เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 154 ปกป้องซูเสี่ยวเถียน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 154 ปกป้องซูเสี่ยวเถียน

บทที่ 154 ปกป้องซูเสี่ยวเถียน

ที่เธอมาวันนี้ก็บอกจะมาบอกเรื่องเกณฑ์ทหารที่ใกล้จะเริ่มขึ้น เสี่ยวเหลียงอายุถึงพอดี แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสหรือเปล่า

ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่อะไร แต่ตอนนี้มีพ่อแบบนั้น เธอกลัวว่าลูกชายจะแต่งงานช้า

ฉีเหลียงอิงกับเหลียงซิ่วมองหน้ากัน ต่างก็เข้าใจ

ต่อหน้าเฉินจื่ออัน พวกสาว ๆ พูดไม่ได้หรอก

“พี่เถาฮวา เดี๋ยวฉันเอาไปคุยกับคนที่บ้านดูนะ เพื่อจะมีโอกาสไปพูดกับจื่ออัน” เหลียงซิ่วและซูเถาฮวามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จึงกล้ายอมรับกับเรื่องแบบนี้

“ขอบคุณเธอมากนะ ไอ้หลี่ฉางหมิงหน้าด้านนั่นมันคบชู้เอง แล้วตอนนี้ยังเอาลูกไปเกี่ยวด้วยอีก” สีหน้าของซูเถาฮวาเศร้าสร้อยเล็กน้อย

เหลียงซิ่วปลอบโยนทันที “ไม่เป็นไรนะคะ เสี่ยวเหลียงเป็นเด็กดี ไม่มีใครในหงซินไม่รู้หรอกนะ!”

“แน่นอนอยู่แล้วว่าลูกฉันเป็นเด็กดี แต่ว่า… พวกเธอคงไม่รู้สินะ ก่อนหน้านี้มีครอบครัวนึงอยากแต่งงานกับเสี่ยวเหมย แต่ตอนนี้กลับไม่มีข่าวคราวเลย” พอนึกถึงเรื่องนี้ ซูเถาฮวาก็ได้แต่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ถ้าเป็นชีวิตเธอก็ช่างมัน แต่นี่มันเกี่ยวกับลูกด้วย มีพ่อแบบนี้ยอมตายดีกว่า

“เสี่ยวเหมยเพิ่งจะสิบหกเอง ไม่ต้องรีบร้อนน่า” เหลียงซิ่วรีบพูด

“แต่มันก็ไม่เด็กแล้วนะ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าเรื่องลูกสาวอยากจะรบกวนพวกสะใภ้แบบเธอช่วยดูให้หน่อยว่ามีเด็กหนุ่มคนไหนที่เหมาะบ้าง ไม่ต้องอะไรมาก แค่ซื่อสัตย์กับขยันทำงานก็พอ”

“พี่เถาฮวา ฉันว่าครูอวี๋โรงเรียนประถมของเราก็ไม่เลวนะ แต่แก่กว่าเสี่ยวเหมยเยอะหน่อย!” พอฉีเหลียงอิงพูดแบบนี้ สีหน้าของซูเถาฮวาดันเปลี่ยนไป

จากนั้นฉีเหลียงอิงก็ตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป

เหตุผลที่หลี่ฉางหมิงโดนจับเพราะเป็นชู้กับพวกยุวชนที่ถูกส่งตัวมาชนบท และครูอวี๋ก็เป็นยุวชนเช่นเดียวกัน

พูดถึงคนแบบนี้ขึ้นมาจะไม่สะกิดใจได้อย่างไร?

“พี่เถาฮวา ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ ฉันพลั้งปากไปเอง อย่าตำหนิฉันเลยนะ!” เธอรีบขอโทษขอโพย

ซูเถาฮวาตอบ มันเป็นปัญหาของฉัน ไม่ได้เกี่ยวว่าจะเป็นพวกยุวชนหรือเปล่าหรอก!

หลี่ฉางหมิงเป็นชู้กับคังอี้เยี่ย ถึงฝ่ายหญิงจะเป็นปัญหา แต่ถ้าฝ่ายชายเป็นคนดีก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก

เธอไม่มีปัญหากับยุวชนพวกนี้ แต่ไม่อยากให้ลูกสาวแต่งกับคนพวกนี้ด้วย เพราะไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน

“ฉันแค่ต้องการให้เสี่ยวเหมยแต่งงานกับคนที่ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ ถึงครูอวี๋จะเป็นคนดี แต่ถ้าอนาคตต้องกลับตัวเมืองไปก็กลัวว่าจะไม่เหมาะ”

“พูดถึงเรื่องกลับเมืองมาตั้งหลายปี ซางชุนหลานก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กสาวจนถึงวัยกลางคนเลยนะ” ฉีเหลียงอิงพูดด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องของคนอื่นอย่าไปสนใจเลย พวกยุวชนก็แค่คิดหาวิธีเท่านั้น ไม่ได้อยากไปจากชนบทหรอกนะ!” เหลียงซิ่วเอาผักกาดขาวใส่ลงในกะละมังอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้ม

