บทที่ 458 ฉันจะส่งเธอไปแทน
บทที่ 458 ฉันจะส่งเธอไปแทน
“ฉันแก่แล้ว เกรงว่าจะรับหน้าที่ที่หนักหนาขนาดนี้ไม่ได้ไหวหรอก!”
น้ำเสียงของฉือเก๋อแผ่วเบา หากแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยความอ่อนโยย
ความรู้สึกที่จมดิ่งอยู่แล้วของหลี่ว์หรูหยา พอได้ฟังคำปฏิเสธความผิดหวังก็ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ใช่แค่เขา แต่รวมไปถึงฉืออวี้เลี่ยงที่เกิดความสิ้นหวังขึ้นทันที
ฉือเก๋อคือความหวังเดียวของพวกเรา!
แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะ?
ฉืออวี้เลี่ยงคิดว่าเหตุผลที่ชายชราปฏิเสธน่าจะเพราะหม่าว่านกั๋ว ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เขายิ่งเกลียดชายคนนั้นมากขึ้น อยากจะขุดศพออกจากหลุมแล้วตีให้ตายอีกรอบเลยจริง ๆ
ตอนนั้นเอง หม่าว่านกั๋วที่กำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลและกินแอปเปิ้ลได้จามออกมาอยู่สองสามครั้ง
“ใครนินทาฉันนะ?” เขาพึมพำอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ
หลังจากทุบศพของหม่าว่านกั๋วในใจเสร็จ ฉืออวี้เลี่ยงลังเลว่าเขาจะเข้าไปทำความรู้จักฉือเก๋อดีไหม
ตอนนั้นเองที่มีคนเคาะไหล่ของเขาเบา ๆ
ฉืออวี้เลี่ยงหันไปมอง ก็พบว่าเป็นคนที่ตนเองรู้จัก
“อาจารย์ฮั่ว!” ฉืออวี้เลี่ยงยิ้มทักทาย
“ผู้อำนวยการฉือก็มากินข้าวที่หออีหมิงด้วยหรือครับ? ผมจะบอกอะไรให้นะ ฝีมือการทำอาหารของร้านนี้เยี่ยมมากเลย ผมเคยมากินแค่ครั้งเดียวแต่ลืมไม่ลงสักนิด!”
ฮั่วซือเหนียนพูดไปด้วย และอดน้ำลายไหลไปด้วยไม่ได้
ตั้งแต่มากินครั้งล่าสุด บอกได้เลยว่าเขานอนคิดถึงรสชาติของมันทั้งวันทั้งคืน
หลังจากที่ชิมอาหารอร่อย ๆ แล้ว เช้าวันที่สองก็ต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ต่อ
วันนี้เพิ่งได้กลับมาเลย
หลายวันที่ออกไปทำงาน เขากินอะไรก็ไม่อร่อย หัวเอาแต่คิดถึงกลิ่นหอม ๆ ของอาหารหออีหมิงอยู่ตลอด
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าพอลงจากรถไฟแล้วก็ตรงดิ่งมาร้านก่อนจะกลับบ้านเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก
หออีหมิง ชื่อนี้ใช่ว่าฉืออวี้เลี่ยงจะไม่เคยได้ยิน แต่ถ้าถึงขนาดที่อาจารย์ฮั่วผู้ซึ่งกลับมาจากต่างประเทศยังพูดเช่นนั้น มันจึงทำให้เขาประหลาดใจนิดหน่อย
ฮั่วซือเหนียนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ของเมืองหลวง และมีอีกหนึ่งตำแหน่งคือที่ปรึกษาของโรงงานผ้าไหมฉี่ลี่
เราได้พบเจอกันอยู่บ่อยครั้งเพราะเรื่องงาน
ฉืออวี้เลี่ยงค่อนข้างชอบฮั่วซือเหนียนชายหนุ่มผู้นี้นัก
หายากมากที่เยาวชนสมัยนี้จะมีความรู้จริง ๆ ไม่ได้เรียนเฉย ๆ แต่ยังเจาะลึกลงไปในสิ่งที่เรียนด้วย
“อาจารย์ฮั่ว ทำไมถึงเพิ่งมากินข้าวครับ?”
ฉืออวี้เลี่ยงมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว ควรจะเป็นข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นดีล่ะ?
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเหนื่อยล้า “ผมเพิ่งลงรถไฟมาครับ แล้วเกิดคิดถึงอาหารที่หออีหมิงขึ้นมาก็เลยทิ้งกระเป๋าไว้แล้วตรงมานี่เลย!”
ฉืออวี้เลี่ยง “…”
อาหารของหออีหมิงดีขนาดนั้นเชียวหรือ? ถึงขนาดทำให้อีกฝ่ายทิ้งกระเป๋าหลังจากที่กลับมาจากงานเนี่ยนะ?
อาจารย์ฮั่วเดินทางมาครึ่งค่อนเมืองเพื่อกินอาหารมื้อนี้!
“ไหน ๆ เราก็ได้เจอกันแล้ว ผมจะเลี้ยงอาหารผู้อำนวยการฉือแล้วกันนะครับ! ของอร่อยควรแบ่งปันกันนะ!” ฮั่วซือเหนียนกล่าวอย่างร่าเริง
ขณะที่ทั้งสองสนทนากันอยู่ที่หน้าประตู หลี่ว์หรูหยาก็ได้ยินเข้าพอดี
เขาเหลือบมองอย่างรวดเร็วก่อนพบว่าคนที่ยืนอยู่นั้นคือที่ปรึกษาและผู้อำนวยการของเรา จึงรีบเข้าไปทักทาย
“อาจารย์ฮั่ว ผู้อำนวยการ ทำไมถึงมาด้วยกันได้ล่ะครับ?”
“รองผู้อำนวยการหลี่ว์ก็อยู่ด้วยหรือ? ดีเลย ๆ ผมเพิ่งจะเชิญผู้อำนวยการมากินข้าวด้วยกัน แต่คุณเองก็อยู่ด้วย งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ ๆ!” ฮั่วซือเหนียนกระตือรือร้นมาก
เขาไม่ใช่คนที่ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างอบอุ่นหรอก แต่พอเป็นเรื่องอาหารกลับกระตือรือร้นเสียทุกที
บอกตามตรง แค่ไม่อยากกินข้าวคนเดียวน่ะ!
รองผู้อำนวยการหลี่ว์ “…”
งานยังไม่เสร็จเลย ยังจะกินอะไรอีกเนี่ย?
นับประสาอะไรกับอาหารของร้านหออีหมิง ขนาดเนื้อมังกรวางอยู่ตรงหน้ายังไม่ได้กินเลย!
พอคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ว์หรูหยาก็มองฉือเก๋ออย่างเศร้าใจ
ถ้าฮั่วซือเหนียนจะมองไม่ออกว่าทำไมผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการมาร้านหออีหมิงด้วย เขาก็คงเป็นคนโง่แล้ว
ชายหนุ่มมองตามสายตาก่อนจะเห็นฉือเก๋อ!
ฮั่วซือเหนียนรู้จักชายชราคนนี้
“ลุงฉือ? คุณคือลุงฉือใช่ไหมครับ?”
ยามมองเข้าไปข้างในก็ต้องตะลึงงัน ก่อนเขาจะวิ่งจ้ำเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว
ฉือเก๋อมองสำรวจอีกฝ่ายแล้วยิ้ม “ที่แท้ก็หนุ่มซือเหนียนนี่เอง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีเลยนะ!”
ฮั่วซือเหนียนคลี่ยิ้มกว้างรวดเร็ว “ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เจอกันหลายปีหรอกครับ ผมเพิ่งกลับมาเมื่อปลายปีที่แล้วเอง”
พูดแล้วก็อาย เขาควรจะไปเยี่ยมลุงฉือสิ
ชายชรามองฮั่วซือเหนียนแล้วก็รู้สึกหนักใจนัก
เด็กคนนี้กลับมาแล้วนะ แล้วทำไมลูก ๆ ของเขาถึงยังไม่กลับมาอีก?
