บทที่ 187 คณะทำงาน
ในขณะที่ทุกคนกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทางอำเภอก็จัดคณะทำงานมาให้หงซิน
“คณะทำงานอะไรน่ะ? ไม่ได้มีมานานแล้วไม่ใช่หรือ?” คุณย่าซูถามไปพลางระหว่างกินข้าว
ไม่เห็นคณะทำงานมาหลายปีแล้ว ทำไมจู่ ๆ ถึงเพิ่งโผล่มาตอนนี้ล่ะ?
คนนอกที่มาจากชุมชนใหญ่เพียบเลย ตอนนี้คงกลัวว่าจะลำบากสินะ
ซูโส่วเวินตักข้าวเข้าปากคำโต แล้วพูดไปด้วย “ไม่ใช่ว่าปีก่อนเพิ่งน้ำท่วมหรือครับ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าหลังจากผ่านฤดูใบไม้ร่วงในวันนี้ไปจะมีฝนตกหนัก ทางชุมชนใหญ่เลยจัดคณะทำงานมาให้พวกเราสร้างเขื่อนกั้นน้ำ แล้วยังบอกให้ชุมชนที่อยู่ริมแม่น้ำทั้งหมดให้ความสนใจกับเรื่องนี้ รวมถึงชุมชนที่อยู่ด้านหลังอย่างพวกเราด้วย”
“แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้คณะทำงานมานี่” คุณย่าซูยังคงไม่เข้าใจ
“ใครว่าไม่ต้องกันล่ะครับ เมื่อบ่ายมีคนมารวมตัวกันเจ็ดคนแล้ว หัวหน้าซูเลยให้ผมหาที่พักไว้ให้พวกเขา”
ซูโส่วเวินค่อนข้างรู้สึกเป็นทุกข์
การหาที่พักไม่ใช่เรื่องง่าย มีบ้านไหนไม่ขาดที่อยู่กันบ้างล่ะ?
นอกจากหาที่พักให้แล้วยังต้องหาอาหารการกินให้อีก ไม่ว่าบ้านไหนก็ไม่เหมาะ
งานนี้ถูกมอบหมายให้ทางชุมชนใหญ่ แล้วพวกเขาก็มอบมาให้แต่ละชุมชนการผลิตรับผิดชอบ
หลังจากเป็นทุกข์อยู่พักหนึ่ง ซูโส่วเวินก็พูดขึ้นอีกครั้ง “โชคดีที่ทุกคนไม่ได้กินฟรีอยู่ฟรี เขาให้อาหารกับเงินด้วย”
“บ้านเถาฮวามีหลายหลัง ตอนนี้เสี่ยวเหม่ยอยู่ฟาร์มไก่ ในบ้านจึงเหลือกันสองคน สถานการณ์ไม่แย่นะ” ซูเหล่าซานขบคิดก่อนจะพูดออกมา
“มีกลุ่มคนว่าร้ายหน้าบ้านหญิงม่าย คณะทำงานมีแต่ผู้ชาย อยู่บ้านเถาฮวาไม่ดีหรอก” คุณย่าซูกลัวว่าหลานจะทำอย่างที่วางแผนไว้ จึงรีบพูด
หลังจากหลี่ฉางหมิงโดนจับไป แม้ซูเถาฮวาจะยังใช้ชีวิตได้ดีอยู่ แต่มันก็ไม่แน่ไม่นอนนัก ถ้าได้เงินคอยหนุนคงจะดีมาก
แต่น่าเสียดาย…
บ้านของซูเถาฮวามีหลายห้อง แต่ใครใช้ให้เธอไม่มีสามีกัน
ถึงจะมีลูกชาย แต่เขายังเด็กเกินกว่าจะทำอะไรได้ หากพวกกลุ่มทำงานได้รับอนุญาตให้อยู่จริง ๆ อาจจะมีปัญหาตามมามากมาย
พอซูโส่วเวินได้ยินเช่นนั้นก็ยอมรับมัน
ถ้ามีข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไป ป้าเถาฮวาอาจมีอันตรายถึงชีวิต
ถึงชุมชนใหญ่จะมีคนดี แต่เรื่องนินทาว่าร้ายไม่เคยน้อยอยู่แล้ว ซูโส่วเวินไม่อยากให้เธอตกเป็นขี้ปากคนอื่น
ช่างเถิด ค่อยหาวิธี มีคนในชุมชนเยอะแยะ ต้องมีวิธีที่ทำให้อยู่ได้บ้างล่ะ
“ไม่งั้นไม่กลับไปถามอาจู้จื่อดูล่ะ บ้านเขาคนน้อย ห้องพักก็ไม่เลว จัดคนเข้าไปพักหน่อยได้เงินหนุนด้วยนะ” ซูเหล่าต้าแนะนำ
“ครอบครัวจู้จื่อมีสามห้อง ตอนนี้ไม่มีลูก อาจจะอยู่ที่นั่นได้นะ” คุณปู่ซูก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่หลี่จู้จื่อแต่งงานก็ได้ใช้ชีวิตแล้ว ทั้งสองสามีภรรยาร่วมแรงร่วมใจทำงาน และได้ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างแท้จริง
“พ่อพูดถูก เดี๋ยวผมกินข้าวเสร็จจะไปดูบ้านอาจู้จื่อครับ!”
ซูโส่วเวินรู้สึกว่านี่เป็นคำแนะนำที่ดีมาก ๆ เขารีบกิน พอกินเสร็จก็รีบออกไปทันที
เดิมทีเพราะเป็นเรื่องเล็กน้อย สมาชิกตระกูลหลักบ้านซูเลยพูดคุยก็ในช่วงเวลากินข้าว
ซูเสี่ยวเถียนครุ่นคิดอยู่นาน จำไม่ได้ว่าชาติก่อนที่หงซินจะมีคณะทำงานมาด้วย
ก่อนจะคาดเดาอีกว่าเพราะมีเรื่องเปลี่ยนแปลงจากชาติที่แล้วมากมาย แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือเปล่า
ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอนเถอะ
บางอย่างในชาตินี้ก็เหมือนชาติที่แล้ว แต่บางอย่างก็แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซูเสี่ยวเถียนจึงไม่สนใจจะคิดมันต่อ
ตอนนี้ในความคิดของซูเสี่ยวเถียนควรคิดถึงแต่การเล่าเรียน หาเงินและตั๋วเถอะ
ตอนนี้เธอควรหาวิธีเรียนต่อและหาเงินหาตั๋วเถอะ
การเล่าเรียนอย่างหนักไม่ได้ไร้ประโยชน์เลย นอกจากจะได้ความรู้มากมายแล้วยังได้เงินสองหยวนและตั๋วเงินอีกมาก
นี่เป็นรายได้ก้อนโต ดังนั้นซูเสี่ยวเถียนจึงให้ความสำคัญกับรายได้จากการอ่านหนังสือ
ถ้าไม่ใช่เพราะระบบตั้งไว้ว่าให้อ่านหนังสือวันละสิบชั่วโมงต่อวัน เธอคงอ่านหนังสือหาเงินยี่สิบสี่ชั่วโมงไปแล้ว
ตอนบ่าย เสี่ยวเถียนออกไปเล่นกับฉืออี้หย่วนที่คอกวัว ก่อนจะได้ยินข่าวว่าคณะทำงานไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านซูเถาฮวา
ตอนนั้นเองที่คุณย่าซูก็ได้ทราบข่าวจากหลานชายเช่นกัน เธอรู้สึกประหลาดใจมาก และไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เป็นอย่างยิ่ง
เธอรู้สึกว่าถึงทางชุมชนใหญ่จะมีความคิดเช่นนี้ แต่ซูเถาฮวาก็น่าจะไม่เห็นด้วย
“ทำไมไปบ้านเถาฮวาล่ะ? ป้าเถาฮวาของแกเห็นด้วยหรือ?”
“ภรรยาของอาจู้จื่อท้องครับ อาจจะเรื่องใหญ่เลย เขาบอกว่าถ้ามาอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องหาข้าวหาน้ำอะไรให้ เขาเป็นผู้ชายไม่สามารถทำให้ได้ครับ”
ซูโส่วเวินหยิบสมุดออกมาขีด ๆ เขียน ๆ แล้วเอ่ยตอบ
“ต่อมาหัวหน้าก็นึกถึงป้าเถาฮวาก็เลยไปถามความเห็นเธอ แล้วป้าก็เห็นด้วย”
ย่าซูถอนใจ ช่างมัน มันถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเถอะ!
เถาฮวาเองก็เห็นด้วย เธอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
ขณะที่สองย่าหลานคุยกัน ซูเถาฮวาผู้เป็นหัวข้อบทสนทนาก็เดินเข้ามา
“เสี่ยวเถียน!” ซูเถาฮวาตะโกนเรียกหลังจากเดินเข้ามา
“เสี่ยวเถียนออกไปเล่น ไม่รู้ว่าตามพี่ ๆ ขึ้นเขาไปหรือเปล่า”
พอคุณย่าพูดจบ หลานชายคนโตทักทายป้าแล้วรีบหมุนตัวออกไป
“เถาฮวาเอ้ย ทำไมให้พวกเขามาพักที่บ้านเล่า?” คุณย่าซูถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณป้า ฉันรู้ว่าป้าเป็นห่วง แต่ชุมชนเราไม่มีที่อื่นให้จัดแล้วค่ะ”
คนในหงซินไม่ได้รวย บ้านแต่ละหลังก็คับแคบมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่บ้านซูมีเด็กเจ็ดแปดคนบนเตียงเตาเดียวกันก็อึดอัดแล้ว
“ทำไมถึงตอบตกลงล่ะ? ไม่กลัวคนอื่นนินทาลับหลังหรือ?” คุณย่าซูพูดอย่างเป็นห่วง
“ฉันคิดไว้แล้วค่ะ ช่วงนี้ก็ไปอยู่ที่ฟาร์มไก่ก่อน ให้เสี่ยวกังอยู่บ้านไม่เป็นไรหรอก”
หัวหน้าซูเองก็เห็นด้วย ไม่งั้นคงไม่กล้าผลีผลามยอมให้ผู้ชายหลายคนอยู่ที่บ้านหรอก
ซูเถาฮวาหาเก้าอี้มาวางไว้ใต้ต้นไม้ในลาน ก่อนจะนั่งลงแล้วคุยกับคุณย่าซูเหมือนอยู่บ้านตัวเอง
“เสี่ยวกังอยู่คนเดียว ไม่กังวลหรือ?”
คุณย่าซูขมวดคิ้ว เธอเองก็มักรู้สึกว่าเวลาให้คนอื่นมาพักที่บ้านยังรู้สึกไม่สบายใจเลย
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันถามเสี่ยวกังแล้ว ลูกบอกอยู่ได้ ตอนนี้เขาไม่ดื้อแล้วด้วย รู้ความมากขึ้น” ตอนที่เถาฮวาพูด น้ำเสียงเธอแฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเสี่ยวกังก็เป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาถูกบังคับให้เติบโตขึ้นอย่างกะทันหัน
“หัวหน้าซูบอกว่าพวกเขาจะให้ฉันเดือนละห้าหยวนสำหรับพักหนึ่งเดือน แล้วถ้าฉันช่วยทำอาหารจะให้อีกห้าหยวนแล้วก็ตั๋วอาหารด้วย”
ซูเถาฮวาคิดอย่างทะลุปรุโปร่ง เงินสิบหยวนกับตั๋วอาหารไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ
แค่ทำอาหารกับเก็บกวาดบ้านเท่านั้นเอง งานพวกนี้สำหรับสาวชนบทแล้วไม่ใช่ปัญหา!
เพราะเงินสิบหยวนมีความสำคัญต่อครอบครัวของเธอมาก
เธอตัดสินใจว่าถ้าอยากให้ลูกทั้งสองเรียนหนังสืออีกก็ต้องเก็บเงิน
“เธอคิดว่าอย่างนั้นหรือ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะบ้านอื่นรองรับคนเยอะขนาดนี้ไม่ได้ ฉันก็คงไม่ได้งานนี้หรอกค่ะ” ซูเถาฮวายิ้มบาง ๆ
คำพูดพวกนี้กลับมีความหมายดูถูกตัวเองเสียอย่างนั้น คุณย่าซูฟังเข้าใจ แต่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเท่านั้น
“เด็กคนนี้…” คุณย่าซูพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ที่มามีนิสัยอย่างไรกัน”
ถ้าไม่ดี ชุมชนการผลิตของเราคงไม่สงบสุข