บทที่ 80 แม่ของสัตว์เดรัจฉาน
ในที่สุดเหลียงซิ่วก็ถอนหายใจและปริปากเอ่ยขึ้น
“น้องใหญ่ได้ยินไหม? เสี่ยวเถียนเด็กขนาดนี้ยังรู้เลยว่าครอบครัวนั้นไม่ดี ทำไมเธอไม่คิดจะออกมาจากที่นั่นล่ะ?”
ซูหม่านซิ่วหลับตาลงแล้วเอ่ยอย่างลังเล “พี่สะใภ้สาม ฉันเข้าใจทุกอย่างที่พี่พูดค่ะ แต่ว่า…”
ซูเหล่าเอ้อร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมจะต้องมีแต่เยอะแยะขนาดนั้น? ครอบครัวแบบนั้นพี่ไม่ให้เธอกลับไปหรอกนะ”
“พี่คะ พี่สะใภ้ด้วย หนูแค่กลัวว่าถ้าหย่าแล้วจะทำให้เด็ก ๆ แต่งงานช้า”
นี่คือสิ่งที่เธอกังวลมากที่สุด ถ้าเธอต้องทนทุกข์เพียงลำพัง มันคงไม่มีปัญหาเลย แต่ถ้าหลานสาวและหลานชายเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย นับเป็นบาปอันใหญ่หลวง
แม่กับสะใภ้ปรึกษาเรื่องนี้กันตั้งแต่เช้า แต่คุณย่าซูกลับไม่คิดว่ามันจะมีอะไร จึงเอ่ยปากชักชวนลูกสาวคนโตโดยตรง
“ซิ่วเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้แม่กับพี่สะใภ้คุยกันแล้ว พวกเธอไม่กลัวที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับลูก”
ตอนที่คุณย่าซูพูดประโยคนี้ก็เหลือบมองเหล่าลูกสะใภ้
อันที่จริงตอนพูดเรื่องนี้ ในตอนแรกกับสถานการณ์ในตอนนี้มันแตกต่างกัน
ในเวลานั้น ทุกคนเข้าใจว่าซูหม่านซิ่วตายแล้ว แต่ตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่และต้องการหย่าร้าง สถานการณ์จึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“อาใหญ่ครับ ผมไม่กลัวเรื่องแบบนี้หรอกครับ ถ้ามีคนคิดแบบนั้นว่าบ้านเรามีอาคนหนึ่งหย่ากับสามีแล้วไม่ยอมแต่งงานเข้าบ้าน ผู้หญิงแบบนั้นผมก็คงไม่แต่งงานด้วยหรอก!”
ในฐานะหลานชายคนโตของบ้าน ซูโส่วเวินเอ่ยในนามของน้องทุกคน
ถ้ามันมีอิทธิพลขนาดนั้นก็คงมีอิทธิพลกับเขามากที่สุด เพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ หากเป็นพวกน้องชาย ผลกระทบอาจจะลดลง
ซูโส่วเวินบอกว่าเขาไม่รังเกียจ และคนอื่น ๆ ก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
ซูหม่านซิ่วยังคงลังเล เธอกลัวทุกคนจะพูดออกมาเพราะต้องการปลอบโยนตนเอง หากในอนาคตถูกนำไปซุบซิบนินทา ต่อให้เป็นญาติก็ยากที่จะเผชิญหน้า
เฉินจื่ออันกล่าวว่า “ซูหม่านซิ่ว ถ้าคุณยังกลับไปที่บ้านหวังอีก ก็ต้องใช้ชีวิตเหมือนก่อนหน้านี้อีก คุณจะยอมกลับไปจริง ๆ หรือ?”
ซูหม่านซิ่วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ไอ้หมาหวังโหดเหี้ยม ยิ่งตอนลงไม้ลงมือทุบตีผู้อื่น เพียงแค่นึกถึงแววตาที่มาดร้ายนั้นก็ทำให้เธอสั่นสะท้าน
“แต่การหย่ามันไม่ง่าย!” ซูหม่านซิ่วลังเล
“ไม่ง่ายอะไรกัน ผู้ชายคนหนึ่งกับแม่ม่ายรองเท้าขาด ถ้าคุณขอหย่า ไม่มีใครเขาคัดค้านหรอกนะ!” เฉินจื่ออันเอ่ยเรียบนิ่ง
พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้ามีคนคัดค้าน เขาจะเป็นคนไปจัดการมันเอง!
สุดท้ายด้วยความยินยอมของทุกคน ซูหม่านซิ่วตัดสินใจที่จะหย่าแล้วกำจัดชีวิตก่อนหน้านี้ไปให้หมด
ตอนเย็น บ้านซูกินเส้นแป้งสาลีใส่เนื้อขลุกขลิกและไข่ไก่ กลิ่นหอมกรุ่น เหมือนชีวิตอันงดงามในตอนนี้
เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ซูหม่านซิ่วพร้อมด้วยพี่น้องที่บ้านพากันไปบ้านหวังเพื่อคุยเรื่องการหย่า
ระหว่างทาง คนที่เห็นซูหม่านซิ่วล้วนต่างซุบซินนินทา หากแต่เธอมีเหล่าพี่ชายคอยปกป้อง จึงไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้ามา
แม้แต่หลิวซิ่วอิงก็ทำได้แค่มองจากที่ไกล ๆ หลังจากที่พี่น้องบ้านซูหายไปจากครองจักษุก็อดจิ๊ปากกับคนข้างกายไม่ได้
“ซูหม่านซิ่วคนนี้ยังมีชีวิตสุขสบายดีนี่ ทุกคนส่วนใหญ่เอ็ดตะโรว่ามันโดดน้ำฆ่าตัวตาย น่าสงสารแต่ลูกเขยที่ต้องทนทุกข์อยู่ในเหมืองตอนนี้”
คนข้างกายที่ได้ยินไม่ใช่ใครอื่น หากแต่คือยายฉางนั่นเอง
ยายฉางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแปลก ๆ สมองคนคนนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเนี่ย?
สรุปแล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนใน ใครเป็นคนนอก?
อันที่จริงยายฉางไม่ได้ต่อต้านเรื่องที่ว่าผู้ชายตบตีผู้หญิง และรู้สึกว่ามันเป็นหลักการของฟ้าดิน มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่ไอ้หมาหวังกับแม่ม่ายทำด้วยกันแล้วยังมีลูกด้วย เป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้
สิ่งนี้มันเรียกว่าอะไรนะ? พวกรองเท้าขาดไงเล่า!
“แกเป็นแม่รองของหม่านซิ่ว ไม่ใช่แม่ไอ้หมาหวังสัตว์เดรัจฉานนั่น!”
หลังจากพูดจบก็หมุนตัวออกไป
หลิวซิ่วอิงตกตะลึงก่อนจะกลับมามีสติ นี่หมายความว่าเธอกับไอ้หมาหวังเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนกันใช่ไหม?
“ยายฉางไร้ประโยชน์ โดนเขารังแกยังไม่พอหรือไง?”
หลิวซิ่วอิงสบถก่อนมุ่งหน้ากลับบ้าน
ณ ชุมชนการผลิตเซี่ยงหยาง
ทันทีที่ยายหวังเห็นซูหม่านซิ่วปรากฏตัวขึ้นในบ้านของตนเอง หล่อนถึงกับตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนตะโกนโหวกเหวกเสียงดังว่าผีมาแล้ว!
“แกรีบไสหัวออกไปเลยนะ รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันไม่ได้ฆ่าแกเสียหน่อย มาหาฉันทำไม?” ยายหวังตวาดลั่นด้วยความตกใจ
และในที่สุดก็แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ผี แต่เป็นคนจริง ๆ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปร่ำไห้คร่ำครวญ
“นังโสเภณี นังดาวอับโชค คอยดูนะ ฉันตีแกให้ตายเลย ฉันให้ลูกแต่งงานกับแกแต่ครอบครัวเราไม่มีชีวิตที่ดีขึ้นสักนิด ฉันอยากจะดีแกให้ตาย ๆ ไปเสีย ตีให้ตายไปเลย!”
ซูหม่านซิ่วอดสะดุ้งตัวโหยงไม่ได้ที่เห็นยายหวังทำหน้าไม่พอใจ กรีดร้องบ้าคลั่งก่อนจะวิ่งเข้ามาหา
นี่คือผลสืบเนื่องจากการถูกยายหวังกดขี่มาเป็นเวลานาน เธอจึงกลัวอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
“น้องใหญ่ไม่ต้องกลัวนะ มีพวกพี่อยู่ จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกเธอได้แน่นอน!”
ซูเหล่าซานสัมผัสถึงความหวาดกลัวของน้องสาว จึงพูดเพื่อสนับสนุนและปกป้องเธออยู่ด้านหลังทันที
“ยายหวัง คุณก็อยากไปเหมืองเป็นเพื่อนลูกชายสินะ?” ซูเหล่าต้าตรงประเด็น “ผมเข้าชุมชนใหญ่เพื่อร้องเรียนว่าสิ่งที่พวกคุณทำเรียกว่าข่มเหงผู้หญิง น้องสาวผมรายงานพวกคุณได้ พอถึงตอนนั้น ชุมชนใหญ่ก็จะส่งคุณไปที่เหมืองด้วยเหมือนกัน”
ซูเหล่าซานประหลาดใจเมื่อได้ยินพี่ใหญ่พูดเช่นนี้ เขายังพูดสิ่งที่สมเหตุสมออกมาได้ด้วยหรือ?
“ข่มเหงหรือไม่ข่มเหงอะไรกัน สะใภ้บ้านหวังถูกตีตายเพราะชีวิตมันไม่ดี!”
ถึงยายหวังจะยังสบถด่า แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงเรื่อย ๆ ดูเหมือนเธอจะอ่อนลงแล้ว
“อีกทั้งคุณยังส่งเสริมระบอบศักดินาอีก ผมจะบอกอะไรคุณให้นะยายหวัง ตอนนี้เป็นสังคมยุคใหม่แล้ว มีผู้ยิ่งใหญ่กล่าวไว้ว่า สตรีก็แบกรับฟ้าไว้ครึ่งหนึ่ง จะไม่มีใครถูกข่มเหงได้ง่าย ๆ!” ชายหนุ่มกล่าว “ถ้าคุณยังรั้นจะทำเช่นนี้ งั้นเราก็ไปคุยที่ชุมชนใหญ่กันเถอะ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ยายหวังหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะก้าวไปข้างหน้า
แต่การพ่ายแพ้เช่นนี้ มันทำให้หล่อนรู้สึกว่าไม่ใช่ตนเอง
หล่อนนั่งบนพื้นแล้วเริ่มดีดดิ้นไปมา พูดแต่เพียงว่าซูหม่านซิ่วเป็นปีศาจจิ้งจอกที่มาทำร้ายลูกชายของเธอ เธอสมควรตายอะไรแบบนั้น
ครั้นได้ยินคำพูดไม่น่าฟังที่ยายหวังสาปแช่ง สีหน้าของสมาชิกบ้านซูล้วนเต็มไปด้วยความเหลืออด