“พูดแล้วก็ใช่! หลายปีมานี้ ไป ๆ มา ๆ กันตั้งหลายคน คนไปก็ไม่น้อย คนอยู่ก็ไม่น้อย แต่คนที่สบายใจมีไม่เยอะหรอก” ซูเถาฮวามองเห็นได้ชัดเจนเลย

มีหลายครอบครัวในชุมชนการผลิตที่แต่งงานกับยุวชนหญิงเป็นสะใภ้ ตอนนี้ก็ดูดีหรอก แต่ว่าถ้าสังเกตดี ๆ พวกเธอก็ยังอยากออกไปจากที่นี่เหมือนกัน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกยุวชนชายที่แต่งงานกับผู้หญิงจากชุมชนเลย อยากจะไปไม่หวาดไม่ไหว

“พวกยุวชนไม่เหมาะหรอก เสี่ยวเหมยคนนี้ฉันมองแล้วยังชอบเลย แต่ว่าที่บ้านไม่มีหลานชายของพี่ ๆ เลย หาไม่ง่ายกว่าคนนอกเท่าไรหรอก”

เหลียงซิ่วกำลังพึมพำ และทันใดนั้นก็จำอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะถามฉีเหลียงอิง “พี่สะใภ้รอง บ้านพี่ฝั่งนั้นไม่มีใครเหมาะแล้วหรือคะ?”

“ตอนนี้คิดไม่ออกว่าใครเหมาะบ้าง ข้างบ้านพี่ก็มีเด็กหนุ่มคนนึงวัยไล่เลี่ยกันเลย แต่ว่าไม่หล่อ ไม่เหมาะกับเสี่ยวเหมยของเราหรอกนะ”

คำพูดของสะใภ้รองทำคนทั้งสองหัวเราะ

“พี่สะใภ้รองยังคิดแบบนี้อยู่หรือคะ? ตอนแรกที่เห็นพี่รอง พี่ก็ตกหลุมรักเลยใช่หรือเปล่า” เหลียงซิ่วแกล้งถาม

ฉีเหลียงอิงโดนแกล้งจนหน้าแดง จึงแสร้งทำเป็นถุยแล้วว่า “เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่เลยนะ”

หลังจากหัวเราะอยู่พักหนึ่ง อาหารก็เสร็จพอดี คนในบ้านกินข้าวเย็นกันอย่างคึกคัก

พอซูเถาฮวากลับมาก ก็เอาอาหารมาส่งให้หวังเซียงฮวาและซูเสี่ยวเหมยด้วย

ตอนที่เธอมาส่งอาหาร ก็มีคนจากบ้านอื่นมาส่งอาหารให้คนของตัวเองเหมือนกัน

ตอนที่สาว ๆ หัวเราะกันสนุกสนานในฟาร์มและเตรียมจะกินข้าว ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าทุกครอบครัวใส่ไข่ลงไป

เป็นเมนูจากไข่หมดเลย ทั้งไข่ตุ๋น ไข่ผัดกุยช่าย มะเขือเทศผัดไข่ แตงกวาผัดไข่และอีกมากมาย

“คืนนี้มีอะไรกันนะ ทำไมได้กินไข่กันหมดเลย”

“ปกติบ้านฉันไม่ค่อยกินไข่นะ วันนี้ไม่ใช่วันเทศกาลสักหน่อย ทำไมกินไข่กัน?”

หลายคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

“น่าจะเป็นการฉลองที่ไก่ในฟาร์มไก่ของเราออกไข่กระมัง!” หวังเซียงฮวาติดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ

ณ คอกวัว

ฉือเก๋อและตู้ถงเหอได้ยินมาก่อนแล้วว่า ในที่สุดฟาร์มไก่ของหงซินก็ออกไข่แล้วในวันนี้ และพวกเขากำลังสนทนาเรื่องนี้กันอยู่

“ทีแรกคิดว่าเรื่องนี้จะไม่สำเร็จ แต่ใครจะรู้เล่าว่าเราจะทำได้!” ฉือเก๋อค่อนข้างประหลาดใจ

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มันเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่หงซินจะทำฟาร์มไก่และเลี้ยงพวกมันได้อย่างราบรื่นขนาดนี้

“ฉันแค่กังวลว่าหงซินจะถูกจับตามองหรือเปล่า แต่ทุกคนแค่อยากมีชีวิตที่ดีนี่!” ตู้ถงเหอถอนหายใจ

ต้มไม้งามในป่าใหญ่ย่อมถูกลมโค่น!

