เวลาประมาณตีสี่
เวลาที่หม่าโฮ่วเต๋อมาถึงสนามกีฬาไม่ใช่เวลาที่คนงานรายงานว่าพบศพ
ตอนหม่าโฮ่วเต๋อมาถึง ตำรวจที่มาถึงก่อนได้ปิดสถานที่เกิดเหตุแล้ว
ตอนนี้ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ถึงแม้ลมทางใต้จะไม่ถือว่าหนาวมาก แต่หม่าโฮ่วเต๋อที่เลือกเวลาออกมาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
เขาถูฝ่ามือของเขาโดยไม่รู้ตัว ตอนที่เขาห่างจากที่เกิดเหตุประมาณยี่สิบเมตรนั้น เขาก็มองไปรอบๆ อย่างเป็นกังวล
“เซอร์หม่า เวลานี้คุณเริ่นไม่มาหรอก ผมจำได้ว่าเธออยู่ดึกไม่ได้นี่ครับ?” หลินเฟิงพูดเบาๆ อยู่ข้างกายหม่าโฮ่วเต๋อ
“เฮ้อ! เฉพาะเวลาลั่วชิวอยู่บ้านเท่านั้นแหละ!” หม่าโฮ่วเต๋อเอ่ย
แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ และสบถออกมาว่า “นายคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนพวกที่ถูกงูกัดครั้งเดียวก็กลัวเส้นฟางไปเป็นสิบปีงั้นเหรอ ต้องกลัวว่าจะเจอเริ่นจื่อหลิงในทุกสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมเลยเหรอ”
คุณสารภาพแล้วไม่ใช่หรือไง…
หลินเฟิง…เซอร์หลินส่ายหน้า รีบเอ่ยว่า “เซอร์หม่า จัดการคดีสำคัญกว่า! จัดการคดีสำคัญกว่า!”
…
ทั้งสองคนผ่านเส้นหวงห้ามเข้าไปถึงสถานที่เกิดเหตุ
หม่าโฮ่วเต๋อพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ลักษณะการตายแบบนี้…ฉันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!”
อิงตามคำพูดของคนงานที่พบศพ กลุ่มคนได้พบราวค้ำที่ร่างกายของคนงานตกผ่านลงมาอย่างรวดเร็ว
“เซอร์หม่า คุณมาแล้ว!”
ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนิติเวชคนหนึ่งกำลังโบกมือให้กับหม่าโฮ่วเต๋อ
หม่าโฮ่วเต๋อเดินเข้ามาและถามว่า “เสี่ยวเป่า ทำไมถึงเป็นนาย? เหล่าฉินล่ะ?”
“อ๋อ หัวหน้าลาครับ!” ชายหนุ่มนิติเวชที่ถูกเรียกว่าเสี่ยวเป่ารีบตอบ
“ลา?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก “เหล่าฉินที่อยู่ในห้องทดลองได้เป็นหนึ่งปีครึ่งปี ก็ลาเป็นด้วยเหรอ?”
เสี่ยวเป่าเอ่ยว่า “เรื่องนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เมื่อวานตอนไปทำงาน ผมเห็นข้อความที่หัวหน้าทิ้งเอาไว้บอกขอลาหยุดไม่กี่วัน ผู้อำนวยการก็อนุมัติแล้ว”
“พักกี่วัน?”
“ไม่ได้ระบุไว้ครับ” เสี่ยวเป่ายักไหล่และเอ่ยว่า “บอกแค่ว่าเมื่อกลับมาก็จะมาทำงานเองครับ”
“เมื่อกลับมาถึงก็จะมาทำงานเอง? อะไรกัน ลับๆ ล่อๆ…” หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยากคิดมากเกินไปจึงถามว่า “เอาเถอะ เสี่ยวเป่า หลังนายมาแล้วพบอะไรหรือเปล่า?”
เสี่ยวเป่ารีบพูดว่า “ผมพบรอยเท้าจางๆ หลายรอยบนราวค้ำที่มีรอยเลือดผู้ตาย…อืม ผมดูแล้ว จากบาดแผลของศพไม่เหมือนถูกพวกลวดเหล็กบนราวค้ำตัดขาด ความจริงลวดเหล็กก็ตัดเป็นบาดแผลใหญ่และเรียบขนาดนี้ไม่ได้หรอกครับ…เซอร์หม่า คุณได้ดูศพหรือยัง? ผู้ตายถูกบางอย่างตัดจากไหล่ซ้ายลงไปถึงเอวขวาในครั้งเดียว อวัยวะภายในกระจัดกระจายออกมา พวกเรากำลังเก็บรวบรวมอยู่…”
“มีดตัดขาดในครั้งเดียว?” หม่าโฮ่วเต๋อเอ่ยถาม
“มีด?” เสี่ยวเป่ามึนงงและพูดว่า “เซอร์หม่า อย่าเพิ่งพูดฟันธงไป ตอนนี้พวกเราคาดเดาอะไรออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ จะบอกว่าเป็นมีดได้ไงครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อจึงถามว่า “งั้นนายคิดว่าผู้ตายในครั้งนี้กับศพของคนเร่ร่อนที่พบเมื่อครั้งก่อนเกี่ยวข้องกันไหม?”
“ก็ไม่แน่” เสี่ยวเป่าขมวดคิ้ว “พวกคุณเชื่อมต่อคดีจากรอยบาดแผลที่ใหญ่และเรียบเข้าด้วยกัน แต่พวกเราจำเป็นต้องใช้มุมมองของนิติเวชดู ดังนั้นทุกอย่างต้องรอการตรวจสอบก่อนครับ”
หม่าโฮ่วเต๋อกลอกตาขาว “ไม่รู้ว่านายเรียนรู้จากเหล่าฉินมามากแค่ไหน แต่เรื่องดื้อดึงจะตรวจสอบเรื่องไม่จำเป็นนี้ช่างเหมือนกันจริงๆ! เอาเถอะ พวกนายทำต่อไปเถอะ พวกฉันจะไปสอบถามพวกคนงานก่อน!”
…
หม่าโฮ่วเต๋อกับหลินเฟิงรวมถึงตำรวจคนอื่นๆ เริ่มซักถามคนงานที่ไซต์งาน
ในช่วงกลาง หม่าโฮ่วเต๋อก็รู้สึกย่ำแย่กับจำนวนคนงานที่มีมากมาย เมื่อต้องสอบถามแต่ละคนอย่างละเอียด รวมทั้งสำรวจรอบสถานที่เกิดเหตุและด้านนอกสนามกีฬา งานทั้งหมดยังทำได้ไม่ถึงครึ่ง ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเวลาหกโมงเช้า
ไม่พบอาวุธสังหาร นอกจากรอยเท้าบางๆ สองสามรอยที่พบบนราวค้ำที่เกิดเหตุแล้ว ยังพบรอยขีดข่วนในบางส่วนของราวค้ำ…ซึ่งเป็นรอยขีดข่วนใหม่
แต่ร่างกายของผู้ตายก็ถูกส่งกลับไปยังสำนักงานก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อดำเนินการชันสูตรศพ
แต่ศพเพิ่งถูกส่งออกไป ครอบครัวของผู้ตายก็มาถึงพอดี ทำให้หม่าโฮ่วเต๋อปวดหัวเพราะต้องปลอบใจและไม่พบเบาะแสใดๆ จนกระทั่งถึงเจ็ดโมงตรง
“เซอร์หม่า หาซื้อกาแฟไม่ได้เลยครับ…เอากระทิงแดงแทนได้ไหม?”
“อะไรก็ได้” หม่าโฮ่วเต๋อส่ายหน้า นั่งลงบนเก้าอี้หินนอกสนามกีฬาอย่างเหนื่อยล้า
ตอนนี้เองก็มีเด็กสองคนมาปรากฏตัวอยู่ในสายตาของหม่าโฮ่วเต๋อและหลินเฟิง…เป็นเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งกับเด็กหญิงที่โตกว่าหน่อย
เด็กชายตัวเล็กดูค่อนข้างคล้ายหนู… เซอร์หม่ารู้สึกอย่างนั้น
“ลุงครับ ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ?” เด็กชายที่ดูคล้ายหนูวิ่งมาตรงหน้าของคนทั้งสองและเอ่ยถามด้วยความสนใจ
หม่าโฮ่วเต๋อลูบหัวของเด็กชายอย่างอ่อนโยนเป็นพิเศษและเอ่ยว่า “เด็กน้อย เรื่องในนี้นายไม่ต้องถามหรอก ตอนนี้ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ ไม่กลัวไปสายหรือไง?”
“ฮีๆ~” เด็กชายที่ดูคล้ายหนูถามขึ้นในทันใดว่า “ลุงๆ พวกลุงเป็นตำรวจใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว” หม่าโฮ่วเต๋อยิ้มและถามว่า “นายรู้ได้ยังไง? พวกฉันไม่ได้ใส่ชุดตำรวจสักหน่อย?”
“บนคอของลุงมีบัตรอยู่ใช่ไหมฮะ?”
หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก จกนั้นถึงหัวเราะและพูดว่า “ฉลาดจริงๆ…เอาล่ะ ในเมื่อรู้แล้วว่าฉันเป็นตำรวจก็อย่ามากวน…ใช่แล้ว ฉันขอถามเรื่องหนึ่งหน่อย นายต้องตอบมาตามตรงนะ?”
“ได้ครับ! แม่ผมบอกว่าต้องพูดความจริงกับลุงตำรวจ”
เป็นเด็กดีจริงๆ…หม่าโฮ่วเต๋อถอนหายใจ “นายอาศัยอยู่แถวนี้ใช่ไหม? ตอนเช้าออกจากบ้านมาเห็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนผ่านมาแถวนี้หรือเปล่า?”
เด็กชายส่ายหน้า “ไม่เห็นครับ แต่หากผมเห็นแล้วต้องไปหาลุงใช่ไหมครับ?”
หม่าโฮ่วเต๋อคิดในใจว่าถึงเด็กคนหนึ่งจะพบเจอคนแปลกหน้า…ผีถึงรู้ว่าวันวันหนึ่งจะพบคนแปลกหน้ามากน้อยแค่ไหน? เขาจึงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก…เอาล่ะ นายรีบไปโรงเรียนเถอะ! อย่าขวางการทำงานของตำรวจ!”
“ครับ!” เด็กชายที่ดูคล้ายหนูรีบวิ่งกลับไปข้างกายเด็กหญิง และจูงมือเด็กหญิงจากไป
“เป็นเด็กนี่ดีจริงๆ” หม่าโฮ่วเต๋อหาวออกมา “รอเดี๋ยว เด็กผีสองคนนี้รักกันเร็วเกินไปไหม?”
“อาจจะเป็นพี่สาวน้องชายก็ได้นะครับ” หลินเฟิงส่ายหน้า
หม่าโฮ่วเต๋อขมวดคิ้ว ดื่มไวน์จนหมดในอึกเดียว จากนั้นก็ตบๆ หน้าและลุกขึ้นมาพูดว่า “ทำงานต่อ! ย่า…จะต้องเป็นรักก่อนวัยแน่นอน จะพนันไหม!”
“…”
…
…
“ชีส มีปัญหาอะไรไหม?”
นีนี่ถามชีสในทันที ถึงเวลากลางวันนีนี่จึงกลายร่างเป็นรูปร่างเด็กหญิงแล้ว
ตอนนี้เธอกับชีสกำลังหลบอยู่หลังป้ายโฆษณาด้านนอกสนามกีฬา
“ไม่มี”
ชีสส่ายหน้าก้มหน้าลงและเอ่ยว่า “ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว น่าจะยังไม่พบเบาะแสอะไร…เมื่อคืน คนที่อยู่ในเฮลิคอปเตอร์น่าจะไม่เห็นอะไร”
นีนี่รู้สึกเป็นกังวล จับแขนของชีสแน่นในทันทีและเอ่ยถามเบาๆ ว่า “ชีส นายว่าตำรวจจะสืบได้ไหมว่าจุยเฟิงฆ่าคน…”
“นีนี่!” ชีสขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเราแค่เห็นจุยเฟิงอยู่ที่นั่นเท่านั้น ไม่ได้เห็นจุยเฟิงลงมือ อย่าพูดเหลวไหล!”
หากนับอายุแล้วนีนี่อายุมากกว่าชีส แต่ในกลุ่มวัยรุ่นจุยเฟิงซึ่งรวมไปถึงจุยเฟิงที่อายุมากที่สุดก็ยังไม่สุขุมเท่าชีส
เธอถอนหายใจอย่างฉับพลันและเอ่ยว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้…เห้อ หากตอนที่พวกเราเลือกหัวหน้านายไม่ถอนตัวละก็ คงไม่เกิดเรื่องเยอะแบบนี้…”
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” ชีสส่ายหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วพูดว่า “เสี่ยวเจียงล่ะ? พวกเรานัดเจอกันที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่รู้สิ ทำไมถึงยังไม่มาอีกนะ?” นีนี่ก็มองรอบด้านอย่างสงสัย…จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนในทันที ร่างกายสั่นสะท้าน “หลง หลง หลง…”
“หลงอะไร?” ชีสชะงัก
“ใต้เท้าหลง!” นีนี่ใช้สองมือกุมปากของตนเอง
ชีสเพ่งมองก็เห็นหลงซีรั่วค่อยๆ เดินมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนด้านหลังของเธอมีเสี่ยวเจียงเดินก้มหน้าตามมา จนกระทั่งหลงซีรั่วเดินเข้ามาถึงที่ๆ พวกเขาอยู่
เสี่ยวเจียงก้มหน้าและพูดขึ้นว่า “ขอโทษด้วย ชีส ผม ผมกลัวมากเลยไปบอกเรื่องนี้กับใต้เท้าหลง…”
“เสี่ยวเจียง พวกเราตกลงกันแล้ว…” ชั่วขณะนั้นชีสก็โมโหขึ้นมา
“ตกลงว่าอะไร?” หลงซีรั่วตัดบทอย่างไร้อารมณ์ “ตกลงกันว่าจะปิดบังงั้นเหรอ?”
สายตาของมังกรแห่งแผ่นดินเทพทำให้ชีสตัวแข็ง ก้มหน้าลงในพริบตา ส่วนร่างกายก็เริ่มสั่นขึ้นมา
หลงซีรั่วสบถเอ่ยว่า “ฉันเคยบอกแล้วว่าห้ามเด็กที่ยังไม่โตแบบพวกนายออกมาเล่นตอนกลางคืน พวกนายถือว่าคำพูดฉันเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านหูงั้นเหรอ?”
แต่ชีสกลับเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันและพูดว่า “ใต้เท้าหลง! จุยเฟิงไม่ได้ฆ่าคน! ผมรู้ว่าเขาจะไม่ฆ่าคนแน่!”
หลงซีรั่วมองดวงตาของชีส มองดูเขาที่หวาดกลัวมากแต่กลับมีสายตาดื้อดึง จึงถอนหายใจอย่างกะทันหันและพูดว่า “นายไม่เหมือนซูโย่วเลยสักนิด ใจกล้ากว่ามาก”
“ผม…”
ทันใดนั้นหลงซีรั่วก็ย่อลงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าชีส “ฉันได้ยินซูจื่อจวินพูดถึงเรื่องครอบครัวนายแล้ว ตอนแรกฉันคิดว่าพอจัดการเรื่องยุ่งเสร็จแล้วจะไปหาพวกนาย ช่วงนี้คงลำบากมากใช่ไหม?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ครั้งนี้ชีสจึงอดตาแดงไม่ได้และแสบจมูกขึ้นมา
เขาก้มหน้าลงพยายามข่มกลั้นแต่กลับไม่สามารถห้ามเสียงไม่ให้สั่นได้ “ผม…ผมไม่ลำบาก!”
“เด็กโง่”
หลงซีรั่วกอดเขาเข้ามาในอ้อมอก
“ผมไม่ลำบาก!”
แม้ชีสจะพิงบนไหล่ของหลงซีรั่วและสะอื้นแต่ก็ยังคงดื้อรั้นอยู่
เพราะเขาเคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก