สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด – บทที่ 46 ตำนานในหมู่คน
ไม่เพียงแต่มีห้องฝึกพิเศษแต่ยังมีห้องพักผ่อนแยกเป็นส่วนตัว เขาเป็นเพียงคนใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญายังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่เฉิงอี้หรานกลับได้รับการปฏิบัติแบบดาราจริงๆ ทั้งยังไม่ใช่การปฏิบัติแบบดาราเล็กๆ อีกด้วย
ได้ยินว่าผู้อำนวยการของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด…เฉิงอวิ๋นพึงพอใจเฉิงอี้หรานมาก
ภายในห้องพักผ่อน เฉิงอี้หรานที่เพิ่งฝึกอบรมร้องเพลงเสร็จกำลังนั่งอยู่บนโซฟา เขารู้สึกว่าคอแทบจะฉีกขาด…ที่นี่เป็นห้องพักผ่อนของบริษัท แต่ถึงจะอาศัยอยู่ที่นี่เลยก็ไม่มีปัญหา
เพราะที่นี่มีครบทุกอย่าง
เวลานี้เองหลี่จื่อเฟิงก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา ในมือยังถือกล่องสีดำมาด้วยอันหนึ่ง เฉิงอี้หรานคุ้นเคยกับกล่องบรรจุแบบนี้มาก นี่เป็นกล่องที่ใช้บรรจุกีตาร์
เมื่อหลี่จื่อเฟิงวางของแล้วนั่งลง ก็ยิ้มและเอ่ยว่า “หลายวันมานี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ยังพอได้ เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น” เฉิงอี้หรานนวดขมับและพูดออกมา
“อืม ลำบากหน่อยนะ รอกำหนดการโชว์แรกของคุณออกมาแล้ว คุณยังต้องยุ่งขึ้นอีก” หลี่จื่อเฟิงเปิดกล่องออกมาและพูดว่า “มา ผมมีอะไรดีๆ ให้ คุณลองมาดูสิ”
เฉิงอี้หรานชะงัก แต่ก็ยังยื่นมือออกไปรับกีตาร์จากมือของหลี่จื่อเฟิง ในฐานะชาวร็อค ในตอนที่กีตาร์ตัวนี้เข้ามาสู่มือของเขานั้น เขาก็รู้สึกตกหลุมรักในทันที
เฉิงอี้หรานพูดอย่างตกตะลึงว่า “นี่คือ… Zemaitis ทั้งยังเป็นรุ่นที่หยุดผลิตไปแล้วด้วย?”
“ไม่ผิด” หลี่จื่อเฟิงหัวเราะและเอ่ยว่า “คุณวางใจได้ นี่ไม่ใช่ของลอกเลียนแบบแน่นอน มันเป็นมือสอง แต่ก็เป็นของจริงในราคาดี! ผมบังเอิญได้มันมาเมื่อครั้งที่ผมไปยุโรป คุณเก็บเอาไว้เถอะ ตัวเก่าของคุณ ถึงเสียงจะ…อืม เสียงใช้ได้ แต่อิงตามความสามารถของคุณแล้วก็ต้องใช้เครื่องดนตรีที่ดีที่สุด”
ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็ส่ายหน้า ส่ง Zemaitis คืนให้หลี่จื่อเฟิง “นี่มีค่าเกินไป แล้วยังเป็นของสะสม ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”
“คุณกับผมต้องเกรงใจอะไรอีก?” หลี่จื่อเฟิงพูดอย่างเป็นมิตรว่า “ถ้าอยู่ในมือของผมมันจะเป็นเพียงของสวยงามที่ไม่นานก็ขึ้นรา แต่ถ้าอยู่ในมือของคุณกลับไม่เหมือนกัน! หากมันอยู่ในมือของคุณถึงจะทำให้มันมีค่ามากที่สุด! อีกอย่าง ไม่ช้าก็เร็วคุณต้องขึ้นเวทีใหญ่ ถ้าใช้กีตาร์ธรรมดาๆ อาจทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ ผู้คนอาจจะพูดกันว่าบริษัทเฟยอวิ๋นไม่มีปัญญาซื้อเครื่องดนตรีดีๆ!”
