรือไม่ครับ?” ชายหนุ่มที่มีหน้าตาน่าเกลียดถามออกมา
“ยังจะไปทำบ้าอะไรที่คอกวัวอีก กลับสิวะ”
“กลับ?”
คนหนุ่มสาวไม่คิดเลยว่าเจ้าหน้าที่หลิวจะตัดสินใจกลับง่ายดายเช่นนี้
“ถ้าไม่กลับ แล้วจะรอให้เฉินจื่ออันมาจัดการหรืออย่างไรเล่า?” เจ้าหน้าที่หลิวเหลือบมองเจ้าพวกนั้นที่ยังงุนงง
“พวกเรามีตั้งหลายคนยังเอาชนะเขาไม่ได้อีกเหรอ?”
“ตัวแค่นี้ ต่อให้มายี่สิบสามสิบคนก็สู้หัวหน้าเฉินคนเดียวไม่ได้หรอก!”
จะไม่พูดว่าคนพวกนี้มาที่ลานบ้านซูอย่างสง่างามและกลับไปอย่างสิ้นหวังหรอกนะ
“สวัสดีครับคุณลุงซู ผมชื่อเฉินจื่ออันครับ และผมมาเยี่ยมคุณตามคำร้องขอผู้บังคับบัญชาต่งหยวนจงครับ” เฉินจื่ออันพูดขึ้นเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่หลิวพาคนออกไป
ส่วนคนจากชุมชนหงซิน เขาไม่ได้เอ่ยปากให้กลับไป
ซูชวนตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นถึงจำได้ว่าต่งหยวนจงเป็นยาจกที่เกือบตายจากความอดอยากและเป็นคนที่เขาเองก็ช่วยชีวิตเอาไว้ ทั้งยังเคยส่งของให้ไปครอบครัวอีกฝ่ายเมื่อนานมาแล้วด้วย
สีหน้าอันของซูชวนเป็นปกติดี แต่ซูฉางจิ่วและคนอื่น ๆ ไม่ค่อยดีนัก
ต่อให้พวกเขาไม่มีสามัญสำนึกก็รู้ว่าต่งหยวนจงเป็นผู้นำสูงสุดของมณฑล คิดไม่ถึงว่าคนแบบนั้นจะส่งของมาให้ตระกูลซู
เวลาของตระกูลซูโคจรมาถึงแล้ว
ความดีของซูชวนที่สั่งสมมาหลายปี ในที่สุดก็เห็นผล
นักบัญชีหลี่อิจฉา เขาอยากให้คนที่ช่วยต่งหยวนจงเป็นพ่อของเขาเอง แต่โชคร้ายที่พ่อของเขาเป็นคนขี้เหนียวและไม่เคยให้อะไรใครเลย
“หัวหน้าเฉิน ผมชื่อซูฉางจิ่ว เป็นหัวหน้าของชุมชนการผลิตหงซินครับ เรื่องในวันนี้เป็นเพราะผมไม่ดีเอง จึงไม่ได้ปกป้องสหายซูชวนครับ!” ซูฉางจิ่วเดินขึ้นหน้ามาแสดงความผิดของตน
หัวหน้าเฉินเป็นคนเปิดเผย การที่เขายอมรับผิด อีกฝ่ายจะไม่โทษเขาอย่างแน่นอน
อย่างที่คาดไว้ เฉินจื่ออันเหลือบมองแล้วพูดว่า “จากนี้ไปต้องดูแลครอบครัวของสหายซูชวนให้มาก หากใครคิดอยากสร้างปัญหาให้ มาบอกผมก็พอ!”
ถ้ามีคนจากชุมชนใหญ่มาหาเรื่อง หัวหน้าชุมชนฝ่ายผลิตแค่คนเดียวคงไม่มีทางจะหยุดเขาได้จริง ๆ
ซูฉางจิ่วตอบรับซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนั้นถึงค่อยแยกตัวไปกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายหญิง หัวหน้าทหารอาสา และนักบัญชี่หลี่
อีกสองคนรู้ว่าเฉินจื่ออันหามาตระกูลซู จึงปล่อยให้พวกเขาคุยกันตามลำพัง ดังนั้นเลยกล่าวอำลาและหมุนตัวกลับ
แต่นักบัญชีหลี่ลังเลเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ใหญ่ของอำเภอมาทั้งที แต่มันไม่ใช่เวลาที่พวกเขาควรแสดงตัวตนหรอกเหรอ? แล้วตอนนี้จะกลับไปก่อนได้อย่างไร?
พูดง่าย ๆ หัวหน้าชุมชนการผลิตไร้ประโยชน์ เป็นแค่ไอ้โง่คนหนึ่ง!
“ยังมีเรื่องอะไรอีก?” พอเห็นนักบัญชีหลี่ไม่ได้เดินตามออกไป เฉินจื่ออันก็เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมในทันที
เดิมทีเขามองไม่ออกว่าเจ้าหน้าที่จากชุมชนใหญ่คนนั้นกับชายผู้นี้เป็นคนประเภทเดียวกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสนใจคนตัวเล็กจ้อยเช่นเขา
“หัว…หัวหน้าเฉิน ผมชื่อ ชื่อหลี่จง เป็นนักบัญชีของชุมชนการผลิตหงซินครับ…”
“แกไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอกว่าเป็นใคร แต่ฉันมีเรื่องจะบอกแก ยึดมั่นในหน้าที่ แล้วจะอยู่ได้ยืนยาว! เสี่ยวจู ส่งพวกเขาออกไป”
ซูฉางจิ่วจ้องมองนักบัญชีหลี่ ชายคนนี้ตาบอดเกินกว่าจะมองเห็นหรือไง ปฏิเสธที่จะไปด้วยตัวเองดี ๆ แล้วตอนนี้ก็สบายใจที่ถูกไล่ตะเพิดออกมาเนี่ยนะ?
หลังจากที่คนอื่น ๆ ออกไปหมดแล้ว เฉินจื่ออันก็มองไปที่ซูเสี่ยวเถียนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อย หนูชื่ออะไรครับ? กล้าหาญมากเลยนะ!”
ซูเสี่ยวเถียนยิ้มหวาน “ลุงเฉิน หนูชื่อซูเสี่ยวเถียนค่ะ ทุกคนเรียกหนูว่าน้องเถียนกับเถียนที่รักค่ะ!”
หาได้ยากที่จะมีคนใหญ่คนโตเช่นนี้มาให้เกาะ ซูเสี่ยวเถียนไม่อยากทิ้งโอกาสดี ๆ ไป อย่างพิงต้นไม้ใหญ่*[1]
ครอบครัวของเธอถูกเจ้าหน้าที่จากชุมชนใหญ่คนนั้นทำให้ขุ่นเคือง ถ้าไม่มีขาให้เกาะแกะ คาดว่าเบื้องหลังยังมีอันตรายเฝ้ารออยู่
“สาวน้อย สมชื่อจังเลยนะ” เฉินจื่ออันลูบหัวซูเสี่ยวเถียน ก่อนหยิบลูกอมกระต่ายขาวถุงใหญ่ที่เสี่ยวจูถืออยู่ให้เธอ “ให้หนูนะ!”
ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้รับ แค่มองไปที่คุณปู่ซูและคุณย่าซู
“หัวหน้า พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก!” ตอนนี้คุณปู่ซูพูดได้อย่างสบายใจแล้ว
“มันไม่ใช่ของที่ผมส่งให้พวกคุณหรอกครับ เป็นผู้นำต่งต่างหากที่ส่งมาให้ เมื่อก่อนผู้นำต่งพูดอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าไม่ได้ท่านช่วยไว้ก็คงไม่มีเขาในวันนี้” เฉินจื่ออันกล่าวอย่างจริงใจ “แต่ผู้นำต่งบอกว่าที่มณฑลยุ่งมาก จึงหาเวลามาเยี่ยมท่านไม่ได้เลย จึงไหว้วานให้ผมมาแทน ด้วยคำสั่งของผู้นำให้ส่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับท่าน เพื่อแสดงถึงความรู้สึกขอบคุณครับ”
“ท่านผู้นำจะสุภาพเกินไปแล้ว ในปีนั้นฉันแค่ให้อาหารเขากินไม่กี่มื้อเอง!” คุณปู่ซูพูดอย่างอาย ๆ
แค่ไม่กี่มื้อเอง แถมยังได้รับของไม่น้อยอีกด้วย แล้วจะยังอายที่จะรับของอีกทำไม?
“เป็นพระคุณที่ช่วยชีวิต นับเป็นหนึ่งในน้ำใจงาม ลุงซู คุณรับไปเถอะ ถ้าคุณไม่รับไว้ ท่านผู้นำคงรู้สึกผิดยิ่งขึ้น” ใบหน้าของเฉินจื่ออันมีรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก
ลุงซูเพิ่งตอบรับไว้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าคำว่ารับไว้สองคำนี้หมายถึงอะไร!