บทที่ 95 สร้างปัญหามาเป็นอันดับแรก
ท่าทางแบบนั้นของน้อง คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าเด็กคนนั้นกลัวไม้ผลจึงวิ่งหนีไป
ซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่ใต้ต้นแพร์ต้นใหญ่ กลิ่นหอมของลูกแพร์อ่อนแรงกว่าที่อื่นเลย
เธอเงยหน้าขึ้น ต้องบอกเลยว่าราชาต้นไม้ก็คือราชาต้นไม้จริง ๆ ทั้งสูงทั้งแข็งแกร่ง ท่าทางคือมองลงมาที่ต้นไม้รุ่นเด็กที่อยู่รอบข้าง
น้ำลายของซูเสี่ยวเถียนเกือบหกเมื่อได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของลูกแพร์อ่อน
ภายในใจคิดว่าไม่มีผลไม้ใดทำให้หลงใหลได้เหมือนลูกแพร์อ่อนอีกแล้ว
หลังจากได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ในที่สุดก็ถึงตอนที่ลูกแพร์อ่อนสุกเสียที
“พี่รอง ๆ พี่รีบมาเร็วเข้า!” น้องเก้ากระโดดโลดเต้นเป็นลิงโลด
เขาเองก็อยากปีนต้นไม้เหมือนกัน แต่ตนเองยังเด็กเกินไป อีกทั้งคุณย่าซูกลัวว่าเขาจะตกลงมาเลยไม่ยอมให้ปีน
สุดท้ายแล้วคนที่ปีนต้นไม้คือลูกชายทั้งสามของบ้านซู หลานคนโตอีกหกคน รวมถึงหลี่จู้จื่อ
ผู้คนนับสิบปีนต้นไม้เหมือนลิง และทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
ส่วนคนที่เหลือรับผิดชอบโดยการเอาลูกแพร์ที่ใส่เต็มตะกร้าแล้วมาวางกองรวมกันไว้ใต้ต้นไม้
ทุกคนยุ่งตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต สุดท้ายซูเสี่ยวเถียนที่รู้สึกเบื่อหน่ายก็มีโอกาสคุยกับต้นแพร์เฒ่าเสียที
เธอเอื้อมมือขาวเนียนน้อย ๆ ออกไปลูบลำต้นที่แข็งแรงอย่างเบามือ และแน่นอนว่าก็ได้ยินน้ำเสียงอันแหบแห้งของมัน
เด็กหญิงเริ่มสนทนาด้วยทันที และเหมือนไม่ให้ตัวเองเหมือนคนโง่ เธอจึงลูบไปด้วย หมุนไปหมุนมาด้วย
ไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งที่ซูเสี่ยวเถียนกำลังทำ แค่คิดว่าเธอกำลังเดินวนรอบต้นไม้เล่น
ซูเสี่ยวเถียนที่มีไอเทมกมลพิสุทธิ์แห่งพืชพรรณกำลังคุยกับต้นแพร์เฒ่า แล้วพูดถึงเรื่องที่น่าสนใจของชุมชนการผลิตหงซิน พูดเรื่องที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน รวมถึงความเป็นอยู่ที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ภายในชุมชนด้วย
ต้นแพร์อายุมากกว่าคนในชุมชนแห่งนี้มาก ไม่มีใครรู้ว่าปลูกมันไว้ตั้งแต่ตอนไหน คุณปู่เองก็ยังบอกว่า ต้นแพร์เฒ่าต้นนี้มีอยู่ตั้งแต่เขาจำความได้
ต้นแพร์เฒ่าทำให้ซูเสี่ยวเถียนได้รู้เรื่องปฏิทินโหราศาสตร์มากมาย
เธอค้นพบว่านอกจากอ่านหนังสือแล้ว การคุยกับต้นไม้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน
มีคนเฒ่าคนแก่ในบ้านเหมือนมีสมบัติล้ำค่า มันดีจริง ๆ นะ ทั้งประสบการณ์และความรู้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
“ต้นแพร์เฒ่า คุณรู้ไหมคะว่าเคยมีเศรษฐีอยู่ที่นี่? ได้ยินว่าที่บ้านของเขาไม่มีคนอยู่แล้ว”
จู่ ๆ เธอก็นึกเรื่องนี้ได้จึงเอ่ยถาม
“รู้สิ ที่เธอพูดถึงคือตระกูลเผย” น้ำเสียงของต้นแพร์เฒ่ายังคงแหบแห้ง แต่ซูเสี่ยวเถียนเพิ่งรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป
“ครอบครัวเผย?”
“ช่วงปีแรก ๆ คนตระกูลเผยเป็นคนปลูกฉันไว้ที่นี่” แล้วยังกล่าวเสริมอีก “ตระกูลเผยเป็นครอบครัวที่สั่งสมบุญที่แท้จริง แต่น่าเสียดาย…”
ซูเสี่ยวเถียนไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้นแพร์เฒ่ากับครอบครัวเศรษฐี โอ้ หรือก็คือตระกูลเผยที่ว่า จะมีความสัมพันธ์แบบนี้ด้วย
“แล้วรู้ไหมคะว่าลูกหลานของครอบครัวนั้นหายไปไหน?”
“ไม่รู้สิ ฉันจำได้แค่ว่าในปีนั้นที่มีโจรขึ้นบ้าน ครอบครัวเผยรวบรวมของมีค่าไปซ่อนไว้ก่อนก็ถูกพวกโจรลักพาตัวไป ตัวฉันมองเห็นได้แค่สิ่งรอบข้างเท่านั้น หลังจากที่พวกเขาถูกจับตัวไป ฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย ต่อมาก็มีคนพูดว่าคนในตระกูลเผยถูกโจรฆ่าหมด! แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า!”
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าน้ำเสียงของต้นแพร์เฒ่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความโศกเศร้า ตัวเธอจึงอดเสียใจไม่ได้
“ต้นแพร์เฒ่า คนดีผีคุ้มนะคะ หนูได้ยินมาว่าเจ้าของเดิมของคุณหรือครอบครัวของเผยเป็นครอบครัวสั่งสมบุญ จะต้องหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน” เด็กหญิงไม่รู้ว่าทำไมต้องพูดเอาใจต้นแพร์เฒ่าด้วย
“เฮ้อ เรื่องราวก็ผ่านมานานแล้ว ต้นแพร์แก่ ๆ แบบฉันอายุก็มากแล้ว เกรงว่าคงจะอยู่ได้อีกสักสองสามปี” ต้นแพร์เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ผ่านมาตั้งหลายสิบปี คนตระกูลเผยสักคนก็ยังไม่กลับมา และคิดว่าคงจะไม่ได้กลับมาอีก!”
ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้วิธีปลอบโยนต้นไม้ที่กำลังเศร้า จึงทำได้เพียงยื่นมือออกไป ลูบลำต้นที่ขรุขระของมันอย่างแผ่วเบา
“สาวน้อย คนตระกูลเผยได้ซ่อนสมบัติไว้ทั้งหมดสี่แห่ง ฉันขอให้เธอปกป้องพวกมันได้ไหม? ถ้าในสิบปีนี้พวกเขายังไม่กลับมา สมบัติพวกนั้นจะเป็นของเธอ แต่ถ้ากลับมาก่อนสิบปี เธอต้องคืนกลับไปให้เจ้าของเดิม”
ซูเสี่ยวเถียนตกใจก่อนจะพูด “ต้นแพร์เฒ่า ไม่ได้หรอก”
“รอจนต้นแพร์อย่างฉันจะตาย ต่อให้คนตระกูลเผยกลับมาก็หาสมบัติพวกนั้นไม่เจอหรอก ดังนั้นฉันจึงขอร้องเธอ”
ซูเสี่ยวเถียนเงียบไป ไม่คิดว่าต้นไม้ใบหญ้าจะมีความรู้สึกเช่นกัน
“หนูสัญญาค่ะต้นแพร์เฒ่า แต่ว่าคุณต้องบอกที่ซ่อนกับหนูนะคะ และภายในสิบปีนี้หนูจะไม่ย้ายพวกมันไป” ในที่สุดซูเสี่ยวเถียนก็ตอบตกลง
ต้นแพร์เฒ่าบอกที่ซ่อนสมบัติสี่แห่งให้กับซูเสี่ยวเถียน แต่สิ่งที่ทำให้เธองุนงงคือ ในบรรดาสมบัติพวกนั้น ไม่มีกล่องเงินทองเครื่องประดับใบนั้นพวกเธอพบเจอบนเขาเลย
“ต้นแพร์เฒ่า หนูเก็บมาได้กล่องหนึ่งบนเขา นั่นไม่ใช่ของตระกูลเผยหรือคะ?”
“บนเขา?” ต้นแพร์เฒ่าพูดสองคำโดยไม่เปล่งเสียง
เงียบงันอยู่นาน ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าจู่ ๆ ตนเองก็สูญเสียความสามารถในการสื่อสารในทันใดเสียแล้ว แต่ในที่สุดต้นแพร์เฒ่าก็พูดอีกครั้ง
“เรื่องในปีนั้นมันนานมากแล้ว ต้นแพร์เฒ่าก็เกือบลืมไป แต่หลังจากที่คิดอยู่นาน สมบัติพวกนั้นอาจถูกโจรซ่อนไว้ก็ได้ และไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเผยหรอก”
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกโล่งอก ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเผยก็ดี เงินบ้านอื่นต่อให้อยู่ในบ้านเราเอง เธอก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของ ๆ เราอยู่ดี
แต่ถ้าเป็นของที่โจรฝั่งไว้ ต่อให้อนาคตเอาออกมาใช้ก็ไม่อึดอัดใจ!
ซูเสี่ยวเถียนอยากจะพูดคุยกับต้นแพร์เฒ่าต่อ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังขึ้นไม่ไกล
พอถูกขัดจังหวะ จึงมองซ้ายแลขวาหาต้นตอของเสียง
ฟังดูจากเสียงแล้วระยะค่อนข้างไกล กอปรกับเงาของต้นไม้ทำให้มองเห็นไม่ชัด
ช่างเถอะ ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเสียหน่อย คุยกับต้นแพร์เฒ่าอย่างมีความสุขดีกว่า!
ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้อยากรู้อยากเห็นมากนัก เลยหมุนตัวกลับมาหมายจะคุยกับต้นไม้ต่อ
แต่เสียงทะเลาะฝั่งนั้นกลับยิ่งดังยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายอารมณ์ของคนจนหมดสิ้น
“เกิดอะไรขึ้นกับนักศึกษาพวกนั้น? แค่เก็บลูกแพร์เอง แถมให้ต้นไม้ต้นที่เล็กกับพวกเขาแล้วนะ ทำไมถึงทะเลาะกันขึ้นมาล่ะ?” คุณย่าซูพูดด้วยความไม่ชอบใจ
“ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะ!” ที่หลี่จู้จือรู้สึกในตอนนี้กับพวกนักศึกษาคือ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก!
หัวหน้าชุมชนซูไม่ฟังอีกต่อไป จำต้องวางผลไม้ในมือลงแล้วออกมาข้างหน้าเพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหา
“เกิดอะไรขึ้น?” ซูฉางจิ่วพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“หัวหน้า การจัดแจงงานของคุณมันไม่สมเหตุสมผลเลย ไม่มีใครในพวกเราปีนต้นไม่ได้สักคน แล้วจะเก็บผลพวกนี้ยังไงคะ?” คังอี้เยี่ยยืนกอดอกใต้ต้นไม้ ใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
นานแล้วตั้งแต่ที่ที่คังอี้เยี่ยกลับมา แต่เรื่องราวหลังจากนั้นคือ มีพวกนักศึกษาไม่ยอมรับเธอแล้ว
เหตุผลของพวกนักศึกษาก็มากพอแล้วเช่นกัน พวกเขาบอกว่าหากมีคนชื่อเสียงไม่ดีมาอยู่ในชุมชนเราแบบนี้จะส่งผลต่อนักศึกษาคนอื่น ๆ
ในฐานะหัวหน้าชุมชนอย่างเขาไร้ซึ่งทางเลือกอื่น ข้าวของของคังอี้เยี่ยก็ถูกนักศึกษาด้วยกันโยนทิ้งไปหลายครั้งหลายครา ซูฉางจิ่วจึงทำได้เพียงหาคนมาซ่อมบ้านหลังโทรมที่เคยมีครอบครัวยากจนอาศัยมาก่อน แล้วให้เธออยู่ที่นั่นชั่วคราว
คงจะดีถ้าคังอี้เยี่ยเห็นคุณค่าในตัวเอง ทว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น
อาศัยอยู่คนเดียวที่หน้าหมู่บ้านกลับทำให้สะดวกยิ่งกว่า เพราะเธอเริ่มคบหาพวกผู้ชายในหมู่บ้านไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
บรรยากาศในชุมชนการผลิตหงซินไม่ได้แย่ แต่กลับมีผู้หญิงที่ทำแบบนี้ ทั้งยังไม่ต้องการให้พวกผู้ชายจ่ายราคาอะไร ทั้งยังมีพวกผู้ชายไม่ไม่ควบคุมร่างกายส่วนล่างของตัวเองแล้วกลายเป็นแขกของคังอี้เยี่ยด้วย
หลังจากที่มีข่าวแพร่ออกไป บรรดานักศึกษาก็ยิ่งละอายใจมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่แค่ไม่คุยด้วยเท่านั้น แต่ครั้นเห็นหล่อนก็จะเดินหนีไปไกล ๆ
แต่วันนี้ตอนที่เก็บผลไม้ หัวหน้าชุมชนได้ขอให้นักศึกษาจัดการกับต้นไม้หนึ่งต้น ตอนที่เริ่มพวกเขาก็วางแผนจะอดทน แต่คังอี้เยี่ยกลับไม่ทำงานทั้งยังพูดจาหยาบคาย จึงทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น
เดิมทีนักศึกษาหลายคนพยายามเก็บผลไม้ แต่เป็นเพราะคังอี้เยี่ย พวกเธอจึงโยนผลไม้ไว้ใต้ต้นไม้และหยุดการเคลื่อนไหว
ครั้นเสียงของคังอี้เยี่ยเบาลง ยังไม่ทันที่ซูฉางจิ่วจะเอ่ยปากก็มีนักศึกษาชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “หัวหน้าครับ พวกเราไปช่วยสมาชิกท่านอื่นในชุมชนทำงานเถอะ พวกเราปีนต้นไม้ไม่เก่งเลยครับ”
ซูชางจิ่วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ปัญหาเรื่องปีนต้นไม้ไม่ได้ แต่เพราะพวกเขาไม่เต็มใจที่จะเก็บผลไม้กับคังอี้เยี่ย
นักศึกษาชายกลัวว่าจะถูกคังอี้เยี่ยดึงเข้าไปพัวพัน ส่วนนักศึกษาหญิงก็กลัวว่าการเข้าใกล้คังอี้เยี่ยจะทำลายชื่อเสียงของตัวเอง
อันที่จริงมีคนไม่มากนักในชุมชนที่เต็มใจเก็บผลไม้กับคังอี้เยี่ย
เขาพิจารณาเรื่องนี้ ถึงได้เอาพวกนักศึกษามารวมกันไง
ซูฉางจิ่วมองใบหน้าทุกคนรอบหนึ่ง “พวกคุณก็คิดอย่างนั้นหรือ?”
พวกนักศึกษาพยักหน้าทันทีเพื่อบอกว่าคิดเหมือนกัน
“ในเมื่อพวกคุณอยากเก็บผลไม้กับสมาชิกของชุมชนเรา งั้นก็ไปหาคนที่ยินดีให้คุณร่วมทีมเถอะ แต่ผมจะไม่รับผิดชอบการแบ่งทีมให้นะ”
หัวหน้าชุมชนไม่อยากจะสนใจเรื่องนี้จริง ๆ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ นักศึกษาพวกนี้ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องสร้างปัญหามาเป็นอันดับแรก
หากแต่คำพูดเหล่านี้เขาพูดออกไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้คนอื่นบอกว่าเขาเป็นคนเลือกปฏิบัติ
พอหัวหน้าพูดออกมา พวกนักศึกษาก็มุ่งไปหาคนที่มองพวกตนในทางที่ดี แล้วก้าวไวเหมือนทาน้ำมันไว้อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนครูสองคนในโรงเรียนต่างมองหน้ากัน แล้วมุ่งตรงไปยังตระกูลซู
หนึ่งคือพวกเขารู้สึกว่าตระกูลหลักซูมีพละกำลัง ต้องทำงานเสร็จอย่างว่องไวแน่นอน และสองคือพวกเขาคุ้นเคยกับคนบ้านนี้