“ตัวนั้นของผมก็พอแล้วครับ” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า “หากเปลี่ยนแล้วผมจะไม่ถนัด”
หลี่จื่อเฟิงชะงัก แต่ก็ไม่ได้บีบบังคับจนเกินไป เขายิ้มและเอ่ยว่า “อืม ผมดูคุณแล้วคงเป็นพวกคนประเภทรักยาวนานสินะ? แต่ไม่เป็นไร ถึงคุณไม่ใช้ก็เก็บเอาไว้ก่อน อีกอย่างชาวร็อคคนไหนบ้างไม่มีกีตาร์หลายตัว? คุณเก็บเอาไว้สำรองก็ได้!”
“งั้นก็…ตกลงครับ”
เฉิงอี้หรานทำได้เพียงพยักหน้า เขาชอบผลิตภัณฑ์อันนี้ของ Zemaitis มาก!
“ใช่แล้ว วันนี้มีคนชื่อหงก้วนมาหาคุณด้วย” ทันใดนั้นหลีจื่อเฟิงก็พูดขึ้นมา
“หงก้วน?” เฉิงอี้หรานชะงัก เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงถามว่า “ทำไมคุณถึงเพิ่งมาบอกผม?”
แต่หลี่จื่อเฟิงกลับเอ่ยว่า “ผมกลัวคุณจะไขว้เขว อีกอย่าง…ช่างเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว คุณพักแล้ว มีเวลาก็คุยกับเขาเถอะ”
“คุณมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนหลี่จื่อเฟิงกำลังปิดบังอะไรสักอย่าง
“ไม่มีอะไรจริงๆ อย่าคิดมากเลย” หลี่จื่อเฟิงส่ายหน้า
แต่เฉิงอี้หรานกลับรู้สึกรำคาญขึ้นมา ดวงตาหดตัวลงจ้องมองหลี่จื่อเฟิงเหมือนเค้นถาม “ทางที่ดีคุณบอกผมมาตรงๆ ดีกว่าครับ”
“เอาล่ะ” หลี่จื่อเฟิงถอนหายใจและเอ่ยว่า “เมื่อกี้คุณหงมาหาผม บอกว่าอยู่วงเดียวกับคุณและก็เป็นเพื่อนสนิทของคุณ”
“จากนั้นล่ะครับ?” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้วขึ้น
หลี่จื่อเฟิงถอนหายใจอีกครั้ง “ถึงยังไงก็พูดคุยกันแค่แป๊บเดียวเดียว สุดท้าย…สุดท้ายผมก็ตกลงยอมให้เขาร้องเพลงสองสามท่อน แต่พูดความจริง อี้หราน เพื่อนของคุณธรรมดามาก แต่ถ้าเขาอยากเติบโตในวงการจริงๆ เห็นแก่หน้าคุณผมก็พิจารณาให้ได้ แต่พูดตามจริง บริษัทจะไม่ลงทุนกับเขามาก หากเป็นเพียงแค่ศิลปินเล็กๆ ก็พอทำได้”
“เขามาขอโอกาสจากคุณจริงๆ เหรอครับ?” เฉิงอี้หรานขมวดคิ้ว “เขาไม่ใช่คนอย่างนั้นนี่!”
“เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้” หลี่จื่อเฟิงยักไหล่และพูดว่า “แต่ผมดูจากท่าทางแล้ว น่าจะมีปัญหาด้านการเงิน? ดูท่าทางเหนื่อยๆ”
“หงก้วน…ภรรยาของเขาจะคลอดแล้ว” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้พวกเราไม่ค่อยมีเงินจริงๆ”
“มิน่าล่ะ” หลี่จื่อเฟิงพยักหน้า พูดอย่างเข้าใจว่า “เห็นคุณมีโอกาสจึงมาหาคุณเพื่อขอให้ช่วยก็เป็นความคิดปกติ อีกอย่างภรรยาก็ใกล้คลอดแล้ว ต้องการเงินก็เป็นเรื่องปกติ!”
