บทที่ 323 ป้าทำเองได้นะ
บทที่ 323 ป้าทำเองได้นะ
เสี่ยวเถียนเคยมาตอนชาติก่อนก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกัน มีแค่เสี่ยวซื่อที่ตื่นเต้นมากจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่ เลยรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับทุก ๆ สิ่ง
แม้จะแสดงออกว่าตนตื่นเต้นไม่กี่ครั้ง แต่ก็โดนคนข้าง ๆ ดูหมิ่นและรังเกียจเสียแล้ว
แต่เขากลับไม่รู้ตัวเลย
โชคดีที่เสี่ยวกังมาเดินเล่นด้วย รวมกับพี่ชายทั้งสามที่เห็นเขาก็เลยเต็มใจที่จะมาเที่ยวเล่นด้วยอย่างเริงร่า
พอเห็นเด็ก ๆ มีความสุข รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี่รุ่ยหยวนก็ล้ำลึกยิ่งขึ้น
เธอพูดด้วยความซาบซึ้ง “ตอนนี้ชีวิตเราดีขึ้นแล้ว หากเป็นเมื่อสองปีก่อนคงไม่กล้านึก”
“ป้าอวี่ มันไม่ใช่แค่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปนะคะ จากนี้ไปพวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้ด้วย”
ไม่ใช่แค่หญิงชราที่คาดหวังเท่านั้น เถาฮวาก็เช่นกัน
เถาฮวาเคยคิดว่าจะต้องสู้อยู่ในดินแดนอันแห้งแล้งไปตลอดชีวิต แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้แต่งงานใหม่และมีโอกาสมาเมืองหลวง
“ฉันได้ยินมาว่า หลายวันมานี้เธอกำลังหางานอยู่หรือ หาได้หรือยังล่ะ?”
อวี่รุ่ยหยวนจำเรื่องนี้ได้
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูเถาฮวาจางลงเล็กน้อย และหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเธอก็ส่ายหน้า
“คนหนุ่มสาวที่มีความรู้เพิ่งกลับมากันเยอะเลยค่ะ คนที่ไม่ได้มีใบปริญญาแบบฉันเลยหางานยากมาก”
การแข่งขันมันมากเกินไป ต่อให้สามีพยายามคิดหาวิธี แต่งานมันมีน้อยกว่าคนก็เลยหายากมาก!
เสี่ยวเถียนบังเอิญได้ยินพลันนึกบางอย่างได้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ป้าเถาฮวา ป้าเคยคิดจะทำเองไหมคะ?”
“ทำเองหรือ? มันง่ายที่ไหนกันล่ะ!” เถาฮวาส่ายหน้า
ได้ยินมาว่าหลายคนเริ่มต้นทำธุรกิจขนาดเล็ก ๆ กันบ้างแล้ว แต่มันไม่ง่ายเลย และเธอไม่ใช่นักธุรกิจที่ฉลาดด้วย อย่าเอาเงินบ้านเรามาผลาญเลย
“ป้าเถาฮวา ถ้าไม่กลัวอายก็เอาเลยค่ะ ไม่ยาก”
ที่ยากคือกลัวหรือเปล่า
เถาฮวายิ้ม “ฉันเป็นสาวชนบทนะ มีอะไรต้องอายอีก เสี่ยวเถียน มีความคิดดี ๆ หรือ บอกให้ป้าฟังได้ไหม?”
เธอสนใจที่จะทำงานหาเงินจริง ๆ
“ป้าเถาฮวาหาร้านเล็ก ๆ สักร้าน แล้วซื้อจักรเย็บผ้า เปิดร้านตัดเย็บ มันน่าจะทำเงินได้กว่าหางานข้างนอกอีกนะคะ ป้าจะมีเวลาและอิสระมากขึ้น ไม่อึดอัดด้วย”
เสี่ยวเถียนแค่พูดเฉย ๆ
เพราะจำได้ว่าในชาติก่อน มีบางคนพึ่งพาจักรเย็บผ้าแค่เครื่องเดียว และในที่สุดก็กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเสื้อผ้าด้วย
ถึงป้าเถาฮวาจะไม่มีความสามารถแบบนี้ แต่ก็ควรลองดู
คำพูดเสี่ยวเถียนเตือนสติผู้เป็นป้า
“ไอ๊หย่า ทำไมป้าคิดไม่ถึงนะ?”
ตอนเธออยู่หงซิน เธอทั้งเหยียบจักร ทั้งตัดผ้า ทำเสื้อได้ด้วยตัวเอง แล้วทำไมไม่คิดจะหันมาเอาดีทางด้านนี้ล่ะ?
ถ้าไม่ได้เสี่ยวเถียนเตือนสติก็คงจะหางานทำความสะอาดในโรงอาหารไปแล้ว และมันคงไม่ดีเท่าอาชีพนี้ด้วย
“ความคิดดีมากเสี่ยวเถียน ทำงานฝีมือพวกเย็บผ้าก็ได้ อาจจะไม่ดีเท่างานโรงงาน แต่อย่างที่หลานว่า ไม่ต้องอึดอัด” อวี่รุ่ยหวนเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เถาฮวาหันไปถามสามี “จื่อเจิน คุณว่าเป็นไปได้ไหม?”
เธอไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว แต่สำหรับจื่อเจินมันไม่เหมือนกัน สามีเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตา
ถ้าเธอเปิดร้านตัดเย็บ เสิ่นจื่อเจินจะโดนคนอื่นหัวเราะเยาะไหม?
ก่อนหน้านี้จื่อเจินต้องคิดแน่นอนว่าการเปิดร้านเย็บผ้ามันไม่คู่ควร
แต่หลังจากที่อยู่หงซินมาหลายปี ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเยอะมาก
จะหน้าตาหรืออะไรในชีวิต มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ตอนนี้เรื่องหางานเขาให้คนช่วยไม่น้อยเลย แต่เถาฮวาไม่มีใบปริญญา มันจึงเป็นเรื่องยาก
ถ้าเปิดร้านด้วยตัวเองก็ดีเหมือนกันนะ
ไม่ต้องทำเงินเยอะก็ได้ แค่อยากให้ภรรยามีอะไรทำ จะได้ไม่ต้องเบื่อเพราะนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ
เขายิ้ม “เสี่ยวเถียนความคิดที่ดีจริง ๆ ทำงานเย็บผ้าอะไรไปก่อน แล้วค่อย ๆ หาลูกค้าประจำ อีกอย่างจะรับตัดเสื้อผ้าสักหน่อยก็ได้นะ”
“แต่ฉันไม่มีความสามารถในเรื่องนี้นะ!” เถาฮวาโบกมือปฏิเสธพอได้ยินว่าจะรับงานตัดเย็บเสื้อผ้า
“ทำไมจะไม่มีความสามารถล่ะ หลายวันก่อนคุณเฉียนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยยังชมเลยว่าเสื้อผ้าที่ผมใส่ดูดีมาก ถามอีกว่าไปสั่งจากที่ไหนมา!” เสิ่นจื่อเจินกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
“จริงหรือ?”
พอมีความเห็นชอบจากสามี เถาฮวารู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้นในทันที
“แน่นอนสิ ผมไปโกหกคุณตอนไหนกัน?” อีกฝ่ายยิ้ม
“พอร้านเถาฮวาเปิด ป้าจะเอาเสื้อผ้าของป้ากับลุงตู้มาให้เธอทำนะ” อวี่รุ่ยหยวนพูดติดตลก
“ดูสิเถาฮวา มีงานมาหาถึงบ้านเลยไม่ใช่หรือ?” เสิ่นจื่อเจินยังคงยิ้ม
เถาฮวากลอกตาใส่ “เพื่อนพ้องสนับสนุนกัน จะนับได้ยังไงล่ะ!”
“ไม่นับได้ยังไง เดี๋ยวป้ากับลุงใส่ให้ พอทุกคนเห็นก็จะได้มาหาเธอไง”
เสี่ยวเถียนได้ยินเช่นนั้นก็คลี่ยิ้ม
พอย้ายมาเมืองหลวง เสิ่นจื่อเจินไม่ได้รังเกียจเถาฮวา แถมฝ่ายหญิงก็มีชีวิตที่มีความสุขดี
“เสี่ยวเถียน ลุงเสิ่นกับแม่พี่เข้ากันได้ดีนะ ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะ” เสี่ยวเหมยเหมือนมองทะลุความคิดของเด็กหญิงได้ เลยบอกน้องสาว
เด็กหญิงยักไหล่ “ถ้าลุงเสิ่นดี ทำไมไม่เรียกเขาว่าพ่อล่ะคะ?”
เสี่ยวเหมยใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ
ถ้าเรียกตั้งแต่แรก ๆ มันคงจะง่าย แต่จู่ ๆ ให้เปลี่ยนเลยก็ยากน่ะซี่
“ช่างเถอะค่ะ ลุงเสิ่นคงไม่สนใจหรอก” เสี่ยวเถียนว่าหลังจากขบคิด
จากท่าทางของลุงเสิ่น ถ้าสนใจจริง ๆ ก็คงมีลูกเป็นของตัวเองแล้ว ไม่ก็หาหญิงสาวสักคนและให้กำเนิดลูก
“ความสัมพันธ์ระหว่างลุงเสิ่นกับภรรยาเก่าเป็นยังไงบ้างคะ?”
พอได้ยินน้องสาวถาม ใบหน้าของเสี่ยวเหมยก็ฉายแววขุ่นเคือง
“เสี่ยวเถียน ผู้หญิงคนนั้นหน้าไม่อายจริง ๆ เธอให้กำเนิดลูกสองคน แต่นั่นไม่ใช่ลูกของลุงเสิ่นเลย”
อย่างที่คาดไว้ เสี่ยวเถียนไม่แปลกใจมากนัก
“แม้จะไม่ใช่ของลูกเขา แต่ลุงเสิ่นก็เลี้ยงพวกเขามา ไม่ตอบแทนบุณคุณก็ว่าแย่แล้วนะ แต่ยังมีจิตใจเหี้ยมโหดคิดจะร่วมมือกับพ่อแท้ ๆ เพื่อกำจัดลุงเสิ่น ตอนกลับมาถึงก็โดนไปตั้งหลายครั้ง!”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เสี่ยวเหมยรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะตบเจ้าหมาป่าสองตัวนั้นเพื่อระบายความโกรธ
“มีเรื่องนั้นด้วยหรือคะ?” เสี่ยวเถียนคิดไม่ถึงเลย
ถึงจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขกัน แต่บุญคุณที่เลี้ยงมาจะไปดีเท่าบุณคุณที่ให้กำเนิดได้อย่างไร?
“แล้วทางฝั่งลุงเสิ่น ตอนนี้สบายดีใช่ไหมคะ?”
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายโดนกดดันและเจ้าตัวก็รับมือได้ แต่เสี่ยวเถียนก็ยังถามคำถามด้วยความไม่สบายใจ
“ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี พ่อของสองคนนั้นก่อเหตุมากเกินไปเลยโดนจับตัวไปแล้ว”
“จับไปแล้ว?”
เสี่ยวเถียนประหลาดใจ แต่ต่อมาก็ต้องรู้สึกโล่งใจ
คนที่ก่อเหตุสมควรโดนจับแล้ว
“พอไอ้สองตัวนั้นเห็นว่าพ่อตัวเองโดนจับก็สิ้นหวัง ถึงกับหันมาหาลุงเสิ่นเลยนะ แถมพูดอีกว่าพวกเขาเคารพลุงเสิ่นมาโดยตลอด แต่ลุงเสิ่นไม่สนใจแล้วก็โยนพวกเขาออกไป ก่อนจากไปพวกเขายังด่าลุงเสิ่นด้วยนะว่าไปทุบตีแม่ของพวกเขาน่ะ…”
เสี่ยวเหมยอายเกินกว่าจะพูดว่าต่อ
สองคนนั้นไร้ยางอายเกินไป ถึงอยากจะพูดออกมา แต่เธอก็พูดไม่ออก
เสี่ยวเหมยไม่อยากพูดออกมา เธอรู้ว่าสิ่งที่สองคนนั้นพูดไม่ใช่สิ่งที่น่าฟังอย่างแน่นอน งั้นไม่ต้องฟังก็พอ!
“แต่พวกเขาก็ยอมไปใช่ไหมคะ?”