การที่ชุมชนการผลิตหงซินเลี้ยงไก่ได้อย่างรุ่งเรืองไม่แปลกที่ชุมชนอื่นจะอิจฉา บางคนคิดคดโกงกับพวกเขาเลยก็ว่าได้

“ฉันเคยถามจื่ออันเรื่องนี้มาก่อน จื่ออันก็บอกไม่มีปัญหาอะไร”

“ถึงจื่ออันจะมีตำแหน่งในอำเภอ แต่ก็ไม่พอจะปกป้องฟาร์มไก่ใหญ่ขนาดนี้หรอกนะ!” ตู้ถงเหอยังไม่โล่งใจอยู่ดี

ถ้าเป็นฟาร์มเล็ก ๆ ด้วยความสามารถของเฉินจื่ออันจะต้องปกป้องได้แน่นอน แต่ตอนนี้ฟาร์มมันมีขนาดใหญ่มากเกินไป

“สหายตู้ เรื่องนี้แกไม่ต้องกังวลหรอก เหนือจื่ออันยังมีผู้นำที่พี่ซูเคยดูแลเมื่อตอนยังหนุ่มอยู่ ไม่อย่างนั้นชุมชนการผลิตหงซินจะราบรื่นขนาดนี้ได้อย่างไรล่ะ?”

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนหนุนหลังที่แท้จริงของบ้านซูไม่ใช่จื่ออัน แต่เป็นผู้นำที่อยู่เหนือเฉินจื่ออันต่างหาก

“พูดก็พูดเถอะ แต่เหมือนว่าผู้นำท่านนั้นจะส่งพัสดุมาให้บ้านซูครั้งเดียวเองนะ”

ฉือเก๋อยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก

ดูเผิน ๆ เหมือนว่าพัสดุจะส่งมาครั้งเดียว แต่ทุกครั้งที่เฉินจื่ออันมาที่ชุมชน มักจะเอาของดี ๆ มาให้เพียบเลย

ตามหลักแล้ว เฉินจื่ออันไม่น่าจะเอาของดี ๆ เยอะขนาดนี้มาได้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นฝีมือของผู้นำอาวุโสท่านนั้นนะ

แถมชีวิตบ้านซูยังดีขึ้นเรื่อย ๆ อีก เขาแอบสังเกตว่าตระกูลผู้เฒ่าซูไม่ขาดตั๋วสักชนิดเลย ชาวไร่ชาวนาที่ไหนจะมีตั๋วตั้งมากตั้งมายขนาดนี้? ก็ต้องเป็นผู้นำเบื้องบนท่านนั้นแหละ

ต้องพูดเลยว่าเป็นความเข้าใจผิดที่สมบูรณ์แบบ

ความคิดของฉือเก๋อก็เหมือนกับความคิดของสมาชิกในชุมชนการผลิตส่วนใหญ่

ทุกคนรู้สึกว่าที่บ้านซูมีชีวิตที่ดีได้ เป็นเพราะรางวัลที่เคยช่วยชีวิตคนอื่นไว้ในตอนนั้น

ตอนนั้นเองที่ซูฉางจิ่วกลับมาจากชุมชนใหญ่แล้ว

เขานำไข่โหลหนึ่งชุดแรกไปที่คอกวัว

“อาจารย์ฉือ อาจารย์ตู้” ซูฉางจิ่วกล่าวอย่างสุภาพ

พอคนในบ้านได้ยินเสียงหัวหน้าก็หยุดสนทนาทันที

“หัวหน้า ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะครับ” ฉือเก๋อกับตู้ถงเหอออกไปด้วยกัน

“ผมมาที่นี่เพื่อขอบคุณครับ!” หัวหน้าซูไม่พูดอะไรอีก

“ขอบคุณพวกเราหรือ?” ชายชราทั้งสองมอหน้ากันอย่างงง ๆ ช่วงนี้พวกเขาทำอะไรไว้หรือ?

คุ้มไหมเนี่ยที่มีหัวหน้าชุมชนมาขอบคุณเป็นพิเศษน่ะ?

“หนึ่งปีนี้ผมเห็นแล้วว่าพวกคุณทั้งสองท่านต่างก็มีพรสวรรค์จริง ๆ ช่วยชุมชนการผลิตของเราเอาไว้ไม่น้อยเลยครับ”

จากนั้นทั้งสองก็เข้าใจ

แน่นอนว่าซูฉางจิ่วได้กล่าวต่อ “ปีนี้ที่ชุมชนการผลิตหงซินของเรามีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้เยอะมาก ในฐานะหัวหน้าแล้ว ต้องขอขอบคุณพวกคุณจริง ๆ ครับ!”

ตู้ถงเหอเงียบไปครู่หนึ่ง

“หัวหน้าครับ เรื่องนี้ผมไม่กล้ารับเป็นผลงานหรอกนะ มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียวด้วย แต่…”

ซูฉางจิ่วมองไปรอบ ๆ ก่อนจะขัดจังหวะขึ้น “ผมรู้ครับ แต่เสี่ยวเถียนยังเด็กเกินไป ความดีความชอบต้องยกให้คุณเท่านั้น!”

ตู้ถงเหอตกตะลึง ที่แท้ไม่ใช่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องหรอก แต่เพราะปกป้องเสี่ยวเถียนต่างหาก

“หัวหน้า ที่คุณหมายถึงคือ…”

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท