บทที่ 237 คุณย่ามาหา
บทที่ 237 คุณย่ามาหา
แม้ว่าซูเสี่ยวเถียนจะไปเพียงแค่สามวัน แต่สำหรับคุณย่าซูรู้สึกเหมือนเวลาสามปี
ความจริงแล้ว คุณย่าซูไม่เพียงแต่คิดถึงหลานสาวสุดที่รักเท่านั้น
ปกติเดิมทีที่บ้านจะเต็มไปด้วยความครึกครื้น แต่ตอนนี้เหลือกันแค่คนชราสองคน จะรู้สึกเหงาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
คุณย่าซูคิดถึงหลานสาว แต่เธอเองก็คิดถึงหลานชายเหมือนกัน ช่วงนี้คิดถึงพวกเขาไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าเด็ก ๆ ใช้ชีวิตอยู่ที่อำเภอจะสบายดีกันไหม
เหลียงซิ่วคงเข้าใจถึงความรู้สึกสูญเสียของพ่อแม่
เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด ยิ้มแล้วรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับมือแม่สามีไว้
“แม่ ฉันรู้ว่าแม่เป็นห่วงเด็ก ๆ แต่วางใจเถอะค่ะ พวกเขายังมีฉัน มีหม่านซิ่วแล้วก็พี่สะใภ้รอง พวกเราจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี”
“ฉันกับพี่สามกลัวแม่เป็นห่วงเลยจะมาบอกกล่าวสักหน่อย จะได้สบายใจกัน!”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง มันคุ้มหรือไม่เนี่ยที่มาหาเพียงเรื่องแค่นี้?” คุณย่าซูพูดอย่างกระเง้ากระงอด “ฉันไม่ได้คิดถึงพวกเด็กอยู่แล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าพวกเขาทำให้ฉันโกรธ!”
“ใช่ค่ะ ๆ แม่ไม่ได้คิดถึงพวกเขาเลย ฉันแค่คิดมากไปเองสินะ?” เหลียงซิ่วกล่าวเคล้ารอยยิ้ม
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของลูกสะใภ้ สีหน้าของคุณย่าซูก็ดีขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว
แม่สามีกับลูกสะใภ้ยังคุยกันได้อยู่
“สะใภ้สาม บอกฉันมาซิว่ากลับมาทำไมกัน? ฉันกับพ่ออยู่บ้านก็สบายดี พวกเธอมาแบบนี้พวกเด็ก ๆ จะทำยังไงล่ะ?” แม้คุณย่าซูจะพูดด้วยท่าทีเฉยเมย หากแต่ก็ยังเป็นห่วง
เด็ก ๆ ไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาก่อน พวกเขาจะวางใจได้อย่างไรกัน?
“ที่บ้านมีสะใภ้รองกับหม่านซิ่วอยู่ค่ะ พวกเขาไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เหลียงซิ่วอธิบายอย่างรวดเร็ว
ถ้าไม่ใช่เพราะมีผู้ใหญ่อยู่ดูแลเด็ก ๆ อยู่ พวกเขาก็วางใจไม่ลง
คุณย่าซูรู้สึกสบายใจขึ้นมาระดับหนึ่ง หากแต่เธอก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
เด็ก ๆ อายุน้อยกันขนาดนั้น ไปเรียนที่อำเภอจะให้วางใจได้อย่างไร?
คุณย่าซูต้อนรับลูกชายกับสะใภ้ให้เข้ามาในบ้าน แล้วลงมือทำอาหารให้
ระหว่างกินข้าว คุณย่าซูก็เอ่ยถามขึ้น “บ้านก็มีพื้นที่อยู่แค่นั้น ให้พวกเด็ก ๆ ไปอยู่แบบนั้นจะอยู่กันพอหรือ?”
ได้ยินมาว่าโรงเรียนในอำเภอสามารถกินนอนที่นั่นได้ แต่มันก็แตกต่างจากการพักที่บ้าน
บ้านเหล่าซานมีขนาดเล็ก เด็ก ๆ เยอะขนาดนั้นอยู่กันไม่ได้แน่ ๆ
“ที่กลับมาวันนี้ก็เพื่อปรึกษาเรื่องนี้นั่นแหละค่ะ” เหลียงซิ่วเหลือบมองสามี “สองวันนี้เสี่ยวเฉ่ากับเสี่ยวเหมยอยู่ด้วยกัน เด็ก ๆ แยกกันอยู่ที่บ้านฉันกับบ้านหม่านซิ่วค่ะ”
เหล่าซานไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะรู้ว่าภรรยาพูดเก่ง งั้นก็ให้เธอพูดเองจะดีกว่า
“ปรึกษาอะไรหรือ? สะใภ้สาม ทำไมไม่ให้เสี่ยวอู่ เสี่ยวปา และเสี่ยวเถียนอยู่บ้านล่ะ เด็กคนอื่น ๆ ก็พักที่โรงเรียนไป?”
คุณย่าซูกลัวว่าถ้าพวกเขาจะคิดแบบนี้จริง ๆ ในอนาคตบอกของเราอาจจะเกิดความแตกแยกขึ้นมาได้
ถึงจะแยกครอบครัวแล้ว แต่ที่จริงมันก็ไม่ได้ต่างจากอยู่ด้วยกันนัก
ในใจสามีภรรยาชราไม่อยากให้ลูก ๆ กลายเป็นศัตรูกัน
แต่สถานการณ์มันกลายเป็นแบบนี้
ให้ลูกทั้งสามคนของพวกเขาอยู่บ้าน มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
“แบบนั้นไม่ได้หรอกแม่ ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ!” เหลียงซิ่วรีบอธิบาย
คุณย่าซูพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“จะให้อยู่บ้านหม่านซิ่วไปตลอดก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” หญิงชราเอ่ยอีกครั้ง “ยังไงก็เป็นบ้านญาติอยู่ดี!”
“แม่เขาจะบอกว่าถึงบ้านหม่านซิ่วจะกว้างขวาง แต่ไม่มีเหตุผลที่เด็ก ๆ จะไปอยู่บ้านอาเลย ถ้าสามีเขาไม่ชอบ เรื่องนี้เราต้องรู้ไว้!” คุณปู่ซูพูดแล้วเคาะกล้องยาสูบทิ้ง
“ใครว่าไม่รู้ล่ะครับ!” เหล่าซานก็ถอนหายใจ
รบกวนวันสองวันก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าร่วมเดือน เขาคงจะหน้าด้านเกินไปแล้วล่ะ
“แม่คะ หม่านซิ่วบอกว่าคนข้างบ้านจะไปอยู่เมืองหลวง บ้านเลยว่างให้เช่า เราเลยคุยเรื่องจะเช่าบ้านกันค่ะ” ตอนเหลียงซิ่วพูด และลอบมองพ่อแม่อย่างระมัดระวัง
เมื่อคุณย่าซูได้ยินสิ่งที่ลูกสะใภ้พูด สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นมาก
อย่างน้อยทั้งคู่ก็ไม่คิดจะทิ้งลูกคนอื่นไว้ตามลำพัง
ข้างบ้านหม่านซิ่วสามารถเช่าได้ พวกเด็ก ๆ ก็จะได้พักอยู่ที่นั่นด้วย
“ราคาเท่าไรล่ะ?”
คุณย่าซูรู้ดีว่าค่าเช่าบ้านในเมืองมีราคาสูง
“อีกฝ่ายขอไว้เยอะมากเลยค่ะ ฉันกับพี่สามจ่ายไม่ไหว เลยมาเพื่อขอคำปรึกษาค่ะ” เหลียงซิ่วเอ่ยอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวจะทำให้คนทั้งคู่ตกใจ
เธอรู้สึกละอายใจและก็ตื่นตระหนกมาก ทำงานในเมืองมาตั้งนาน เงินเท่านี้กลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลยต้องถ่อหน้ากลับมาหาพ่อแม่ถึงบ้าน!
“ราคาเท่าไรกันล่ะ?” คุณย่าซูเอ่ยอย่างใจเย็น
“มันแพงมากเลยค่ะ ธัญพืชยี่สิบจินบวกกับเงินสิบหยวนต่อเดือนค่ะ”
ถ้าก่อนหน้าไม่เคยคิดเลขมาก่อนก็คงไม่รู้ แต่พอได้คิดอย่างระมัดระวังแล้วมันน่ากลัวมาก
ธัญพืชยี่สิบจินบวกกับเงินสิบหยวนต่อเดือน หนึ่งปีก็จะเป็นธัญพืชสองร้อยสี่สิบจิน กับเงินหนึ่งร้อยยี่สิบหยวน
ชีวิตบ้านเราไม่ได้ดีขนาดนั้น
และถ้าไม่ได้ทำงานที่โรงงาน ปีนึงก็คงได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบหยวนหรอก
คุณย่าซูนึกถึงลานบ้านที่อยู่ข้างบ้านหม่านซิ่ว
เธอรักหลานชายและหลานสาวมาก และปรารถนาจะให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
“คุณแม่ ฉันรู้ว่าราคามันแพงมาก แต่เราไม่ต้องเช่านานก็ได้ค่ะ ปีนึงหรือสองปีก็พอแล้ว” เหลียงซิ่วหาพยายามเกลี้ยกล่อมหาแนวร่วมจากแม่สามี
“พวกโส่วเวินเรียนมัธยมปลายปีที่สอง อีกปีเดียวก็เรียนจบแล้ว ส่วนเสี่ยวอู่กับเสี่ยวซื่ออีกสองปี พอพวกเขาจบไปก็จะเหลือไม่กี่คนเท่านั้น พักอยู่บ้านก็ได้!” เหลียงซิ่วแสดงความคิดเห็นออกมา
“อีกอย่างบ้านก็กว้างด้วยค่ะ พ่อแม่ไปเยี่ยมเด็ก ๆ ก็ยังได้ด้วยนะ?”
