สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 41 มีแม่ม่ายก็ต้องมีคนเลว นี่เป็นชะตากรรม!
เข็มของนาฬิกาโบราณในสมาคมเพิ่งเดินไปหนึ่งรอบกว่าๆ เจ้าของสมาคมและลูกค้าของเขาซูจื่อจวินก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
เจ้าของสมาคมยังคงเป็นเจ้าของสมาคม เพียงแต่สีหน้าของลูกค้าที่กลับมาอีกครั้งกลับไม่ได้ดูดีเหมือนตอนเพิ่งมาถึง
ดูเหมือนหม้อความดันสูงกำลังต้มอะไรอยู่และพร้อมระเบิด…ไอความร้อนออกมาอย่ตลอดเวลา
ทันใดนั้นซูจื่อจวินก็พึมพำออกมา “วิญญาณชั่วร้ายสามล้านล้านดวงไม่สามารถเอามาได้อย่างแน่นอน! นี่เป็นเพียงข้ออ้างของพวกเจ้า พูดว่าซื้อได้ทุกอย่าง…ที่แท้ก็แค่คำพูดของพวกต้มตุ๋นหลอกลวง”
สำหรับคำพูดเสียดสีอย่างชัดเจนแบบนี้ อีกทั้งยังพูดเป็นครั้งที่สอง ลั่วชิวเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้คิดจะตอบโต้ “คุณหนูจื่อจวิน เวลายังเช้าอยู่ ต้องการนั่งลงดื่มอะไรก่อนไหมครับ?”
“ไม่จำเป็น” ซูจื่อจวินถลึงตามองลั่วชิวแวบหนึ่งแล้วก้าวยาวๆ ไปทางประตู
เมื่อเห็นว่าซูจื่อจวินจะจากไป โยวเย่ถึงมาที่ด้านหน้าของเจ้าของสมาคม พูดอย่างเสียดายเป็นพิเศษว่า “เสียดายจังค่ะ ฉันเพิ่งดัดแปลงเครื่องดื่มให้คล้ายเลือดออกมาแก้วหนึ่ง คิดจะให้คุณหนูจื่อจวินลองชิมดูรสชาติสักหน่อย”
“ของแบบนั้นก็ดัดแปลงได้ด้วยเหรอ?” ลั่วชิวเอ่ยถามอย่างสงสัย
โยวเย่ยิ้มและเอ่ยว่า “ฉันแค่ลองดู วิธีดั้งเดิมนั้นค่อนข้างยาก แต่หากใช้เทคโนโลยีแยกโมเลกุลก็สามารถทำได้”
“อืม…”
เพิ่งได้รับบัญชีใหญ่มาหนึ่งบัญชี ค่าแลกเปลี่ยนเป็นวิญญาณชั่วร้ายสองหมื่นสองพันดวง เป็นค่าแลกเปลี่ยนมหาศาลอย่างหนึ่ง เจ้าของสมาคมจึงอารมณ์ดีมิใช่น้อย
เมื่อว่างไม่มีอะไรทำ ลั่วชิวจึงพูดอย่างกระตือรือร้นขึ้นว่า “พวกเราไปทำกับข้าวกันเถอะ วันนี้เธอเป็นลูกมือให้ฉันก็พอ แต่อย่าหัวเราะฉันล่ะ”
…
หลงซีรั่วกำลังเริ่มซ่อมแซมผนึกจุดที่สองซึ่งเป็นผนึกในส่วนของเธอ เพิ่งจะดำเนินการได้ครึ่งหนึ่งก็มองเห็นซูจื่อจวินขมวดคิ้วดูไม่สบอารมณ์เดินเข้ามา
“ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสี่ห้าวันไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงได้กลับมาแล้ว?”
หลงซีรั่วหยุดมือแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
ซูจื่อจวินกลับหาก้อนหินก้อนหนึ่งนั่งลง จากนั้นก็พูดตำหนิคนว่า “ยายเฒ่า เจ้ากับพ่อค้าชั่วนั่นเคยติดต่อกันไหม? ที่ข้าพูดถึงก็คือเคยแลกเปลี่ยนอะไรกันไหม?”
หลงซีรั่วคิดจะพูดอะไรกับซูจื่อจวิน แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าถามถึงเรื่องนี้ทำไม?”
