บทที่ 117 เราหย่ากันเถอะ
เดี๋ยวก็ไม่ใช่แล้ว?
หมายความว่าอะไร?
แผ่นหลังของหลี่ฉางหมิงเย็นวาบ
แย่แล้ว!
“แกหมายความว่าอย่างไร?” หลี่ชางหมิงสูญเสียความมั่นใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“เราหย่ากันเถอะ หลี่ฉางหมิง!” ซูเถาฮวาเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉย
ตอนที่เธอเอ่ยประโยคนี้ออกมา มันเหมือนกับคำพูดเวลาอยู่ที่บ้าน “พ่อ กินข้าวกันเถอะ!”
แต่ในหูของหลี่ฉางหมินอื้ออึง ตัวชาราวกับโดนฟ้าผ่า
เธอต้องการหย่า?
ไม่ได้!
“ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่มีทางเห็นด้วย! ซูเถาฮวา นังสารเลว แกคิดจะทิ้งฉัน!” หลี่ชางหมิงตะโกนอย่างเดือดดาล
“หุบปาก แกจะร้องหาอะไร? มีเรื่องต้องทำหรือไง?” คนด้านข้างอดีตนักบัญชีรีบพูด
ตอนนี้หลี่ชางหมิงถูกทุบตีไม่น้อยเลย พอจะอ้าปากพูดก็ตัวสั่นขึ้นมา เลยไม่คิดแหกปากเสียงดังอีก
“น้องใหญ่ เธอทำดีแล้ว ผู้ชายแบบนี้ไม่ต้องมีเสียจะดีกว่า” ชายคนนั้นยังพูดกับซูเถาฮวาอย่างภาคภูมิใจ
หลี่ชางหมิงกำลังจะตายด้วยความโกรธ แต่เขาไม่กล้าพูดดัง จึงทำได้เพียงอ้อนวอนเสียงต่ำ “เถาฮวา พวกเราอยู่กินมาด้วยกันตั้งหลายสิบปี มีผู้ชายคนไหนในชุมชนที่ไม่เป็นแบบนี้บ้างเล่า?”
“อีกอย่าง ถ้าแกหย่าแล้วจะกลายเป็นผู้หญิงที่ไม่มีใครต้องการนะ จะถูกคนพูดจาลับหลังเอาได้นะ?”
“แกยังรู้อีกหรือว่าคนอื่นจะนินทาลับหลังฉัน? ถ้าแกรู้แล้วคงไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก!”
“เถาฮวา ฉันไม่เห็นด้วย อย่างไรเสียแกก็ไม่มีทางหย่าหรอก ถึงไม่อยากอยู่ด้วยกัน ฉันก็จะไม่ให้แกหย่า” หลี่ฉางหมิงทำให้เกิดสถานการณ์มองหน้ากันไม่ติด
ซูเถาฮวาคือฟางเส้นเดียวที่จะช่วยชีวิตเขาได้ ถึงจะไปเหมือง แต่ถ้าในอนาคตยังมีครอบครัวอยู่ก็ยังมีทางออกใช่ไหมล่ะ?
“ต่อให้แกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ต้องหย่าอยู่ดี!” พูดจบ ซูเถาฮวาก็หันหลังเดินจากไป
พริบตาเดียวก็ถึงช่วงเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ซูเสี่ยวเถียนที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเอาแต่วิ่งอยู่ในไร่กับตู้ถงเหอทั้งวัน
ตอนนี้เธออ่านหนังสือเกี่ยวกับการเพาะปลูกทางการเกษตรมามาก แม้กระทั่งเรื่องการปลูกเมล็ดพันธุ์ชั้นดี และยังได้รับความรู้จากตู้ถงเหอไม่น้อย
ตามด้วยระบบการทำงานที่ยิ่งมีประสิทธิภาพและชาญฉลาดมากขึ้น ซูเสี่ยวเถียนซึมซับความรู้ทั้งหมดและใช้มันเพื่อตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่ของทฤษฎีความรู้ทางการเกษตรแล้ว
แต่ไม่ต้องสงสัยซูเสี่ยวเถียนที่รู้แค่ภาคทฤษฎีและไม่มีประสบการณ์จะมีข้อบกพร่องเลย ตอนนี้เธอกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยส่วนนั้นอยู่
เด็กแปดขวบที่มีพละกำลังเต็มที่ กำลังวุ่นวายอยู่ในทุ่งนาด้านหลังผู้ใหญ่ ใบหน้าแดงก่ำจากการตากแดด
ครอบครัวซูปวดใจจริง ๆ
สมบัติล้ำค่าของพวกพวกเรา คนที่ไม่ต้องเดินด้วยตัวเอง แต่ทุกวันนี้กลับเดินเหินไปมาไม่หยุด จนเท้าเล็ก ๆ เกิดแผลพุพอง แต่ก็ยังวุ่นอยู่อย่างขยันขันแข็ง
“เถียนเอ๋อร์ พักผ่อนสักหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ไม่ไปดีไหม” คุณย่าซูเกลี้ยกล่อมทั้งน้ำตา
เด็กคนนี้ไม่เคยบากลำบนมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้เลย
“คุณย่า ไม่ได้หรอกค่ะ หนูกับปู่ตู้ต้องเดินไปดูทุกวันเลย จะได้รู้ว่าควรใช้ปุ๋ยอะไร” ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว “ถึงตุ่มน้ำจะแย่มาก แต่มันไม่เจ็บเลยค่ะ จริง ๆ นะคะ”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สีหน้าของเธอหลอกใครไม่ได้เลย
เหลียงซิ่วทำได้แค่นำผ้าฝ้ายสะอาดออกมาให้แล้วพันรอบเท้าให้ลูกสาว
ฉีเหลียงอิงและหวังเซียงฮวารีบเย็บรองเท้าพื้นนุ่มแล้วสวมให้เด็กหญิงอย่างระมัดระวัง
“เสี่ยวเถียน จากนี้ไปให้พี่ใหญ่เดินตามน้องไปดีไหม” ซูโส่วเวินกล่าวอย่างลำบากใจ
“ไม่ได้นะพี่ใหญ่ พี่ยุ่งกับงานในชุมชนแล้วยังต้องอ่านหนังสืออีก จะหาเวลาเยอะแยะมาขนาดนั้นได้อย่างไร?” ซูเสี่ยวเถียนโบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า
“งั้นพี่รองแบกน้องเอง” ซูซื่อเลี่ยงรีบพูด เขาไม่ได้เป็นนักบัญชีในกองชุมชน เลยไม่มีงานอะไร
“นั่นก็ไม่ได้ด้วยพี่รอง หนูโตแล้วนะ แปดขวบแล้วด้วย จะรอให้พวกพี่แบกทั้งวันได้อย่างไร?” ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม
“ถ้าหนูให้พวกพี่แบกเดินไปทั้งวัน จะไม่ถูกคนล้อเอาหรือ?”
“แต่ที่น้องเป็นแบบนี้…” เสี่ยวอู๋เอ่ยปากอย่างไม่สามารถซ่อนความทุกข์ในใจได้
จู่ ๆ ซูเสี่ยวเถียนก็จำได้ว่าในหนังสือที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะมีวิธีทำยาทาอยู่
เธอคลี่ยิ้มทันที
“พี่ใหญ่ พี่กับพี่รองช่วยไปซื้อยามาจากหมอหลี่ให่หนูหน่อยค่ะ หนูจะทำขี้ผึ้งเอง ทา ๆ ก็หายแล้ว”
ถึงจะไม่รู้ว่าเสี่ยวเถียนจะทำอะไร แต่ทั้งสองก็รีบไปร้านขายยาหาหมอหลี่เพื่อซื้อยาที่น้องเล็กอยากได้
โชคดีที่ยาที่ซูเสี่ยวเถียนอยากได้ไม่ใช่ของหายาก ร้านขายยาตามชนบทก็มีขาย
ซูเสี่ยวเถียนบดยาด้วยตัวเอง ต้ม แล้วก็ทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นก็ได้ขี้ผึ้งสีเข้มขวดเล็กขวดหนึ่ง
หลังจากทาขี้ผึ้งอยู่สองครั้ง แผลพุพองบนเท้าของเสี่ยวเถียนก็เริ่มแห้ง ที่สำคัญคือไม่เจ็บอีกแล้ว ทาอีกสักสองวันก็คงดีขึ้น
“ยานี้ได้ผลจริงด้วย” ซูเสี่ยวเถียนยิ้มอย่างมีความสุข “เอากลับไปให้ปู่ตู้หน่อยดีกว่า ฝ่าเท้าแตกทั้งนั้นเลย”
คุณปู่ซูได้ฟังก็ขมขื่นในใจ หลานสาวบ้านเรายกให้คนอื่นทำไมกันนะ?
ดูสิ ตอนนี้ก็เอาแต่นึกถึงผู้เฒ่าตู้เท่านั้น
ความปวดใจของเขา ใครเล่าจะรู้!
“เสี่ยวเถียน ทำไมหลานนึกถึงแต่ปู่ตู้ล่ะ ไม่คิดถึงปู่บ้างหรือ?” สุดท้ายคุณปู่ซูก็อดถามไม่ได้
ซูเสี่ยวเถียนตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ว่าคุณปู่บ้านเรากำลังหวงหลานสาว
“คุณปู่ มีแผลพุพองที่ฝ่าเท้าไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนถามด้วยดวงตากลมโต
คุณปู่ทำงานในทุ่งนามาทั้งชีวิต ฝ่าเท้าเลยมีรอยด้านหนา ๆ แค่ใส่รองเท้าเดินไม่กี่ก้าวก็มีแผลพุพองแล้ว เลยตัดปัญหาเดินเท้าเปล่าไปเลย
คุณปู่ซูรู้สึกเศร้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำไมปู่คนนั้นถึงล้ำค่ากว่าปู่ของตัวเองล่ะ?