“เขาไม่ใช่คนแบบนั้น!” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็พูดอย่างอารมณ์ขึ้น
“อย่าโมโหสิ ถือว่าผมพูดผิดไปก็ได้”
หลี่จื่อเฟิงรีบพูดต่อว่า “แต่โบราณพูดเอาไว้ว่า เงินเสี้ยวเดียวก็ขวางเส้นทางผู้กล้าได้* ใช่ไหม? อีกอย่างถ้าลำบากจริงๆ แล้วจะไม่หาโอกาสเลยงั้นเหรอ? คุณเองก็เคยผ่านความจนมาก่อน จะไม่รู้เลยงั้นหรือไง? คนเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เหมือนคุณที่มีชื่อเสียงขึ้นมา หรือพี่น้องของคุณจะไม่คิดอะไรเลยจริงๆ?”
เฉิงอี้หรานนิ่งเงียบลง…เขาจำต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่หลี่จื่อเฟิงพูด เช่นในครั้งนั้นที่เขาต้องยอมเล่นในนามวงของคนอื่นเพียงเพื่อของานในไนต์คลับ
“เอาเถอะครับ”
หลี่จื่อเฟิงเห็นเฉิงอี้หรานไม่พูดจาจึงเสนอว่า “ผมยังมีคนสนิทอยู่ในสถานีโทรทัศน์ สามารถจัดการให้พี่น้องของคุณได้…ให้ขึ้นแสดงชั่วครั้งชั่วคราวก็ไม่น่ามีปัญหา ต่อไปอาจจะได้เปิดตัว แต่ถ้าคุณอยากให้เขาเป็นดาวรุ่งแบบคุณคงไม่มีทาง ถึงคุณอยากร่วมวงกับเขาแล้วออกแสดงพร้อมกันก็ไม่มีวิธี! เพราะบริษัทจะไม่ให้ทำแบบนั้นแน่ ถ้าคุณหงออกแสดงพร้อมคุณก็มีแต่จะลากคุณลง บริษัทต้องไม่ยอมแน่…คุณว่าเป็นยังไง?”
“ผมขอคิดดูก่อน…” เฉิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ผมอยากพักสักหน่อย”
“ได้ ไม่มีปัญหา คุณพักก่อนเถอะ” หลี่จื่อเฟิงพยักหน้า “ตอนค่ำผมจะมาหาคุณอีก ค่ำนี้คุณต้องไปทานข้าวกับผู้อำนวยการ ได้ยินว่าท่านประธานก็อยากพบคุณ”
“ท่านประธาน?” เฉิงอี้หรานชะงัก…ตามที่เขารู้บริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดมีผู้อำนวยการเฉิงเป็นผู้ถืออำนาจการตัดสินใจทั้งหมด แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นเหล่าผู้บริหารที่แท้จริง
หลี่จื่อเฟิงหัวเราะพูดว่า “ใช่แล้ว! ผมก็ยังไม่เคยทานข้าวกับท่านประธานมาก่อน ครั้งนี้ต้องพึ่งคุณแล้ว! เพราะงั้นพักผ่อนให้ดี เย็นนี้ทำตัวดีๆ ให้ท่านประธานพอใจ คุณอย่าลืมล่ะ!”
เขาตบไหล่ของเฉิงอี้หรานเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
…
เขาเล่นกับกีตาร์ไฟฟ้า Zemaitis ที่หลี่จื่อเฟิงมอบให้ เฉิงอี้หรานนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและลังเลเล็กน้อย ก่อนเปิดไปที่รายชื่อแรกในโทรศัพท์ ‘หงก้วน’
“ฮัลโหล อี้หราน! นายมาหาฉันเหรอ!”
ยังเป็นเสียงที่คุ้นเคย…แต่ไม่รู้เพราะอะไรเฉิงอี้หรานถึงรู้สึกเหมือนมีแผ่นใสขวางกั้นอยู่ตรงหน้าของตนเอง
เทียบกับความกระตือรือร้นของหงก้วนแล้ว เขาดูเย็นชามาก “อืม ฉันได้ยินว่านายมาหาฉัน…มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ ไม่มี!”
หงก้วนหัวเราะและพูดว่า “ฉันไม่เห็นหน้านายเลย แล้วยังติดต่อไม่ได้อีกก็เลยเป็นห่วง พอไปบ้านนาย เจ้าของห้องก็บอกว่านายย้ายออกไปแล้ว บังเอิญเห็นนายอยู่บนนิตยสารก็เลยเข้าใจ ฉันกลัวว่านายจะถูกหลอกถึงอยากไปดูให้แน่ใจ ตอนนี้ดีแล้ว! นั่นเป็นบริษัทใหญ่น่าจะไม่มีปัญหา! นายตั้งใจทำเถอะ!”
แต่เสียงจากทางหงก้วนนั้นค่อนข้างดังมากจนเฉิงอี้หรานอดขมวดคิ้วไม่ได้ “หงก้วน นายอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงเสียงดังขนาดนี้?”
“อ๋อ เสียงในโรงซ่อมรถดังไปหน่อย นายรอฉันแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวฉันเดินออกไปคุยกับนาย” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หงก้วนถึงได้พูดต่อว่า “เป็นไง ได้หรือยัง?”
“นาย…ทำไมนายถึงไปอยู่โรงซ่อมรถ?”
“อ๋อ พอดีที่นี่รับคนงานและสวัสดิการก็ดี อีกอย่างก่อนที่ฉันจะอยู่กับนายก็เรียนซ่อมรถมา…ถึงยังไงก็ทำๆ ไปก่อน!”
เฉิงอี้หรานนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อกี้ฉันได้ยินว่านายมาร้องเพลงที่นี่เพลงหนึ่ง…ใช่ไหม?”
“อ๋อ ใช่ ใช่แล้ว”
หงก้วนถามตรงๆ ว่า “เป็นยังไง? มีข่าวคราวอะไรหรือเปล่า? ตอนนั้นฉันกลัวมากและก็ไม่รู้ว่าจะแสดงได้ดีไหม…นายจะหัวเราะก็ได้นะ ตอนแรกฉันก็ไม่คิดจะทำ แต่คิดไม่ถึงว่าโอกาสดันมาอยู่ตรงหน้า ฉันก็เลยต้องใจกล้าทำมันไปซะ!”
แต่เฉิงอี้หรานกลับไม่พูดอะไรต่อ และดูเหมือนหงก้วนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงฝืนหัวเราะและพูดว่า “แต่ก็ไม่เป็นไร ฉันรู้เรื่องของตัวเองดี นาย…นายไม่ต้องพูดอะไรแทนฉันนะ คุณหลี่คนนั้นคงไม่ได้ทำให้นายลำบากใจใช่ไหม?”
“ไม่…จริงสิหงก้วน ฉันต้องไปเรียนแล้ว” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็พูดขึ้น “ไว้ค่อยคุยกันใหม่ ดีไหม?”
“ได้ ได้ นายไปทำเรื่องของนายเถอะ!” หงก้วนรีบเอ่ยว่า “ยินดีกับนายด้วย ในที่สุดก็มีโอกาสได้ทำความฝันของตัวเองให้สำ…”
แต่สายโทรศัพท์ตัดไปแล้ว
หงก้วนส่ายหน้า หัวเราะด้วยท่าทางที่ดูซับซ้อน เก็บโทรศัพท์…ช่างในโรงซ่อมรถร้องเรียกเขาแล้ว
…
‘เงินเสี้ยวเดียวก็ขวางเส้นทางผู้กล้าได้’
เฉิงอี้หรานคิดถึงคำพูดของหลี่จื่อเฟิงที่บอกว่าคนสามารถเปลี่ยนได้
ทำได้เพียงร่วมยากลำบากด้วยกันใช่ไหม…เพียงแค่ตัวเองทำได้ดีกว่าก็แอบมาหาเพื่อขอโอกาสแล้วงั้นหรือ? ลืมคำพูดที่ว่าอยากล้มวงเมื่อครั้งนั้นไปแล้วงั้นหรือ?
เฉิงอี้หรานคิดถึงเรื่องราวมากมาย
แต่ก็พบว่า…ช่วงนี้เขาไม่ได้คิดถึงหงก้วนเลย เอาแต่ยุ่งอยู่กับการฝึกและก็ตื่นเต้นอยู่ตลอด
เขายังไม่อยากเชื่อว่าหงก้วนจะคิดอาศัยตนเอง…น่าจะไม่
“เป็นอะไร? ไม่สบายงั้นเหรอ?” หลี่จื่อเฟิงมองเขาแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
พวกเขาอยู่บนรถกำลังเดินทางไปทานอาหารค่ำกับผู้อำนวยการเฉิง
“เอ่อ…ไม่มีอะไรครับ แค่ฝึกหนักไปหน่อยเลยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย พักผ่อนไม่นานก็หาย ไม่ส่งผลกระทบหรอกครับ”
เฉิงอี้หรานส่ายหน้าจากนั้นก็มองหลี่จื่อเฟิงและพูดขึ้นในทันใดว่า “จริงสิ คุณพูดถึงเรื่อง…สถานีโทรทัศน์ ไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่ไหมครับ?”
“ไม่มีปัญหา!”
หลี่จื่อเฟิงตบหน้าอกและพูดว่า “ผมกับคนในสถานีโทรทัศน์ค่อนข้างสนิทกัน ไม่มีอะไรเป็นปัญหา ต่อไปต้องไปมาหาสู่ให้ดี เพื่อสร้างความสัมพันธ์ ทำสิ่งที่ดูเป็นทางการหน่อยก็ดีกว่าไปร้องเล่นบนถนน ใช่ไหมล่ะ!”
“เรื่องนี้ต้องรบกวนคุณแล้ว” เฉิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ขอบคุณ”
“พูดอะไรกัน!”
หลี่จื่อเฟิงทำเป็นโมโหแล้วพูดว่า “พวกเราเป็นใคร? คุณเป็นคนที่ผมหามาเองกับมือ ผมจะไม่ช่วยคุณได้ยังไง? ขอเพียงคุณไปได้ดี ผมก็จะดีตาม ผมต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบสนองคุณอยู่แล้ว! ตอนนี้คุณอยู่ในช่วงสำคัญ ผมปล่อยให้คุณไขว้เขวได้ที่ไหน ใช่ไหมล่ะ? เรื่องของหงก้วนนั้นผมรับเอาไว้แล้ว คุณวางใจได้เลย! ช่วงนี้คุณเก็บตัวตั้งใจฝึกฝนก็พอ เรื่องอื่นไม่ต้องกังวลใจ ผมจะอยู่คอยสนับสนุนคุณยี่สิบสี่ชั่วโมง!”
เฉิงอี้หรานไม่พูดอะไร เพียงแค่ตบบ่าของหลี่จื่อเฟิงเบาๆ จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน รู้สึกว่าหลี่จื่อเฟิงคนนี้เหมือนเป็นขุนนางของตัวเองก็มิปาน
…
…
บนถนนของเมืองอันคึกคัก แสงไฟเริ่มเปิดสว่าง โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าใหญ่ภายในเมืองยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ
นี่เป็นเวลาทำมาค้าขายที่ดีที่สุดของบรรดาคนหาบเร่
มีบางคนขายนาฬิกาข้อมือยี่สิบหยวน มีบางคนขายของเล่นสิบหยวน มีบางคนรับสลักตัวอักษร บางคนรับติดฟิล์มและก็มีคนขายเสียงเพลง
“เพียงเพราะพบเจอคุณในกลุ่มคนเพียงแวบเดียว ก็ไม่อาจลืมใบหน้าคุณได้อีกเลย บางครั้งยังหลับฝันไปว่า คงมีสักวัน…”
หงก้วนกำลังดีดกีตาร์และร้องเพลงเบาๆ
เขาเลิกงานแล้วรีบมาที่นี่เพียงแค่เสียบเครื่องเสียงเล็กๆ เครื่องหนึ่ง เขายังไม่ทันได้กินข้าวก็ร้องไปถึงเพลงที่สามแล้ว ตรงหน้าของเขาเป็นแผงขายพวกอุปกรณ์ชาร์จโทรศัพท์มือถือ
“ยอมใช้ทั้งชีวิตรอให้คุณค้นพบ…”
จะมีเงินเล็กๆ น้อยๆ เป็นรางวัลบ้าง
บางครั้งก็ขายที่ชาร์จโทรศัพท์ถูกๆ ได้อันสองอัน
แต่ถึงอย่างไรก็เพิ่มมาหลายสิบหยวน เมื่อสะสมแล้วก็ไม่น้อยเลย
เท่านี้ก็ซื้อของบำรุงให้ภรรยาได้แล้ว
ถึงจะพูดว่าได้ละทิ้งความฝันไปแล้ว แต่การใช้ชีวิตก็ไม่ง่าย ภรรยาใกล้คลอด อะไรที่สามารถหาเงินได้เขาก็จะไม่ยอมละทิ้ง ถ้าหากมีงานโชว์ตอนกลางคืนเชิญเขาไปเล่นดนตรีเขาก็จะไป…เพียงแต่จะไม่ทำตามความฝันนั้นอีกแล้ว
“เรื่องราวความรักในชาตินี้จะไม่เปลี่ยนแปลง…ฉันจะอยู่ข้างกายคุณตลอดเวลาไม่จากไปไหนไกล…”
ทันใดนั้นก็มีคนปรบมือเบาๆ ตรงหน้าของหงก้วน จากนั้นก็เดินเข้ามาวางธนบัตรใบหนึ่งลงบนกล่องกีตาร์ของเขา
ใบหนึ่งร้อยหยวน…เป็นธนบัตรใบใหญ่เพียงใบเดียวในกล่อง ใบอื่นๆ ล้วนแต่เป็นใบหนึ่งหยวนหรือห้าหยวน
“ขอบคุณครับ ขอบคุณ!” หงก้วนกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจให้แก่คนหนุ่มที่ใจกว้างคนนั้น
“ไม่ต้องเกรงใจ” คนหนุ่มคนนั้นยิ้มและพูดชมว่า “เพราะมากจริงๆ ครับ”
หงก้วนชะงัก จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยว่า “ชมเกินไปแล้วครับ ระดับแบบผมทำได้แค่ขายเสียงร้องบนถนนเท่านั้น”
“ไม่ใช่เรื่องร้องเพลง” คนหนุ่มคนนั้นหัวเราะ “เป็นอย่างอื่น…พรุ่งนี้คุณจะมาที่นี่อีกไหมครับ?”
“ครับ?” หงก้วนชะงักอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ปิดบัง “ต้องดูก่อน หากมีเวลาว่างก็จะมา หากไม่มีเวลาก็คงไม่ได้มา”
คนหนุ่มคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ หายเข้าไปในกลุ่มคน
หงก้วนมองดูธนบัตรใหม่ใบนั้นแล้วพึมพำว่า “แปลกคน”
…
…
“นี่คือเพลงอะไรคะ?”
คุณหนูสาวใช้ที่ถือน้ำชามาหยุดลงนิ่งฟังเพลงที่เจ้านายเปิดบนเครื่องเล่นแผ่นเสียง…เป็นเสียงผู้หญิงอันอ่อนช้อย
“ตำนาน** เป็นเพลงที่เคยโด่งดังเมื่อหลายปีก่อน…” ลั่วชิวพูดเบาๆ “จริงสิ…รสชาติแตกต่างจริงๆ…โยวเย่ พรุ่งนี้เวลานี้พวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ”
คุณหนูสาวใช้ตอบตกลงทันที
*เงินเสี้ยวเดียวก็ขวางเส้นทางผู้กล้าได้ สำนวนหมายถึง ไม่มีเงินนั้นทำอะไรก็ยากลำบาก
**ตำนาน เพลง传奇ของหลี่เจี้ยน (Li Jian)