ซูจื่อจวินมองหลงซีรั่วแวบหนึ่งแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “พ่อค้าชั่วคนนั้นพูดว่าสามารถเปิดเผิงไหลได้”
ปฏิกิริยาของหลงซีรั่วไม่ได้สงบ…แต่กลับดูตกใจมาก “เผิงไหลเป็นเพียงตำนาน!”
หลงซีรั่วเอ่ยว่า “ตามตำนานบอกว่ามังกรแท้ตัวแรกของเก้าแผ่นดินกำเนิดขึ้นที่เผิงไหล ส่วนกระบี่เซวียนหยวนก็ออกมาจากเผิงไหลเช่นกัน และยังมีตำนานบอกอีกว่ามีเซียนอาศัยอยู่ในเผิงไหล ”
“เป็นเพียงตำนาน”
ในที่สุดหลงซีรั่วก็ขยับมืออีกครั้งเพื่อซ่อมแซมผนึกต่อแต่ก็ยังพูดว่า “มีคนหลายรุ่นตายไปไม่รู้มากเท่าไรแล้วเพื่อตำนานอันนี้ ทำไมต้องทุ่มเทไปกับสิ่งที่ล่องลอยเช่นนี้ด้วย…เจ้าสนใจเจ้าเด็กที่อยู่ใต้ดินผู้นี้ดีกว่าไหม เจ้าทำอะไรกับนาง?”
“ไม่มีอะไร” ซูจื่อจวินเอ่ย “ข้าบำรุงนางสักหน่อย ไม่ได้หรือ?”
หลงซีรั่วไม่พูดอะไร…เธอรู้จักนิสัยของซูจื่อจวินดีกว่าใครจึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “สถานที่แห่งนั้น เจ้าพยายามอย่าเข้าไปยุแหย่ ข้ารู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าที่ข้ากับเจ้าคิดไว้มาก”
“ข้ามีขอบเขตของข้า” ซูจื่อจวินตอบกลับไปประโยคหนึ่งจากนั้นก็หันไปมองยังมุมหนึ่งของถ้ำและขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นั่นคืออะไร?”
หลงซีรั่วไม่ได้หันกลับไปดูเพียงแต่พูดขึ้นว่า “เป็นของที่ลอบโจมตีข้าในครั้งก่อน ข้ายุ่งอยู่กับการซ่อมแซมผนึกจึงไม่ได้สนใจมัน อีกเดี๋ยวค่อยไปกำจัดมัน”
นั่นเป็นก้อนชิ้นเนื้อเละกองหนึ่ง
ซูจื่อจวินจำเหตุการณ์นั้นได้ ก้อนเนื้อขนาดใหญ่ลอบโจมตีหลงซีรั่วสำเร็จแต่ก็ถูกยายเฒ่าโจมตีกลับจนร่างขาดออกครึ่งหนึ่งจากนั้นน้ำก็ทะลักเข้ามา
“มันน่าจะยังมีอีกส่วนมิใช่หรือ?” ซูจื่อจวินก้าวเข้ามาข้างหน้าแล้วพิจารณา…แต่ก้อนเนื้อเละกองนี้ช่างน่าเกลียดเหลือเกิน จนซูจื่อจวินรีบหลีกหนีด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ไม่รู้ น่าจะถูกน้ำพัดไปที่อื่นแล้ว” หลงซีรั่วเอ่ย “น่าจะตายแล้วล่ะ ข้าไม่รับรู้ถึงลมหายใจของมันเลย”
ทันใดนั้นซูจื่อจวินก็สูดดม “บริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีกลิ่นของมัน…แต่ของสิ่งนี้เซียงหลิ่วเป็นคนทำขึ้นมา ข้าจะไปถามดู ครั้งนี้เขายังหาคู่หูมาด้วย ดังนั้นจะต้องถามให้ชัดๆ เพราะแผ่นดินเทพไม่ใช่สถานที่ให้ใครก็ได้มาละโมบ”
“เจ้ากระตือรือร้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หลงซีรั่วมองซูจื่อจวินอย่างแปลกใจ
ซูจื่อจวินเอ่ยว่า “ถึงเซียงหลิ่วจะได้รับการลงโทษแล้ว แต่คู่หูของเขาเคยลอบทำร้ายข้า บัญชีนี้ข้ายังไม่ทันได้ชำระ”
“เอาล่ะ เจ้าไปเถอะ” หลงซีรั่วเข้าใจนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของซูจื่อจวินจึงส่ายหน้า “หลังข้าซ่อมที่นี่เสร็จก็จะกลับไปโรงพยาบาลเลย”
ก่อนซูจื่อจวินจากไปก็เหลือบมองก้อนเนื้อเละกองนั้นอีกแวบหนึ่ง ตั้งแต่ที่นางเข้ามาที่นี่ก็สังเกตเห็นการคงอยู่ของก้อนเนื้อเละกองนี้แล้ว
ที่เธอวางประเด็นเรื่องนี้เอาไว้ที่นี่ก็เพราะซูจื่อจวินต้องการไปหาเซียงหลิ่วที่ส่วนลึกของเส้นสายจิตวิญญาณเพื่อหาคำพูดมาจัดการกับเหตุผลของหลงซีรั่วก่อน
ในเวลาขับคันเธอก็ยังเป็นสาวน้อยเจ้าแผนการคนหนึ่ง
…
…
เสียงโทรทัศน์
โชว์เวทมนตร์ นางฟ้าโดมี่ กลายร่าง!! ปิ้วๆๆ!
“เสี่ยวจือ เบาเสียงลงหน่อย!”
“รู้แล้วค่ะแม่!”
เสี่ยวจือใช้สองมือถือรีโมตคอนโทรลและใช้นิ้วมืออ้วนป้อมกดปุ่มปรับลดระดับเสียง จ้องมองที่โทรทัศน์พร้อมถามว่า “แม่คะ กินข้าวเย็นกับอะไร?”
“ยังเร็วเกินไป รอแม่บดถั่วเหลืองพวกนี้เสร็จก่อน ลูกดูโทรทัศน์รอก่อนนะ!” ซานเอ๋อร์หยุดครู่หนึ่งและเช็ดเหงื่อ
ร้านเต้าหู้ในหมู่บ้านร้านนี้ไม่ใหญ่มาก ด้านหน้าเปิดประตูเป็นที่ค้าขาย ส่วนด้านหลังก็เป็นที่อยู่อาศัย
“เอาเต้าหู้ให้ฉันสามหยวน”
ทันใดนั้นหน้าร้านก็มีเสียงร้องเรียกดังเข้ามา ซานเอ๋อร์ยิ้มหันออกไป “สามหยวนใช่ไหม ได้เลย…”
แต่ซานเอ๋อร์ที่ยิ้มอยู่ก็หุบยิ้มลงทันที เพียงก้มหน้าลงรีบตัดเต้าหู้สามหยวน ใช้ใบกล้วยห่อและมัดด้วยเชือกฟางจากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ “สามหยวน”
คนที่ตะโกนร้องซื้อเต้าหู้นั้นเป็นผู้ชายอายุราวๆ สามสิบกว่าปี รูปร่างสูงประมาณหนึ่งเมตรเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร ดูแข็งแรงมาก
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร ล้วงกระเป๋าเงินออกมาหยิบเศษเงินและยื่นมือออกมา
ซานเอ๋อร์ยื่นมือออกไปรับ แต่กลับพบว่าผู้ชายคนนั้นจับเงินเอาไว้แน่นไม่มีความคิดจะปล่อยมือ
ไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดจะปล่อยมือเท่านั้น ต่อมาผู้ชายคนนั้นยังจับมือของซานเอ๋อร์ไว้โดยไม่สนใจใคร “เฮอ เฮอ มือนี้ลื่นจริงๆ! เหมือนกับเต้าหู้ไม่มีผิด แต่เสียดายฝ่ามือมีลายเส้นอยู่เต็มไปหมด ว่าไหม?”
“นาย นายปล่อยมือเดี๋ยวนี้! นาย…นายทำอะไร!” ซานเอ๋อร์สะบัดมืออย่างรุนแรง ถลึงตามองผู้ชายคนนั้น…คนเลวที่ขึ้นชื่อในหมู่บ้านแห่งนี้
“เสี่ยวซานเอ๋อร์ ไม่มีใครบอกเธอเหรอว่าเวลาที่เธอถลึงตามองสวยมาก?”
“นายวางเงินลง ฉันจะปิดร้านแล้ว!” ซานเอ๋อร์ไม่อยากพูดมาก รีบเริ่มเก็บร้านทันที ไปดึงประตูลง
แต่เพิ่งดึงประตูลงได้ครึ่งเดียว ผู้ชายคนนั้นก็ยื่นมือออกมาขวางไว้ “อย่ารีบร้อนสิ คุยกันก่อน ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลย ไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับนาย!” ซานเอ๋อร์ออกแรงดึงประตู แต่ก็พบว่าตนเองดึงไม่ลง
“งั้นก็ทำเรื่องอื่นกันดีไหม ถ้าไม่พูดคุย…” ผู้ชายคนนั้นหรี่ตาหัวเราะและเอ่ยว่า “ดวงอาทิตย์ตกดิน ยังมีเรื่องมากมายที่ทำได้”
“จางคุน นายจะไปหรือไม่ไป…ถ้านายไม่ไป ฉันก็จะไปฟ้องร้องที่สถานีตำรวจ!” ซานเอ๋อร์หลบออกไปไกล
“ไปฟ้องร้องกับพี่เขยของฉันงั้นเหรอ?” จางคุนหัวเราะและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราเพิ่งดื่มเหล้ากันมาเมื่อตอนบ่าย”
พูดแล้วจางคุนก็เข้ามาในร้านเต้าหู้ หัวเราะอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “ซานเอ๋อร์ เธอไม่ลองคิดดูให้ดีหน่อยล่ะ ฉันเห็นว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งและยังมีลูกวัยไม่กี่ขวบอยู่อีก คงใช้ชีวิตยากลำบากเลยใช่ไหม? ไม่สู้มาอยู่กับฉัน”
“จางคุน นายไป…ได้โปรดออกไปซะ!” สีหน้าของซานเอ๋อร์เผยความร้อนใจขึ้นมา “ฉัน…ฉันจะร้องเรียกให้คนช่วยแล้วนะ!”
“ร้องอะไร?” จางคุนหัวเราะเยาะและเอ่ยว่า “พูดกันว่าแม่ม่ายอย่างเธอเริ่มหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายอีกแล้ว จริงไหม? ฉันคิดว่ามันคือความจริง! เธอขาดผู้ชายมาตั้งสองสามปีแล้วจะต้องทนไม่ไหวแน่!”
“นาย…นายพูดจาใส่ร้ายคนอื่น!!”
“แม่คะ!”
เวลานี้เอง เด็กหญิงเสี่ยวจือได้ยินเสียงจึงเดินออกมา เพียงแต่มองเห็นใบหน้าของจางคุน เธอก็หวาดกลัวจนหดตัวในทันที
“โอ้ เสี่ยวจือ”
ชั่วขณะนั้นจางคุนก็หัวเราะแล้วเข้าไปกอดเสี่ยวจือขึ้นมา “ให้ลุงดูสิ ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน สวยขึ้นหรือยัง?”
“จางคุน! นายวางเธอลงเดี๋ยวนี้นะ!! วางลง!!”
“ฉันก็แค่ดูหน่อยเท่านั้น? เธอร้อนใจอะไร? ฉันไม่ได้กินคนสักหน่อย!” จางคุนพูด “เสี่ยวจือ ลุงพาไปกินอะไรอร่อยๆ ดีไหม?”
พอเห็นว่าซานเอ๋อร์จะพุ่งเข้าไปแย่งลูกสาวของตนเองคืน…ดูเหมือนจางคุนก็รอให้ซานเอ๋อร์ทำแบบนั้นอยู่ แต่ในเวลานี้เองโต๊ะหน้าประตูร้านเต้าหู้ก็มีเสียงเคาะดังขึ้นมา
มีคนกำลังเคาะอยู่ที่นั่นและพูดว่า “ที่นี่ยังขายของอยู่ไหม?”
ตรงหน้าประตูมีผู้ชายสีหน้าเหมือนหมดอาลัยตายอยากยืนอยู่คนหนึ่ง สูงกว่าจางคุนหนึ่งช่วงหัว…เป็นผู้ชายต่างชาติ