บทที่ 53 เทศกาลไหว้พระจันทร์ · จับสลาก
บทที่ 53 เทศกาลไหว้พระจันทร์ · จับสลาก
ฉืออี้หย่วนอดใจไม่ได้จึงลูบกลุ่มผมนุ่มนิ่มของซูเสี่ยวเถียนอีกครั้ง หว่างคิ้วมีร่องรอยของความอบอุ่นปรากฏอยู่ แตกต่างจากความหนาวเหน็บก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“ได้เลยค่ะ! พี่อี้หย่วน หนูไปก่อนนะ เจอกันค่ะ!”
ซูเสี่ยวเถียนกระโดดโลดเต้นพร้อมทั้งฮัมเพลงขณะจากไป ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้เลย
ไม่รู้ว่าฉือเก๋อเดินมาอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไร ชายชราเอื้อมมือออกไปตบไหล่หลานชาย ก่อนเด็กคนนั้นจะมองกลับมาที่เขา
“คุณปู่!”
“อี้หย่วน!”
สองปู่หลานไม่ได้พูดอะไรสักคำเหมือนว่าคำพูดเหล่านั้นได้พูดไปหมดแล้ว
ณ บ้านซู
หลังจากกินข้าวเสร็จ คุณย่าซูก็เล่าเรื่องลูกสาวที่กลับมาเอาอาหารให้คุณปู่ซูฟัง
“จากนี้ไปก็ไม่ต้องไปช่วยเหลือมันอีก หลายปีมานี้มันเอาอะไรมาให้เราบ้าง? พูดอยู่ตลอดว่าจะเอามาให้แล้วเคยเอามาไหม? ต้องขอบคุณลูกสะใภ้ที่แสนดีขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นคงมีปัญหาไปตั้งนานแล้ว” คุณปู่ซูสูบยาสูบเฮือกใหญ่แล้วพ่นออกมา
ลูกสาวคนนี้เห็นแก่ตัวเกินไป คิดแต่เรื่องของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นหัวคนอื่น สำหรับซูหม่านเซียงแล้ว บ้านพ่อบ้านแม่เป็นที่ที่เธออยากจะขออะไรก็ได้
“ตาเฒ่า เวลาเด็กร้องไห้ก็มีนมให้กิน ลูกสาวอยากได้อะไรเราก็ให้ แต่กลับปฏิบัติต่อซิ่วเอ๋อร์ไม่เป็นธรรมเลย” คุณย่าซูนึกถึงลูกสาวคนเล็ก แล้วก็คิดถึงลูกสาวคนโตที่ไม่ว่าจะความขมขื่นแบบไหนก็กลืนมันลงไปทั้งหมด
เป็นลูกสาวของตนเช่นกัน ถึงสถานการณ์ทางฝั่งซูหม่านเซียงจะดี แต่ก็มักจะร้องไห้ฟูมฟายมาตลอด
แต่ชีวิตของลูกสาวคนโตอย่างซิ่วเอ๋อร์มีชีวิตที่ย่ำแย่จริง ๆ และไม่เคยพูดว่าเธอกินดื่มไม่อิ่ม ถึงจะกลับมาหาแต่เพียงก้มหน้าแล้วบอกว่าตนเองมีชีวิตปกติสุขดี
“อีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ให้เหล่าต้าไปหาซิ่วเอ๋อร์ไป เด็กคนนี้ก็ทุกข์ใจเหมือนกันที่ไม่มีลูก ทนทุกข์มาหลายปีแล้ว!” สีหน้าคุณปู่ซูยิ่งเหี่ยวย่นมากขึ้น
คุณย่าซูไม่ได้เอ่ยเอื้อนอะไรอีก เพราะการไม่มีลูกหลายปีมานี้จึงไม่รู้ว่าต้องถูกครอบครัวสามีสาปแช่งไปกี่ครั้ง
ในฐานะพ่อแม่ ถ้าลูกสาวไม่ได้ให้กำเนิดลูกพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย และทำได้เพียงเฝ้าดูลูกสาวที่ทนทุกข์ทรมานเท่านั้น
แต่เด็กคนนี้ดื้อรั้นยิ่งนัก ไม่เคยพูดถึงความทุกข์ยากลำบากเลยสักครั้ง กลับบ้านมาถึงก็สวัสดีทักทายกัน บอกว่าตัวเองมีความสุขดี
แต่ทั้งสองชุมชนอยู่ไม่ไกลกันนัก แล้วพวกเขาจะไม่รู้สถานการณ์ได้อย่างไร?
เหตุผลที่ไม่พูดอะไรก็เพื่อปกป้องใบหน้าลูกสาวของเธอ
“ตอนไปก็เอาของไปให้ลูกด้วยเถอะ! เธอทำแป้งทอดสักหน่อยให้เหล่าต้าไปดูว่าลูกกินด้วยนะ”
เด็กคนนั้นคงไม่เคยได้กินอิ่มเลยสินะ ตอนนี้จะผอมซูบแค่ไหนกันนะ
คนเป็นพ่อมองดูแล้วก็เจ็บปวดหัวใจ แต่จะทำอย่างไรได้เล่า?
ผู้หญิงที่ไม่มีลูกมักด้อยกว่าเสมอ!
ตระกูลหวังยังไม่ได้หย่ากับซิ่วเอ๋อร์ นับเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่แล้ว!
สองสามีภรรยาเฒ่าเงียบลงเพราะเรื่องนี้
พระอาทิตย์ตกพระจันทร์ขึ้น แล้วพระอาทิตย์ก็ขึ้นส่วนพระจันทร์ตกอีกครา
ชั่วพริบตาเดียวก็เป็นสามวันก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์
ปีนี้พืชผลในชุมชนเติบโตได้ค่อนข้างดีทีเดียว เมื่อเห็นว่าธัญพืชฤดูใบไม้ร่วงสามารถเก็บเกี่ยวได้ หัวหน้าชุมชนก็มีความสุขมากรวมถึงเหล่าสมาชิกในชุมชนด้วย
หลังจากหารือกับเจ้าหน้าที่หลายคนในชุมชนการผลิตแล้ว พวกเขาตัดสินใจฆ่าหมูเพื่อใช้สำหรับเทศกาลนี้
ที่ชุมชนการผลิต แค่ฆ่าหมูแค่ตัวเดียว คนคนหนึ่งจะได้เนื้อไม่มากนัก
เพียงแค่ได้กลิ่นของมันก็นับว่าดีแล้ว
ผู้คนในชุมชนการผลิตต่างถือหม้อกันอย่างมีความสุข และรอคอยการแบ่งเนื้อ
อ้างอิงตามกฎแล้ว เนื้อจะแบ่งตามจำนวนประชากร แต่ใครแบ่งก่อนแบ่งทีหลัง ต้องตัดสินด้วยการจับฉลาก
คุณย่าซูรู้สึกว่าคนที่โชคดีที่สุดในครอบครัวของเธอคือซูเสี่ยวเถียน ดังนั้นจึงให้ดาวนำโชคตัวน้อยออกไปจับฉลาก
แน่นอนว่ามือเล็กของหลานรักผู้นำโชคจะหวานเป็นพิเศษ และคว้าหมายเลขหนึ่งมาได้
ซูเสี่ยวเถียนโบกฉลากหมายเลขหนึ่งในมือ ก่อนโน้มตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของคุณย่าซูด้วยรอยยิ้มสดใส
รอยยิ้มของคุณย่าซูเปลี่ยนเป็นเบิกบานราวกับดอกไม้ผลินบาน
หมายเลขหนึ่งจับได้ยากมาก แค่ให้หลานรักเธอไปจับมาก็ได้แล้ว
ฉลากใบนี้ดึงดูดความอิจฉาริษยาของทุกคน สุดท้ายคนที่เป็นอันดับแรกก็สามารถเลือกส่วนที่ดีที่สุดบนตัวหมูได้
เนื้อส่วนมันชิ้นหนา ๆ ดีกว่าเครื่องในและเนื้อสับที่ถูกคนอื่นเลือกเหลือไว้มากนัก
คนส่วนใหญ่อิจฉามีเพียงซูเสี่ยวฉินเท่านั้นที่มองซูเสี่ยวเถียนราวกับถูกวางยาพิษ
ทำไมกัน? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?
ถ้าโชคดีขนาดนี้ เธอก็ไม่กลัวที่จะใช้โชคไปกับชีวิตที่เหลือให้หมดหรอก
“แกไปจับฉลากไป!” หลิวซิ่วอิงได้ยินซูเสี่ยวเถียนจับได้หมายเลขหนึ่ง ก็มองไปที่หลานสาวอย่างซูเสี่ยวฉินทันที
ก็เหมือนกับลูกตระกูลซูนั่นล่ะ ซูเสี่ยวเถียนจับได้หมายเลขหนึ่ง ซูเสี่ยวฉินก็คงไม่ต่างกันนัก อย่างน้อยก็ควรได้หมายเลขสามหรือสี่จริงไหม?
ซูเสี่ยวฉินตัวสั่นเทิ้ม เธอไม่กล้าไป แต่ไม่ไปก็ไม่ได้ ถึงจะตอบด้วยเสียง แต่เท้ากลับไม่ขยันเขยื้อน
“รีบไปสักทีสิ รีรออันใดอยู่? แกนี่มันทำอะไรก็ไม่ได้ กินอะไรก็ไม่เคยพอ” หลิวซิ่วอิงด่าแล้วถีบซูเสี่ยวฉินไปทีหนึ่ง
ซูเสี่ยวฉินรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าเธอไม่สามารถจับฉลากได้อันดับดี ๆ จะถูกทุบตีเป็นอย่างแน่
แต่หลิวซิ่วอิงกำลังจ้องดุ ๆ อยู่ ถ้าเธอไม่ไปจะถูกทุบตีตอนนี้แน่ ๆ ไม่ไปก็ไม่ได้
นักบัญชีหลี่เตือนอยู่หลายครั้งแล้ว และผู้คนในหมู่บ้านที่ยังไม่ได้จับฉลากล้วนอดใจรอไม่ไหวอีกต่อไป
เธอเอื้อมมือออกไปอย่างสั่นสะท้าน แม้กระทั่งตอนที่เอื้อมมือออกไปยังขอพรถึงพรสวรรค์และพระพุทธเจ้า โดยหวังว่าตนได้ฉลากหมายเลขดี ๆ
หากตอนนี้ไม่ให้เอ่ยถึงท่าน ซูเสี่ยวฉินคงพนมมือทั้งสิบแล้วโค้งคำนับต่อเทพเจ้าที่
เธอหลับตาแล้วกวาดมือในโหลหยิบฉลาดออกมาหนึ่งใบ
เธอเปิดฉลากในมืออย่างสั่น ๆ มันก็เป็นหมายเลขหนึ่งร้อย
น่าเสียดายที่ซูเสี่ยวฉินไม่รู้หนังสือ เธอเห็นคำว่าหนึ่งร้อยสองตัวนี้ก็คิดถึงสิ่งที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ว่าตัวเลขหลัง ๆ จะเป็นอักษรสามตัว จึงชื้นใจขึ้นมาหน่อยนึง
ถึงหมายเลขจะไม่ดีเท่าหมายเลขหนึ่งของซูเสี่ยวเถียน แต่ก็ควรจะดีใช่ไหม? หมายเลขสิบกว่า ๆ หรือเปล่า?
บนใบหน้าของซูเสี่ยวฉินปรากฏรอยยิ้ม ก่อนจะส่งให้นักบัญชีหลี่
“ครอบครัวของซูซาน หมายเลขหนึ่งร้อย!” นักบัญชีหลี่มองดู ก่อนตะโกนเสียงดัง
พอซูเสี่ยวฉินได้ยินตัวเลขก็ตกตะลึงในทันที
หมายเลขหนึ่งร้อย? เป็นไปได้อย่างไร? ทั้งหมู่บ้านมีหนึ่งร้อยเอ็ดครัวเรือน แล้วเธอจับได้หมายเลขหนึ่งร้อยเนี่ยนะ?
ไม่ ไม่ใช่แล้ว ต้องเป็นนักบัญชีหลี่ที่เข้าใจผิดไป
“นักบัญชีหลี่ คุณต้องอ่านผิดแน่ ๆ หนูจะได้หมายเลขหนึ่งร้อยได้อย่างไร?” ดวงตาของซูเสี่ยวฉินเป็นสีแดงก่ำ ก่อนรีบไปคว้าแขนของนักบัญชีหลี่และเขย่ามันอย่างสิ้นหวัง
“ยัยเด็กคนนี้ ทำไมพูดจาไม่เข้าหูเลย? เธอจับหมายเลขหนึ่งร้อยเองแล้วจะมาโทษฉันที่อ่านผิดได้อย่างไร? หัวหน้าชุมชน นี่ใช่หมายเลขหนึ่งร้อยหรือเปล่า!” พอคิดว่าซูเสี่ยวฉินพาดพิงว่าตนจงใจอ่านผิดก็โมโหมาก น้ำเสียงก็ยิ่งแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงจะอิจฉาบ้านซูชวน แต่พอมองไปที่สองพี่น้องคู่นี้ นักบัญชีหลี่ก็รู้สึกว่าทำไมพวกเธอถึงแตกกันได้ขนาดนี้?
หัวหน้าชุมชนอย่างซูฉางจิ่วเหลือบมองแล้วพูดอย่างไร้อารมณ์ “หมายเลขหนึ่งร้อย!”
เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงมาแบบนิสัยเสีย คนอื่นไม่รู้อะไร แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาไปถามมาก็รู้ได้ว่าซูเสี่ยวฉินเป็นคนไปรายงานถึงที่ชุมชนใหญ่
เธออายุแค่สิบกว่าปี แล้วโหดร้ายได้ขนาดนี้ได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้เธอยังไปกินข้าวที่บ้านผู้เฒ่าซูไม่น้อย ก็เลยสามารถไปฟ้องได้
ต้องระวังเด็กคนนี้ให้มากกว่านี้ ทางที่ดีที่สุดคือให้คนอื่นคอยดูด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับชุมชนการผลิตแห่งนี้
ซูเสี่ยวฉินไม่รู้ว่าซูฉางจิ่วรู้เรื่องที่เธอไปชุมชนใหญ่เพื่อร้องเรียนแล้ว จึงรู้สึกว่าคำพูดของซูฉางจิ่ว ทำลายความหวังทั้งหมด
ดังนั้นเลยมองไปที่ซูฉางจิ่วอย่างไม่พอใจ
ถึงเด็กสาวจะคิดว่าซูฉางจิ่วรู้ชัดว่าเธอจับได้หมายเลขหนึ่งร้อย เธอคงไม่มีชีวิตที่ดีและต้องถูกทุบตีแน่นอน แล้วทำไมถึงพูดตรง ๆ ออกมาตรง ๆ ว่าเธอได้หมายเลขหนึ่งร้อย?
พูดเลขอะไรไม่ได้หรือ? อย่างไรก็ไม่มีใครเห็นหมายเลขอยู่ดี!
ซูเสี่ยวฉินลืมสิ้นไปหมดว่าซูฉางจิ่วเป็นคนอย่างไร แล้วทำไมถึงขัดผลประโยชน์ของเธอด้วย
หลังจากที่หลิวซิ่วอิงมั่นใจว่าซูเสี่ยวฉินได้หมายเลขหนึ่งร้อยจริง ๆ เธอพลันนึกถึงฉากชั้นไขมันชิ้นโตที่บินผ่านตาไป หากแต่เอื้อมมือคว้าไม่ถึง นางไม่สนใจใครทั้งสิ้นวิ่งฝ่าฝูงชนไปทุบหลานสาวอย่างแรง
ตอนที่หลิวซิ่วอิงทุบตี หลอนไม่เคยออมแรง ฝ่ามือที่ทำไร่ทำนาฟาดบนใบหน้าซูเสี่ยวฉิน เด็กสาวรู้สึกเจ็บปวด และอยากกุมหัววิ่งไป
“ฉันรู้ว่าแกมันไอ้ตัวไร้ประโยชน์ คนอื่นจับได้หมายเลขหนึ่งแต่ทำไมแกจับได้หมายเลขหนึ่งร้อย? มือแกเคยจับอึมาใช่ไหม? ทำไมมันเหม็นนัก?” ตอนที่หลิวซิ่วอิงด่า เธอไม่สนใจสีหน้าซูเสี่ยวฉินเลยสักนิด
ซูเสี่ยวฉินโตเป็นสาวแล้วถึงเข้าใจคำหยาบคาย พอถูกหลิวซิ่วอิงดุขนาดนี้ใบหน้าแดงจนเกือบมีเลือดหยดออกมา หัวใจเจ็บปวดเกือบจะยืนไม่ไม่ไหว รวมกับความเจ็บปวดทางกาย ซูเสี่ยวฉินขมขื่นมากขึ้น
เป็นครั้งแรกที่ซูเสี่ยวฉินเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อหลิวซิ่วอิง
ตอนนี้เธอเกลียดซูเสี่ยวเถียน เกลียดตระกูลซูชวน เกลียดเจ้าหน้าที่ในชุมชนการผลิต ซูฉางจิ่ว และนักบัญชีหลี่ เกลียดพ่อเกลียดแม่ เกลียดทุกคนในชุมชน
เธอกำมือแน่น ไม่คิดขอความเมตตา และรู้สึกเศร้าอยู่ในใจ
นี่เป็นชุมชนการผลิตที่ไร้หัวใจสินะ ทำไมถึงยังเรียกว่าชุมชนการผลิตหงซินล่ะ? (หงซิน หมายถึง หัวใจที่ภักดีต่อคณะปฏิวัติ)
คนที่นี่ใจดำมืดกันหมดเลยใช่ไหม?
เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ทำไมซูเสี่ยวเถียนถึงโชคดีที่มีคุณย่า มีสมาชิกครอบครัวที่รักและเอ็นดู ทำไมพวกโง่นั่นถึงปรารถนาจะมอบสิ่งดี ๆ ให้หล่อนนัก
หลิวซิ่วอิงก็เป็นย่าแท้ ๆ ของตน แล้วทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้? ทั้งยังมีแม่ที่ไม่เคยใส่ใจเธออีก? ทำไมเอาแต่สนใจแต่ลูกชาย?
“หลิวซิ่วอิง ไม่ใช่เธอหรือไงที่ให้เสี่ยวฉินจับฉลากน่ะ ทำไมไปด่าเธอเล่า?” บางคนทนดูที่ซูเสี่ยวฉินถูกทุบตีไม่ได้ จึงเอ่ยปากช่วย
“ชุมชนการผลิตสิ้นเปลืองขนาดนี้ มีตั้งหนึ่งร้อยหนึ่งครัวเรือน แต่มันจับหมายเลขหนึ่งร้อยมาให้ฉัน ไม่ให้ตีมันแล้วจะไปตีใคร?” หลิวซิ่วอิงพูดอย่างกังวลใจ
“ช่างมันเถอะ หยุดตีได้แล้ว ค่อยกลับไปสอนกันที่บ้านนู้น” ซูฉางจิ่วทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
มาตีเด็กต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้ให้คนอื่นดูเพื่ออะไร?
ไม่น่าแปลกใจเลยซูเสี่ยวฉินจะจิตใจบิดเบี้ยว มีผู้อาวุโสในบ้านเช่นนี้จะไม่บิดเบี้ยวได้อย่างไร?
หลิวซิ่วอิงก็รำคาญซูฉางจิ่วเหมือนกัน และรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของชายคนนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเพราะพวกตระกูลซูนั่นและ ทำไมไม่ดูแลบ้านตัวเองให้ดีสักหน่อย?
“โอ๊ย หัวหน้าชุมชน คุณสั่งฟ้าสั่งดินได้ แล้วยังสั่งให้ฉันไม่ให้ฉันตีหลานอีกเหรอ? ลูกหลานบ้านฉันจะถูกตีตาย มันก็เป็นเพราะโชคชะตามันแย่ แล้วอีกอย่างฉันเลี้ยงมันมาตั้งนานขนาดนี้ ตีทีสองตีแล้วมันจะทำไม?”
ซูฉางจิ่วฟังคำหลิวซิ่วอิงไม่ขึ้นและไม่คิดจะพูดต่อ คนแบบนี้พูดด้วยก็เสียเวลา
“คนอื่นมาจับฉลากต่อครับ”
ไม่นานทุกคนในหมู่บ้านก็จับฉลากจากนั้นจึงเริ่มแบ่งเนื้อ หนึ่งคนได้เนื้อเพียงสองเหลี่ยง*[1]เท่านั้น
ตระกูลผู้เฒ่าซูเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกสิบแปดคน ควรแบ่งได้เนื้อสามจินหกเหลี่ยง
ตอนนั้นเองที่หลี่จู้จื่อวิ่งเข้ามา บอกว่าจะให้เนื้อสองเหลี่ยงกับตระกูลซู
“ไม่ได้หรอกจู้จื่อ มันแบ่งยากนะ” คุณย่าซูรีบคัดค้านทันที
หลี่จู้จื่อบอก “ผมคนเดียวได้ตั้งสองเหลี่ยง ใส่ลงหม้อไปก็ไม่เห็นแล้วครับ” หลี่จู้จื่อลูบหัว “ทำครั้งเดียวเปลืองฟืนเปล่า ๆ”
ครอบครัวมีเขาแค่คนเดียว เนื้อสองเหลี่ยงยากที่จะจัดการจริง ๆ
สมาชิกในชุมชนการผลิตหัวเราะร่วน
เพราะฉลากของหลี่จู้จื่ออยู่อันดับสูงประกอบกับมีเนื้อแค่สองเหลี่ยง ทว่าก็ไม่มีใครคัดค้านที่เขาจะแบ่งให้ตระกูลซูเลย
คุณย่าซูกลับบ้านพร้อมกับเนื้อสามจินหกเหลี่ยง นี่เป็นชิ้นส่วนที่ดีที่สุดบนตัวหมูเลย
ไขมันชั้นหนา ๆ คุณย่าซูคิดถึงตอนกลับไปทำเป็นน้ำมันที่บ้าน กากหมูที่เหลือพอถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เอามาห่อกินได้
ราดกากหมูไว้บนซาลาเปาฟักทอง คงจะส่งกลิ่นหอมคละคลุ้ง
พอถึงตอนนั้นก็ค่อยส่งซาลาเปาลูกใหญ่อีกสองลูกให้หลี่จู้จื่อ เธอไม่สามารถรับเนื้อสองเหลี่ยงมาเฉย ๆ ได้หรอก เนื้อสัตว์เป็นของหายาก
หลังจากที่หัวหน้าชุมชนอย่างซูฉางจิ่วแบ่งเนื้อเสร็จ ก็เดินผ่านแปลงส่วนตัวของตระกูลซู แต่เขาก็ต้องแปลกใจที่พบว่าธัญพืชในบ้านนี้เติบโตได้ดีกว่าธัญพืชในทุ่ง มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
ตระกูลผู้เฒ่าซูโชคดีจริง ๆ เหรอ? เมื่อไม่นานมานี้ก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น
เพราะได้รับการดูแลจากหัวหน้าอำเภอ และผู้นำมณฑลจึงไม่ได้คิดอะไร แต่นี่ยังจับฉลากได้หมายเลขหนึ่งด้วย
แต่พืชผลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะโชคช่วยเท่านั้นใช่ไหมล่ะ? ดูเหมือนเมื่อสองเดือนก่อนพืชผลบ้านเขาจะเติบโตได้ไม่ค่อยดีนะ
หัวหน้าชุมชนตัดสินใจกลับไปถามคุณปู่ซูว่าเพาะปลูกอย่างไร และดูแลอย่างไรถึงโตดีเช่นนี้
คุณย่าซูทำซาลาเปาในเช้าวันที่ 15 เดือน 8
ตามกฎของที่นี่ วันที่ 15 เดือน 8 จะเป็นวันที่นึ่งขนมไหว้พระจันทร์
พวกเราชาวเกษตรกรจะนึ่งขนมไหว้พระจันทร์กันเอง ซึ่งแตกแตกต่างจากขนมไหว้พระจันทร์ที่ขายในเมืองอย่างแน่นอน เพราะจะเป็นขนมไหว้พระจันทร์ลูกใหญ่พันชั้นที่บ้านตนทำเอง
พอถึงกลางคืนเราจะกางโต๊ะไว้ที่สนาม และวางขนมไหว้พระจันทร์ที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดซึ่งทำขึ้นเองไว้ตรงกลางเพื่อบูชาเทพแห่งดวงจันทร์
ปกติพวกเราชาวเกษตรกรจะไม่ค่อยกินเยอะ ไม่ค่อยใส่เสื้อผ้าใหม่ ๆ แต่พอถึงวันที่ 15 เดือน 8 พวกเราไม่กลัวที่จะสิ้นเปลืองน้ำมัน แป้ง น้ำตาล และขนมไหว้พระจันทร์จะต้องทำออกมาให้ได้
นี่เป็นกฎที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นทางการยิ่งกว่าพิธีปีใหม่
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ถึงจะไม่อนุญาตให้ถวายเครื่องบูชาแด่เทพแห่งดวงจันทร์ แต่กฎอันเก่าแก่ของการทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่ได้ถูกทำลายลง
เช้าตรู่ของวันนี้ แม้แต่คนที่ยากจนที่สุดในชุมชนการผลิตก็ยังทำขนมไหว้พระจันทร์ ผ่านไปสักพักอากาศก็อบอวลไปด้วยกลิ่นของมัน
ในยุคสมัยนี้หากบ้านใครราดน้ำมันร้อน ๆ ลงไปในอาหารจะหอมไกลไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าตอนนี้ทั้งชุมชนการผลิตกำลังทำขนมไหว้พระจันทร์อยู่
แต่กลิ่นหอมของทั้งชุมชนการผลิตไม่เท่าของบ้านซูหรอก
ฝีมือการทำอาหารของคุณย่าดีเลิศ และยังเต็มใจจะใช้วัตถุดิบด้วย ไม่เพียงแต่ทำขนมไหว้พระจันทร์รูปลักษณ์สวยงามเท่านั้น แต่ยังหวานมากด้วย ต่อให้อยู่ไกลก็ยังได้กลิ่น และมันยังดึงดูดคนในหมู่บ้านไม่น้อยเลย
“ครอบครัวซูมีชีวิตที่ดีจังนะ แค่ได้กลิ่นขนมไหว้พระจันทร์ก็รู้แล้วว่ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น”
“ไม่จริงหรอกน่า เพราะได้รับความโปรดปรานจากผู้นำต่างหาก ไม่เห็นหรือไงว่าวันนั้นมีข้าราชการระดับสูงเอาอาหารมาให้น่ะ เยอะจนกินได้ครึ่งปีด้วยซ้ำ!”
“ทำไมครอบครัวฉันถึงไม่มีญาติดี ๆ กับเขาบ้างนะ จะได้มีช่วงเวลาดี ๆ ในวันเทศกาลบ้าง!”
“แกฝันอยู่หรือไง? นี่ก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีนะ แค่ได้กินข้าวดี ๆ สักมื้อก็ดีมากแล้ว”
ทุกคนหัวเราะลั่น แต่ไม่มีใครไปบ้านซูจริง ๆ
ณ บ้านซู คุณย่าซูกำลังเอาขนมไหว้พระจันทร์ออกจากตะกร้านึ่ง
ตะกร้านึ่งใหญ่ขนาดสามฉื่อ*[2] ส่วนขนมไหว้พระจันทร์หนาเกือบสี่ชุ่น*[3] ด้านบนตกแต่งด้วยแป้งที่ทำเป็นรูปดอกไม้ต่าง ๆ สีสันสดใส ประดับด้วยพุทธาแดงสองสามลูก ดูสวยงามยิ่งนัก
คุณย่าซูไม่หวงที่จะใช้น้ำมันและน้ำตาล เมื่อเช้าเธอหยิบน้ำตาลทรายแดงออกมาหนึ่งถุงแล้วละลายไปครึ่งถ้วย แต่ละชั้นจะวางน้ำตาลทรายแดงที่ทำการละลายแล้วไว้ตรงกลางเท่า ๆ กันทุกชั้น จากนั้นก็ใส่ถั่วสีเขียว ๆ ที่บดแล้วลงไปกับกุหลาบสีแดงสดบดละเอียด
ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการนึ่งขนมไหว้พระจันทร์ก้อนใหญ่ คุณย่าซูจึงทำสามก้อนในครั้งเดียว ซึ่งอัดแน่นเต็มตะกร้า
ปีนี้เป็นช่วงเวลาที่ใช้วัตถุดิบไปอย่างฟุ่มเฟือยที่สุด เมื่อก่อนคุณย่าซูทำขนมไหว้พระจันทร์เหมือนกัน แต่ทำแค่ก้อนเดียวและไม่ได้ใหญ่มาก
แต่ปีนี้อาหารที่บ้านไม่ขาดแคลนเลยทำแป้งกะละมังใหญ่ พอใช้ทำขนมไหว้พระจันทร์เสร็จ ครึ่งที่เหลือก็เอาแป้งข้าวโพดมาผสม แล้วทำซาลาเปา
ฟักทองที่ปลูกเองในบ้าน หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ เอาไปทอดน้ำมันท่วม ๆ ส่งกลิ่นหอมฉุย
คุณย่าซูพาลูกสะใภ้สามคนห่อซาลาเปาอย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่าถ้าซาลาเปาลูกใหญ่ มันจะใหญ่จริง ๆ แต่ละลูกใหญ่กว่ากำปั้นของผู้ใหญ่อีก
“คุณแม่คะ มันเยอะกว่าปีใหม่ที่ผ่านมาอีกค่ะ” หวังเซียงฮวามองดูซาลาเปานึ่งลูกใหญ่ ๆ จำนวนมาก เพราะผสมกับแป้งข้าวโพดเข้าไป จึงมีผิวสีเหลืองเล็กน้อย ลูกใหญ่จริง ๆ เลย!
“หาได้ยากที่ปีนี้บ้านเราจะมีสถานการณ์ที่ดี ฉันเลยถือโอกาสทำของกินดี ๆ ในเทศกาลนี้ กลับไปเมื่อไร ก็เอากลับไปบ้านให้พ่อให้แม่สะใภ้ด้วยนะ”
ลูกสะใภ้ทั้งสามไม่ได้คาดคิดว่าจะเอากลับไปให้พ่อแม่ของพวกเธอได้
“หลายปีผ่านมาบ้านเราไม่เคยมีอะไรเลย ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้มีกับเขาบ้างก็ต้องเอาหน้าบ้างสิ” คุณย่าซูยิ้มอย่างสดใส
สะใภ้ทั้งสามปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้เลย สุดท้ายแล้วบ้านสามีก็สถานการณ์ย่ำแย่อยู่ดี กลับบ้านเกิดไปทีไรก็ไม่วายถูกบีบคั้นไม่น้อยเลย
แต่ตอนนี้มันดีแล้ว ซาลาเปาลูกใหญ่สิบลูก ของขวัญเทศกาลที่ดีมาก ๆ
“กลับไปฉันยังต้องเอาไปให้หลี่จู้จื่ออีกด้วย เรากินเนื้อสัตว์ของคนอื่นเฉย ๆ ไม่ได้ ฉันคิดว่าจะให้ซาลาเปาสักสองสามลูกกับขนมไหว้พระจันทร์อีกชิ้นสองชิ้น หลี่จู้จื่อเองก็เป็นคนขยัน พวกเราใช้ประโยชน์จากเขาไม่ได้ ต้องเอาใจใส่กันนะ”
คุณย่าซูเป็นคนแบบนี้ เธอตั้งใจจะไม่เอาเปรียบคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล
ลูกสะใภ้ทั้งสามพยักหน้าอย่างเป็นเอกฉันท์ แม่พูดถูก ถ้าพวกเขาใช้ประโยชน์จากหลี่จู้จื่อ จะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่
“คนฝั่งคอกวัวเราจะลืมไปไม่ได้เลย ช่างมัน เรื่องบางอย่างพวกเธอไม่ต้องรู้หรอก แต่จงจำไว้ว่าแค่เขาไม่เอาเปรียบเราก็พอแล้ว!”
คุณย่าซูไม่ได้บอกชัดเจนว่าอาหารที่อยู่ในบ้านส่วนหนึ่งเป็นของที่ให้สองปู่หลาน แต่ก็ยังเตือนพวกลูกสะใภ้อยู่ดี
ลูกสะใภ้ทั้งสามไม่ได้โง่เขลา ใครจะไม่รู้กันว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลแน่ เพราะงั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้นเองประตูก็ดังขึ้น
*[1] ‘เหลี่ยง’ หน่วยที่เล็กถัดลงมาจาก ‘จิน’ มีน้ำหนักเท่ากับ 50 กรัม
*[2] 1 ฉื่อเท่ากับ 10 นิ้ว
*[3] 1 ชุ่นเท่ากับ 1 นิ้ว