ซูเสี่ยวเถียนหัวเราะคิกคัก “ปู่ขา หนูรู้ว่าปู่เท้าเจ็บ พอถึงหน้าร้อนหนูจะใช้ยาทาให้ค่ะ ทาช่วงนั้น พอถึงฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวก็จะไม่เจ็บแล้วค่ะ!”
หลังจากฟังคำพูดที่แสนสนิทสนมจากหลานสาว ใบหน้าหน้าคุณปู่ซูก็บานออก
คุณย่าซูมองรอยยิ้มอันพึงพอใจของตาเฒ่าแล้วรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“เสี่ยวเถียนเอ๋ย ทำไมเอาแต่คิดถึงปู่ล่ะ?”
“คุณย่าไม่ต้องกลัวนะคะ มีของคุณย่าเหมือนกัน หนูมีขี้ผึ้งที่เหมาะสำหรับทำยาไว้ใช้พอดีเลย” ซูเสี่ยวเถียนรีบกอดแขนหญิงชราแล้วเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
หลังจากผ่านไปพักหนึ่งก็ปลอบประโลมคนในบ้านเรียบร้อย แล้วเสี่ยวเถียนก็เอาขี้ผึ้งไปที่คอกวัว
ฉืออี้หย่วนกำลังทำความสะอาดคอกวันอยู่ ครั้นเห็นเด็กหญิงเดินมาก็ยิ้มทัก แต่ไม่ได้เข้ามาหา
“พี่อี้หย่วน เดี๋ยวหนูมาช่วยนะ!” ซูเสี่ยวเถียนตะโกนลั่น
ฉืออี้หย่วนรีบพูดขัด “ไม่ต้องแล้ว เหลืออีกนิดเดียวเอง เมื่อวานพี่ของเธอก็มาช่วยแล้ว ตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว”
ล้อกันเล่นแล้ว เด็กผู้หญิงน่ารักแบบนี้จะทำงานในคอกวัวเหม็นฉุนได้อย่างไร?
พอเสี่ยวเถียนได้ยินก็ได้แต่ยินยอม
“คุณปู่ฉือ อยู่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนฉีกยิ้มกว้าง
“พวกเขาไปขุดผักป่า เห็นบอกว่าช่วงนี้จะขุดง่ายมาก ขุดออกมาตากแห้งแล้วก็เก็บไว้กินได้นานหน่อย” ฉืออี้หย่วนยิ้มตอบ “มีเรื่องหามาพวกเขาหรือ?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรค่ะ หนูทำขี้ผึ้งมาหน่อยหนึ่ง มันรักษาแผลพุพองที่เท้าได้ดีมาก” ซูเสี่ยวเถียนกล่าวอย่างร่าเริง
“สองวันมานี้ เท้าของปู่ตู้เจ็บมากจนนอนไม่หลับเลย” เด็กหนุ่มว่า “ขนาดอยู่ข้างบ้านยังได้ยินเสียงเขาร้องเลย”
“หนูลองแล้วค่ะ ได้ผลดีมาก” เด็กหญิงวางขวดยาไว้หน้าประตูบ้านคุณปู่ตู้
พอเห็นฉืออี้หย่วนทำงานอยู่ในคอก ขาสั้น ๆ ก็วิ่งเข้าไปหาเขาทันที
“วิ่งช้าลงหน่อย ยืนอยู่ตรงนั้นก็ดีแล้ว จะวิ่งเข้ามาทำไม?” เขารีบตะโกน
“พี่อี้หย่วน ถ้าพี่ไม่มาหนูจะไปหาพี่เอง!”
“ตัวพี่เหม็น ไว้ทำความสะอาดเสร็จจะไปเล่นด้วย” ฉืออี้หน่วยกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
“แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมาคุยกัน” ฉืออี้หย่วนยืนกราน
ซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่ไม่ไกลไปจากคอกวัวนัก ทั้งคู่ยืนพูดคุยกัน
“พี่อี้หย่วน โรคกระเพาะคุณปู่ดีขึ้นบ้างไหมคะ?”
“ดีขึ้นมากแล้ว ได้กินอะไรดี ๆ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น”
ถ้าไม่มีเสี่ยวเถียน ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าปู่ฉือจะอดทนได้ถึงตอนนี้หรือเปล่า
ฉืออี้หย่วนแค่คิดก็รู้สึกกลัวแล้ว
“พี่ให้ปู่ไปหาหมอหลี่เพื่อวินิจฉัยโรคนะ แล้วก็บอกผลชีพจรมานะคะ จะได้ดูว่าจ่ายยาได้ไหม”