บทที่ 77 ซื้อของบำรุงกลับมา
พอได้ยินสิ่งที่ลูกสะใภ้พูด คุณปู่ซูรีบโบกมือปฏิเสธ “ฉันสบายดี ให้แม่บำรุงก็พอแล้ว!”
ยายเฒ่ากินวันละสองฟองยังพอไหว แต่ให้คนอย่างฉันกินอีกสองฟองด้วยครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร?
ซูเสี่ยวเถียนอยากยกย่องมารดานัก ช่างคิดได้รอบคอบจริง ๆ ที่รู้สึกว่าคุณปู่จำเป็นต้องบำรุงด้วย
“คุณปู่กินนะ เสี่ยวเถียนไม่อยากเห็นคุณปู่เป็นลมไปด้วย” ซูเสี่ยวเถียนก้าวไปข้างหน้าแล้วจับมือชายชราตรงหน้า พลางเขย่าเบา ๆ
ไม่ใช่แค่ร่างกายคุณย่าที่ขาดสารอาหารเท่านั้น ร่างกายคุณปู่แย่ยิ่งกว่า
ตอนนี้เขามีเพียงลมหายใจเดียวที่ช่วยไม่ให้ล้มลงไป และนี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หากเสาหลักเช่นท่านล้มลงไป โลกของตระกูลซูคงถล่มลง
ชาติที่แล้ว คุณปู่ไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดไว้ได้ ก่อนจะจากไปตลอดกาล เธอยังจดจำมันได้ถึงทุกวันนี้ และไม่อยากทำผิดซ้ำซากอีก
คุณปู่ซูไม่ได้คาดหวังว่าหลานสาวจะพูดเช่นนี้จึงตกตะลึง
แล้วก็เห็นแววตาตื่นตระหนกของซูเสี่ยวเถียน เด็กน้อยยังเล็กเกินไป จึงตกใจกลัวที่คุณย่าเป็นลม เขาอุ้มหลานสาวไว้ในอ้อมกอดอย่างรักใคร่
“เด็กดีอย่ากลัวไปเลย ปู่จะไม่เป็นไร ย่าก็จะไม่เป็นไร จะคอยปกป้องเด็กดีของบ้านเราเอง”
ในที่สุด สองสามีภรรยาเฒ่ายอมกินไข่หวานน้ำที่เหลียงซิ่วทำมาให้
ช่วงกินข้าว คนสูงวัยทั้งสองยังทุกข์ใจ คิดจะเก็บไว้ให้พวกลูกหลานกินตลอด
แต่ซูเสี่ยวเถียนคอยเฝ้ามอง ยืนกรานว่าต้องกินข้าวให้หมด ดื่มซุปให้หมด ไม่ให้เหลืออะไร
เห็นท่าทางแบบนี้ เหลียงซิ่วจึงชื่นชมลูกสาวของเธอนัก
เด็กคนนี้ฉลาดจริง ๆ ไม่คิดโลภเลย หาได้ยากมาก
เหลียงซิ่วเก็บจานก่อนนำไปล้างในครัว ส่วนคุณปู่ซูได้ยินเสียงหลาน ๆ กลับมาจึงออกไปช่วย
ในห้องหลัก
ซูเสี่ยวเถียนอยู่ข้างกายคุณย่าซู คอยคุยเล่นเป็นเพื่อนหญิงชรา
“เสี่ยวเถียนเอ๋ย ไข่ที่ย่าให้หนู ทำไมถึงไม่กินล่ะ?” คุณย่าซูพูดขณะจับเปียหลานสาว
เธอยังคงรู้สึกลำบากใจที่จะกินไข่สองฟองในครั้งเดียว
“ให้คุณย่ากินก่อนค่ะ พวกเรากินดีแล้ว ร่างกายก็แข็งแรงดีด้วย” ซูเสี่ยวเถียนตอบด้วยรอยยิ้ม
“พวกหลานกินดีที่ไหนกัน! ดูอย่างหลานจินหลานอิ๋นบ้านปู่รองซิ ตัวโตมากขนาดไหน?” คุณย่าซูมองดูร่างกายผอมแห้งแล้วพูดอย่างปลง ๆ
“พวกเขาอ้วนมาก น่าเกลียดจะตาย” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างดูถูก
คุณย่าซูอดหัวเราะไม่ได้ แต่ที่หลานสาวพูดก็ถูกแล้ว เด็กชายทั้งสองที่บ้านรองอ้วนมากจริง ๆ หน้าตาไม่ดีด้วย
ดีนักที่ลูกหลานบ้านเธอหน้าตาดี ดูดีกันทุกคน จะลูกชายลูกสาวก็ล้วนหน้าตาดี
“ย่าคะ หนูจะแอบบอกว่าหนูได้ตั๋วมาเยอะมากอีกแล้วค่ะ”
“ตั๋วอะไรหรือ?” คุณย่าซูก้มหัวไปใกล้ ๆ หลานสาว แล้วลอบถาม
“ไม่ใช่แค่ตั๋วเนื้อนะ มีตั๋วน้ำตาล ตั๋วไข่ด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนพูดเสียงเบา
ว่าจบเธอก็ยิ้มให้คุณย่าซูราวกับว่าภูมิใจที่มีความลับระหว่างเราสองคน ก่อนเด็กหญิงจะโดดลงจากเตียงเตา แล้ววิ่งเขาไปในห้องข้าง ๆ
ตอนที่กลับมา ในมือมีตั๋วเงินกองหนึ่ง เธอเอาให้คุณย่าทั้งหมด
“คุณย่าเอาไปให้หมดเลยค่ะ แล้วค่อยให้คุณพ่อเข้าเมืองไปซื้อกลับมานะคะ คุณปู่คุณย่าจะได้ช่วยบำรุงด้วย”
พอพูดถึงอาหารบำรุง คุณย่าซูพลันรู้สึกเป็นทุกข์ จะไม่ให้ทุกข์ได้อย่างไรล่ะ?
“คุณย่าคะ หนูจะบอกอะไรให้นะ บ้านเราตอนนี้ได้กินไข่แล้ว จากนี้ไปคุณปู่กับคุณย่าจะได้กินไข่วันละสองฟองแล้ว แต่หนูยังไม่ได้บอกกับคนอื่นนะ”
คุณย่าซูถือตั๋วเงินกองหนา เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แม้แต่คำพูดหลานสาวก็ยังไม่ได้ฟัง
เด็กคนนี้ ทำไมถึงได้ตั๋วเงินกองโตแบบนี้อีกแล้ว? เธอพลิกดูอย่างระมัดระวัง แยกแยะรูปแบบต่าง ๆ จากด้านบน และแน่นอนว่ามีตั๋วทุกประเภท
ถึงเงินจะมีไม่มาก แต่ดีกว่าครั้งก่อนประมาณหนึ่ง มีมากกว่ายี่สิบหยวน คุณย่าซูห่อตั๋วเงินด้วยผ้าเช็ดหน้าและวางไว้ใต้หมอนอย่างระมัดระวัง
ช่วงนี้ได้ตั๋วเงินจากเสี่ยวเถียนที่นำมาให้ ชีวิตที่บ้านจึงดีขึ้นมาก
คุณย่าซูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เสี่ยวเถียน หลานเป็นดาวนำโชคบ้านเราจริง ๆ”
“คุณย่า เสี่ยวเถียนเป็นดาวนำโชค น้องไม่ตามเราไปขึ้นเขาด้วยก็เลยไม่เจออะไรดี ๆ เลยนอกจากหญ้าเลี้ยงหมู” น้องเก้าเดินหน้าบึ้งเข้ามาเมื่อได้ยินประโยคนี้
“พี่เก้า วันนี้ได้อะไรมาบ้างคะ” ซูเสี่ยวเถียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรนอกจากหญ้าเลี้ยงหมูเลย แม้กระทั่งเห็ดยังไม่มี” น้องเก้าพูดอย่างไม่พอใจ “คุณย่าครับ หายไว ๆ นะ เสี่ยวเถียนจะได้ขึ้นเขาไปด้วยกันได้”
“ย่าจะต้องดีขึ้นแน่นอน” หลังจากฟังคำพูดของหลานชาย คุณย่าซูรู้สึกดีขึ้นมาก
น้องเก้า ช่วงนี้มีเห็ดไม่เยอะหรอก แต่บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนเห็ดเฉย ๆ
ไม่กี่เดือนมานี้ พวกพี่ชายทั้งหลายต่างขึ้นเขา เห็ดตากแห้งที่บ้านจึงมีอยู่สองถุงใหญ่ ไม่กี่สิบจินพอให้กินในช่วงหน้าหนาว
“น้องเก้า ทำไมมาวุ่นวายกับย่าล่ะ? ออกไปเล่นข้างนอกกับพี่ ๆ ไป” ฉีเหลียงอิงเข้ามาเห็นน้องเก้านอนอยู่ข้างเตียงเตาแม่สามีเลยรีบบอก
เด็กผู้ชายชอบส่งเสียงดัง ไม่สะดวกต่อการพักฟื้นอาการป่วย ให้เสี่ยวเถียนอยู่ก็พอแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอก ให้น้องเก้าอยู่ที่นี่เถอะ ได้ฟังพวกเด็ก ๆ พูดรู้สึกดีกว่าเดิมเยอะเลย!” คุณย่าซูไม่อยากให้หลานชายของเธอถูกทำร้าย จึงพูดอย่างรวดเร็ว
ฉีเหลียงอิงได้ฟังก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แล้วถามคุณย่าซูอย่างระมัดระวังว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า พอรู้ว่าท่านไม่เป็นไรก็รู้สึกโล่งใจและออกไปทำงานอีกครั้ง
คุณย่าซูกับหลานทั้งสองนั่งอยู่บนเตียงเตาและสนทนากัน พวกหลานพูดอย่างสนุกสนาน ทั้งยังกำจัดเมฆหมอกอันมืดมิดออกไปได้ไม่น้อย
วันรุ่งขึ้น ซูเหล่าซานลาหนึ่งวันเพื่อเข้าไปในอำเภอ
แต่เพราะเกรงว่าจะถูกคนอื่นจับตามองมากกว่า เขาจึงกลับมาในตอนมืด
ตอนกลับมาถึง ตะกร้าบนหลังของเขาก็อัดแน่นจนไม่เหลือช่องว่างเลยแม้แต่น้อย
เนื่องจากชุมชนได้แจกจ่ายอาหารแล้ว ที่บ้านจึงมีธัญพืชอยู่ทุกประเภท ครั้งนี้จึงไม่ได้ซื้อพวกธัญพืชมา แต่เอาเป็นพวกชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากแทน ซึ่งส่วนใหญ่คือเนื้อและไข่ ซึ่งเป็นของบำรุงอย่างที่ซูเสี่ยวเถียนบอก
ซูเหล่าซานหยิบเครื่องปรุง ไข่ไก่ เนื้อ แล้วก็น้ำตาลอีกสองถุงออกมา
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือ เขาหยิบกระปุกผงมอลต์ออกมาอย่างสุดท้าย
คนในบ้านมองกระปุกนั้นราวกับของแปลก
ผู้ใหญ่เคยเห็น แต่เด็กไม่เคยเห็น และพวกเขาอยากรู้อยากเห็นมาก
น้องเก้ากะพริบตาและถามว่า “พ่อสาม นี่คืออะไรครับ?”
“มันคือผงมอลต์ เป็นอาหารบำรุงมีคุณค่ามาก มีแค่คนในเมืองเท่านั้นที่จะได้กิน”ซูเหล่าซานตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ทำไมยังมีผงมอลต์อยู่ล่ะ” คุณปู่ซูถามด้วยความประหลาดใจ
“พ่อ วันนี้ผมเจอหัวหน้าเฉินในเมืองด้วย เลยคุยกันสองสามประโยค เขาได้ยินมาว่าสุขภาพของแม่ไม่ค่อยดี ก็เลยให้ผงมอลต์มาสองกระปุกไว้ให้บำรุงร่างกายครับ” ซูเหล่าซานว่า
“ทำไมไปเอาของคนอื่นมาล่ะ?” ว่าจบคุณย่าซูก็รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองค่อนข้างไร้เหตุผล
ครอบครัวของเราได้รับของจากหัวหน้าเฉินไม่น้อย ดูเหมือนว่าผงมอลต์กระปุกนี้ก็ไม่เลว
“เหล่าซาน ผงมอลต์มีสองกระปุกไม่ใช่หรือ ทำไมนี่มีแค่กระปุกเดียวล่ะ?” ซูเหล่าต้ามองตะกร้าที่ว่างเปล่า แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ตอนที่ผมกลับมาได้ผ่านทางคอกวัวด้วย เลยเอาอีกกระปุกให้พวกเขา ผมยังให้ไข่อีกแปดฟองและน้ำตาลอีกหนึ่งจินให้เขาด้วยครับ ไม่ได้เอาเนื้อให้เพราะกลัวคนได้กลิ่น”
คุณย่าซูยิ้ม “เหล่าซานคิดได้รอบคอบ ควรให้พวกเขาสักหน่อย ถึงร่างกายเราจะไม่ดีแต่เขาไม่ดียิ่งกว่าอีก!”