“กลับมาก็ดีแล้ว ๆ! ซือเหนียนเอ้ย ไหน ๆ ก็กลับมาแล้วก็ต้องรับใช้ประเทศชาติให้ดีเสียล่ะ!” ฉือเก๋อเอ่ยอย่างจริงจัง ทว่าในน้ำเสียงกลับผิดหวัง
เป็นหลี่ว์หรูหยาที่ได้ยินประโยคนั้นกลับรู้สึกหัวใจแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับโดนโจมตีอย่างแรง
พอพูดแบบนั้นแล้วทำไมไม่อยากรับใช้ชาติเลยนะ? ถ้าต้องคิดรับใช้จริง ๆ เขาควรลำบากขนาดนี้เลยหรือ? ถึงจะบอกว่าที่มาวันนี้ก็เพื่อโรงงานผ้าไหม แต่สุดท้ายก็ต้องหาเงินให้ประเทศอยู่ดีนี่!
ส่วนฉืออวี้เลี่ยงที่ถูกเตือนสติก็จำได้ว่าฮั่วซือเหนียนกลับมาจากต่างประเทศแล้วเหมือนกัน
เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ แต่แล้วก็รีบเข้าไปขอความช่วยเหลือทันที
“อาจารย์ฮั่ว ผมมีเรื่องเร่งด่วนมาก และไม่มีทางเลือกนอกจากขอความช่วยเหลือจากคุณครับ!”
ถึงจะขัดบทสนทนาของทั้งสองอย่างไร้มารยาท แต่ฮั่วซือเหนียนก็ไม่รำคาญใจอะไรเพราะคิดว่าเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ
“ผู้อำนวยการฉือมีเรื่องอะไรขอแค่บอกมาครับ ผมเป็นที่ปรึกษาของโรงงาน หากต้องการความช่วยเหลือผมจะช่วยอย่างแน่นอนครับ”
ฮั่วซือเหนียนเอ่ยด้วยความคล่องแคล่ว แสดงท่าทีอย่างชัดเจนเลยว่าถ้าเป็นเรื่องของโรงงานขอแค่คุณพูดออกมาก็พอ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว
ฉืออวี้เลี่ยงเข้าใจความหมายในคำพูด และอดปาดเหงื่อไม่ได้
คนตรงหน้าเป็นแค่ชายหนุ่มแท้ ๆ แต่ทำไมเขาถึงน่ากลัวจังเลยนะ?
โชคดีที่เขายังเห็นแก่โรงงาน เลยรีบอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันในโรงงานด้วยถ้อยคำที่สั้นและกระชับ
หลังจากฟังจบ ฮั่วซือเหนียนพลันเงียบไป ถึงเขาจะกลับมาจากต่างประเทศ แต่เขาไม่รู้ภาษาเยอรมัน
เรื่องนี้ช่วยอะไรไม่ได้มากจริง ๆ
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษา แม้มันจะไม่ใช่หน้าที่ที่เขาต้องดูแล แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่ผู้อำนวยการฉือจะมาหาถึงนี่
จากนั้นเขาก็มองไปทางฉือเก๋อ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
“ผู้อำนวยการฉือ คุณมาหาผิดคนแล้วครับ ท่านนี้คือคุณฉือหรือฉือเก๋อ ผมขอแนะนำคุณสักหน่อยนะ คุณฉือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันครับ”
ฮั่วซือเหนียนคิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักชายชรา จึงเอ่ยแนะนำในทันที ทั้งยังแนะนำให้เป็นพิเศษอีกด้วย
“ลุงฉือครับ คนนี้คือฉืออวี้เลี่ยงเป็นผู้อำนวยการโรงงานไหมฉี่ลี่ครับ เขาเป็นผู้อำนวยการที่ดีและทุ่มเทให้กับโรงงานมากเลย”
ฉือเก๋อมองชายหนุ่มอย่างมีนัย แปลกจริง ๆ ที่เด็กคนนี้จะยกย่องเขา
แต่เขาไม่มีความประทับใจต่อโรงงานแห่งนี้
“คนของโรงงานผ้าไหมมาหาตาแก่อย่างฉันไปทำไม?”
แม้ฮั่วซือเหนียนจะไม่ได้พบกับลุงคนนี้มาหลายปี แต่พอจะเข้าใจนิสัยอีกฝ่ายอยู่บ้าง
และพอได้ยินประโยคนั้นก็ยิ่งรู้ว่าทางโรงงานต้องทำอะไรที่ทำให้คุณลุงไม่พอใจอย่างแน่นอน
แต่ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาเคือง ถึงได้โกรธเคืองกันแบบนี้
เขามองฉืออวี้เลี่ยงด้วยสายตาจับผิด
ฉืออวี้เลี่ยงเสียใจเหลือเกิน เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทุกอย่างมันเป็นเพราะไอ้หม่าว่านกั๋ว ไอ้คนไร้ความสามารถคนนั้น!
ส่วนหม่าว่านกั๋วที่นอนอยู่บนเตียงก็จามออกมาอีกสองครั้งติดกัน
เมื่อได้รับสายตาขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ชายหนุ่มทำได้เพียงกัดฟันพูด
“ลุงฉือครับ ถ้าทางโรงงานทำอะไรบกพร่องไปจนทำให้ลุงโกรธ ลุงเห็นแก่ผมได้ไหมครับ ยกโทษให้สักครั้งนะ?”
ฮั่วซือเหนียนพูดจาออดอ้อนเล็กน้อย
ตอนนั้นเองที่คุณปู่ซูเพิ่งจะอ๋อ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนที่รอให้เสี่ยวเถียนเชือดเป็นแกะอ้วนหรือ?
ทำไมถึงรู้จักกับอาจารย์ฉือด้วยล่ะ?
เขาคิดแล้วก็สงสัยว่ามหันตภัยมาเยือนคนอยู่บ้านเดียวกันหรือเปล่า*[1] ทำไมไม่รู้จักอะไรใครเลย?
“ทำไมเด็กแบบแกต้องเข้าไปยุ่งด้วยล่ะ? สนิทกับพวกเขามากหรือ?”
“ลุงฉือ ผมจะไม่ปิดบังคุณนะครับ หลังจากผมกลับมา นอกจากสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยก็ยังไปเป็นที่ปรึกษาให้โรงงานผ้าไหมด้วย ลุงว่าในเมื่อผมเป็นที่ปรึกษาก็ไม่ควรจะเมินเฉยใช่ไหมครับ?” ฮั่วซือเหนียนเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม
ฉือเก๋อดุด้วยรอยยิ้ม “ไอ้เด็กคนนี้ รู้เยอะจริงเชียวนะ”
โรงงานผ้าไหมฉี่ลี่กำลังประสบปัญหา ถ้าพูดตามเหตุผลก็ช่วยได้ไม่มีปัญหา แต่เขาแค่รู้สึกคับข้องใจเท่านั้นแหละ
“ลุงฉือช่วยชี้แนะให้ผมทีครับ!”
บอกทีว่าทำไมถึงโกรธ ให้สองคนนั้นเดาไปเดามามันน่าอายจริง ๆ นะ
ฉือเก๋อเป็นใคร? เวลาคุยเรื่องพวกนี้เขาควรนั่งลงและดื่มชาเท่านั้น
คุณปู่ซูเรียกพนักงานมาถาม
วันนี้เด็กคนนี้ก็อยู่ในบริเวณด้วยจึงทราบเรื่องราว
พนักงานเป็นคนตรงประเด็นมาก ไม่ได้ใส่ความรู้สึกส่วนตัวลงไปและพูดในสิ่งที่ควรพูด
เมื่อฟังคำอธิบาย ผู้อำนวยการฉือนึกถึงท่าทางโอหังของหม่าว่านกั๋วออกเลย
และทำให้อดด่าในใจไม่ได้
ไอ้บ้านั่นคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
กล้าดียังไงมาพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าคุณฉือ!
ไม่แปลกใจที่เราหาล่ามที่ไหนไม่ได้เลย ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจจะแพร่ไปเป็นวงกว้างแล้วก็ได้
ขนาดคนอย่างคุณฉือยังไม่เคารพเลย แล้วจะเคารพผู้อื่นได้ยังไง?
หม่าว่านกั๋วไอ้งี่เง่าคิดจะทำลายโรงงานผ้าไหมให้สิ้นสินะ?
ต้องเอาจริงเอาจังเสียแล้ว จากนี้ไปคนในแวดวงอาจจะไม่รับงานของพวกเราเลยก็ได้
“คุณฉือครับ ผมขอโทษแทนหม่าว่านกั๋วด้วยนะครับ ผู้อาวุโสอย่างคุณอย่าโต้เถียงกับรุ่นน้องไร้ความสามารถเลยครับ!” หลังจากคิดทบทวน เขาก็โค้งคำนับแล้วขอโทษด้วยท่าทางจริงใจยิ่ง
“เป็นผมเองที่เป็นหัวหน้าแท้ ๆ แต่ดูแลลูกน้องได้ไม่ดีครับ”
เมื่อเห็นผู้อำนวยการโค้งคำนับเก้าสิบองศา หลี่ว์หรูหยาไม่กล้ายืนตัวตรงและรีบเข้าไปโค้งคำนับด้วย
สำหรับฉือเก๋อ อายุของหม่าว่านกั๋วนับว่าเป็นรุ่นน้อง
แต่รุ่นน้องคนนี้ เขาจำไม่เห็นได้เลย!
“อย่าเลย ตาแก่แบบฉันไม่มีรุ่นน้องไม่รู้ความแบบนั้นหรอก พวกคุณก็อย่าโค้งคำนับให้ฉันด้วย เดี๋ยวอายุจะไม่ยืนเอาซะ”
เหอะ ถ้ามีรุ่นน้องแบบนี้จริง ๆ เขาไม่โกรธจนตายหรอกหรือ?
“ลุงฉืออย่าโกรธเลยครับ มีเรื่องอะไรมาคุยกันดี ๆ ดีไหมครับ?”
“คุยกัน? มันยังมีอะไรให้คุยอีก?”
“คุณเพิ่งบอกผมไม่ใช่หรือครับว่าให้รับใช้ชาติน่ะ? ลุงจะรับใช้ชาติไหมครับ?”
ฉือเก๋อทุบชายหนุ่มเบา ๆ ก่อนมองไปที่คนจากโรงงานทั้งสอง
“ไอ้เด็กคนนี้ คิดช่วยพวกเขาจริง ๆ สินะ ถึงได้มาบีบคั้นฉันแบบนี้เนี่ย!”
พอเห็นชายชรามองมา ฉืออวี้เลี่ยงรีบเอ่ยทันที “คุณฉือครับ ได้โปรดช่วยโรงงานของเราด้วยนะครับ เราจะไม่มีวันลืมบุญคุณของคุณเลยครับ!”
“จะมีหรือไม่มี มันมีค่าให้จดจำด้วยหรือ?”
ตาแก่แบบเขาช่วยเหลือคนไว้มากตอนยังหนุ่ม แต่ในตอนที่โชคร้าย จะมีสักคนกี่คนที่ช่วย?
เรื่องของบุญคุณควรจดจำไว้ให้ขึ้นใจ ไม่ใช่ดีแต่ปาก
“มีครับ ๆ!” ฉืออวี้เลี่ยงรีบหัวเราะด้วย
อาจารย์ฮั่วและคุณฉือสนิทกันดี และนี่คือโอกาสของเขา
“แบบนี้แล้วกัน ลูกศิษย์ของฉันเก่งภาษาเยอรมันอยู่ ถ้าพวกคุณไว้ใจฉัน ฉันจะส่งเธอไปแทน!”
*[1] เราไม่รู้จักคนของตัวเองจนเกิดความเข้าใจผิดหรือขัดแย้ง