เหลียงซิ่วครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน แม้มันจะมีราคาสูง แต่ถ้าต่อรองได้ราคามันอาจจะถูกลงก็ได้นะ!
“อย่างที่ว่านั่นแหละ อยู่บ้านหากินง่าย ถ้าไปโรงเรียนเด็ก ๆ จะไม่ชินเอา!”
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยกินข้าวหม้อใหญ่ ถึงจะมีอาหาร แต่มันก็ไม่มีความอร่อย!
“ข้างบ้านซิ่วเอ๋อร์หรือ? ฉันจำได้ว่าเคยเข้าไปอยู่นะ ใหญ่กว่าบ้านเธอเยอะเลย”
ข้างบ้านหม่านซิ่ว ในความทรงจำคุณย่าซูมันเป็นสถานที่ที่ดีเลย
จะขอเงินกับตั๋วเพิ่มก็พอเข้าใจ
เหลียงซิ่วพยักหน้า
“ราคานี้ค่อนข้างแพงนะ ก่อนหน้านี้เวลาซื้อบ้านในเมืองยังจ่ายไม่ถึงร้อยหยวนเลยด้วยซ้ำ!” คุณปู่ซูส่ายหัว
คำพูดนี้ทำให้คุณย่าซูฉุกคิดขึ้นได้
“พวกลูกไม่ปรึกษากันสักหน่อยล่ะ ว่าบ้านเราจะซื้อบ้านเขาเลยดีไหม?”
ยามแม่สามีพูดเช่นนี้ เหลียงซิ่วก็พลันตกตะลึง
พวกเขาแค่อยากเช่า แต่ทำไมแม่ถึงบอกให้ซื้อมันเลยล่ะ?
ฐานะทางบ้านเราตอนนี้แท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่ ถึงขนาดซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นได้จริง ๆ ขึ้นมา?
“อะไรกัน? กำลังคิดว่าครอบครัวเราซื้อไม่ได้หรือ?” คุณย่าซูยิ้ม
สองสามีภรรยาไม่พูดอะไรออกมา แต่ในใจกลับคิดเหมือนกันว่า บ้านเราไม่ได้ยากจนหรือ?
“แม่คะ แค่ค่าเช่ายังแพงเลย ถ้าซื้อจะไม่แพงกว่านี้อีกหรือ!”
“น่าจะต่อรองได้นะ”
สรุปแล้ว คุณย่าซูก็เข้าอำเภอพร้อมกับลูกชายและลูกสะใภ้ภายในวันนั้นเลยทันที
ระหว่างทาง เหล่าซานกำลังสงสัยว่าแม่จะไปซื้อบ้านหรือไปหาเสี่ยวเถียนกันแน่
คุณย่าซูถือถุงผ้าใบเล็ก หน้าตาของเธอสงบนิ่ง
“แม่ครับ บ้านเรามีเงินมีตั๋วธัญพืชหรือครับ?” เหล่าซานลังเล
ไม่ใช่ว่าเคยพูดไว้ตอนนั้นหรือ ตอนที่พวกเขาซื้อบ้านและแม่บอกว่าเงินที่บ้านเอาไปใช่หมดแล้วน่ะ? อีกอย่าง ครอบครัวทั้งสามพี่น้องก็ทำงานหาเงินใช้เอง ให้พ่อแม่ใช้มากสุดก็รวมเดือนละสิบยี่สิบหยวน
“เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจหรอก!” คุณย่าซูพูด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกเด็ก ๆ ตื่นขึ้น หม่านซิ่วก็เรียกให้มากินข้าวเช้า
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ เพิ่งจะถือถ้วยข้าวต้มขึ้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เฉินจื่ออันเอ่ยถามอย่างสงสัย “เช้าขนาดนี้ ใครมากันน่ะ?”
“น่าจะพวกพี่สามมาหรือเปล่าคะ?” หม่านซิ่วว่าแล้วเดินไปเปิดประตู
เฉินซิ่วหย่วนเดินเตาะแตะตามแม่ไปด้วย
“คุณแม่มาได้ยังไงกันคะ?” หม่านซิ่วเห็นมารดายืนอยู่หน้าที่ประตูก็ตกใจ
คุณย่าซูคลี่ยิ้ม “มาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เห็นว่าดึกแล้วก็เลยไม่ได้มาหา”
คุณย่าซูพูดจบก็ได้ยินเสียงอ้อแอของเด็กน้อยดังขึ้น “แม่ มาได้ยังไงกันคะ?”
ทุกคนผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะก้มมองอย่างฉับไว แล้วก็เห็นเด็กชายตัวน้อยกำลังส่งเสียงจอแจ
คนทั้งในและนอกบ้านหัวเราะลั่นกับเสียงนั้น
คุณย่าซูอุ้มหลานตัวน้อยขึ้น “เจ้าเด็กคนนี้!”
“คุณแม่ มาได้ยังไงกันคะ?” เมื่อเห็นทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กชายก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างร่าเริง
คุณย่าซูยิ้มอย่างมีความสุข แล้วหอมแก้มหลานชายหนึ่งฟอดใหญ่ “ใครมาจ๊ะ?”
“แม่มาแล้ว!” เฉินซิ่วหยวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“แม่ของใครมาเอ่ย?” เหลียงซิ่วอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อหลานชายตัวน้อย
“แม่ของแม่!” เด็กน้อยตอบอย่างเริงร่า
“โห หลานยายฉลาดจริง ๆ รู้จักดีเลยนี่นา”
คุณย่าซูพึงพอใจมาก ก่อนจะชี้ไปที่หม่านซิ่ว “แล้วนี่แม่ใครนะ?”
ซิ่วหย่วนมองก่อนจะตอบ “แม่ของแม่!”
คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม
เสี่ยวเถียนวิ่งไปหาแล้วอธิบายให้น้องเข้าใจ ตอนไม่เข้าใจก็ยังดีอยู่ แต่พอเข้าใจแล้วน้องชายกลับยิ่งสับสน คิดไม่ว่าออกว่าใครเป็นแม่ใครกันแน่!
หลังจากหัวเราะกัน หม่านซิ่วก็เรียกมารดาให้เข้าบ้าน
“แม่คะ พี่สาม พี่สะใภ้สาม อาหารเช้าเสร็จพอดีเลยค่ะ มากินข้าวกันเถอะค่ะ!”
คุณย่าซูโบกปัด “ฉันกินมาแล้ว”
และตอนนั้นเองที่ซูเสี่ยวเถียนทำตัวเป็นเด็ก ๆ ก้าวเท้ารุดขึ้นหน้าแล้วออดอ้อน
คุณย่าซูอุ้มหลานชายด้วยแขนข้างหนึ่ง หลานสาวด้วยแขนข้างหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“พี่สาม พี่สะใภ้สาม ทำไมถึงพาคุณป้ามาได้ล่ะ?” เฉินจื่ออันถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่เห็นบอกกันก่อนเลย”
ซูเหล่าซานจึงอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
“แม่ว่านะ แทนที่เราจะเช่าบ้าน พวกเราซื้อมันเลยดีกว่า!”
ไม่คิดเลยว่าเฉินจื่ออันจะเห็นด้วยกลับเรื่องนี้
“คุณแม่พูดถูก ค่าเช้าบ้านผู้เฒ่าหลิวสูงไปหน่อย ถ้าเราซื้ออาจจะใช้เงินน้อยกว่า”
เหล่าซานมองแม่สลับมองน้องเขย หรือพวกเขาอยากจะซื้อบ้านกันทั้งคู่เลย?
คุณย่าซูจ้องลูกชาย “ทำไมล่ะ? ไม่พอใจกับความคิดฉันหรือ คิดว่าฉันแก่แล้วสมองเลยสับสันใช่ไหม?”
เหล่าซานจะกล้าพูดได้อย่างไร ตนเองคิดแบบนั้นจริง ๆ
เมื่อคืนวาน เหล่าซานนอนขบคิดมาทั้งคืน แต่คิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออกว่าพวกเราจะไปเอาเงินจากที่ไหนมาซื้อบ้าน
ฝั่งคุณย่าซูกินข้าวเช้าแล้ว หม่านซิ่วเลยเร่งเด็ก ๆ ให้รีบกิน พอกินเสร็จจะได้ไปโรงเรียน ส่วนตัวเธอก็รินน้ำให้แม่กับพี่ ๆ