จากนิสัยของสองคนนั้นคงไม่ใช่พวกที่ยอมไปง่าย ๆ แน่นอน
เพราะความต้องการของลุงเสิ่นดำเนินการแล้ว น่าจะได้รับค่าตอบแทนกลับมาไม่น้อย
จุดประสงค์ของพวกเขาน่าจะอยู่ในนี้
“ไม่ยอมสิ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ? เรื่องที่พวกเขาทำในตอนนั้น ใครบ้างจะไม่รู้?” เสี่ยวเหมยพูดด้วยความขยะแขยง
คนดี ๆ อย่างลุงเสิ่น ทำไมต้องโชคร้ายเจอกับลูกเลี้ยงอย่างสองคนนั้นด้วย
“แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ?”
“ผู้หญิงคนนั้นก็โดนจับเหมือนกัน” เสี่ยวเหมยพูดอย่างใจเย็น “พี่ว่าการเป็นมนุษย์ต้องมีเมตตานะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดเรื่องกับตัวเองบ้างล่ะ”
“โชคดีจริง ๆ!”
เสี่ยวเหมยพยักหน้าอย่างหนัก “ตอนนี้สองคนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยเกษตรกรรมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาจงใจหรือเปล่า แต่พี่เจอพวกเขาตลอดเลย”
มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เสี่ยวเหมยลำบากใจมาก ถ้าสองคนนั้นไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอบ่อย ๆ เธอคงมีความสุขมากกว่านี้
ถึงเสี่ยวเหมยจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่เสี่ยวเถียนเข้าใจว่าพวกเขาคงไม่เป็นมิตรต่อพี่สาวแน่
“พี่เสี่ยวเหมย พวกเขาไม่ได้รังแกพี่ใช่ไหม?”
เสี่ยวเหมยยกยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเขาคิดจริง ๆ มีหลายครั้งที่คิดจะลงมือกับพี่ด้วย”
เสี่ยวเถียนอ้าปากด้วยความตกใจ นี่คิดจะลงมือกันเลยหรือ?
“พี่เสี่ยวเหมย พี่เสียเปรียบหรือเปล่า?”
“จะไปเสียท่าได้ยังไง พี่มาจากชนบทนะ แรงเยอะด้วย หลายปีมานี้ก็เรียนทักษะการต่อสู้มานิดหน่อย ไม่โดนเอาเปรียบแน่นอน อีกอย่างพวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรมากเกินไปด้วย”
ไม่กล้าทำอะไรมากเกินไป!
เพราะกลัวจะโดนต่อยน่ะสิ
เสี่ยวเถียนโล่งใจเมื่อได้ยิน
“พี่เสี่ยวเหมย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ไปหาพวกพี่ ๆ ของหนูเลยนะ พวกเขาจะปกป้องพี่เอง!”
เสี่ยวเถียนคิดว่ากลับไปต้องไปบอกพวกพี่ ๆ ให้ช่วยปกป้องพี่เสี่ยวเหมยหน่อยแล้ว
เสี่ยวเหมยพยักหน้าเคร่งขรึม “พี่รู้ โชคดีที่เรามาจากที่เดียวกัน พวกเขาเลยไม่ยอมเห็นพี่โดนรังแก”
ที่จริงเธอโดนรังแกจริง ๆ เด็กบ้านซูก็ออกมาจัดการเรื่องนี้ให้
ไม่รู้ว่าสามพี่น้องนั่นทำอย่างไร คนที่รังแกเห็นเธอทีไรก็หลบหน้าทุกที
สรุปก็คือ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครรังแกเธออีกเลย
ต่อมาก็มีข่าวแพร่สะพัดในมหาวิทยาลัยว่า อาจารย์เสิ่นเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ จากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามารังแกอีก
ตอนนี้เธอเป็นนักเรียนคนโปรดของลุงเสิ่นไปแล้ว มีหน้ามีตามาก
ขณะที่กำลังเดินพลางสนทนากัน เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็เที่ยงแล้ว
เมืองหลวงอากาศร้อนจัดอยู่แล้วในช่วงฤดูร้อน ยิ่งตอนเที่ยง แดดยิ่งร้อนเปรี้ยง
อวี่รุ่ยหยวนเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว เอาแต่พูดว่าจะกลับไปกินข้าวและพักผ่อน
ส่วนเสี่ยวซื่อยังไม่พอใจเลย แต่เขารู้ว่าทุกคนเหนื่อย
เสิ่นจื่อเจินพาทุกคนไปร้านอาหารส่วนตัว
พอมาถึง เสี่ยวเถียนก็พบว่าร้านอาหารแห่งนี้มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนกัน