เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] – บทที่ 566 ใช้เงินตัวเองสบายใจกว่านะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

บทที่ 566 ใช้เงินตัวเองสบายใจกว่านะ

บทที่ 566 ใช้เงินตัวเองสบายใจกว่านะ

เป็นหุ้นส่วนร้านค้าสิบเปอร์เซ็นต์คำขอนี้ไม่ได้มากเกินไปเลย แม้จะคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว ฉืออี้หย่วนก็ยังเสียเปรียบอยู่ดี

อาคารสองชั้นตรงหน้ามีพื้นที่กว้างขวาง แถมทำเลที่ตั้งยังดี ต่อให้ปล่อยเช่าก็ยังทำเงินรายปีได้ไม่น้อยเลย

“อี้หย่วน ไม่อยากลงทุนเพิ่มสักหน่อยหรือ? เปอร์เซ็นต์จะได้เพิ่มขึ้นด้วยนะ!”เสี่ยวซื่อคะยั้นคะยอ

ในบรรดาพวกเราฉืออี้หย่วนเป็นคนที่มีเงินเยอะที่สุด ถ้าเจ้าตัวไม่ได้ช่วยเรื่องนี้ เราคงต้องทำงานหนักขึ้น

เด็กหนุ่มส่ายหัวเบา ๆ

“สิบเปอร์เซ็นต์ที่ผมว่าคือรอแค่เงินปันผลครับ และก็ไม่ตั้งใจจะเข้าร่วมในการบริหารด้วย”

เสี่ยวซื่อหดหู่เล็กน้อยกับคำตอบเพราะในแผนของเขา ฉืออี้หย่วนควรเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด ถึงเขาจะทะเยอะทะยานแต่ก็รู้จักตัวเองที่สุด การมีเงินในมือไม่พอถือเป็นข้อบกพร่อง

“เสี่ยวกัง พวกเรามีเงินไม่เยอะเท่าไร ถ้ารวมกันสองคนคิดเห็นว่าไงบ้าง?”

เสี่ยวเหมยได้ยินจำนวนเงินจากเสี่ยวซื่อก็รู้ได้ทันทีว่า เธอกับน้องสองคนรวมกันถือหุ้นได้แค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

เพราะถือได้เท่านั้น เรื่องอำนาจตัดการบริหารจึงไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย

อีกอย่างเราสองพี่น้องไม่มีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจเลย เธอเองก็ต้องทำวิจัยเกี่ยวกับการผลิตเมล็ดพันธุ์ ส่วนเสี่ยวกังก็ยังเรียนมัธยมปลายอยู่

แทนที่จะทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า สู่รอรับเงินปันผลแบบอี้หย่วนดีกว่า

เสี่ยวซื่อปวดหัวกว่าเดิม ทีแรกคิดว่าตนจะไม่ขาดเงินแล้วเสียอีก แต่เมื่อพิจารณาจากความคืบหน้าในตอนนี้แล้ว เหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่เลยนะ

จำนวนคนที่เขาร่วมจะทำให้เงินที่คาดการณ์ไว้ไม่เพียงพอ

“ส่วนพวกเรามีสี่คนครับ แต่ทุกคนช่วยออกได้แค่ห้าเปอร์เซ็นต์ของเงินเท่านั้น”

เสี่ยวลิ่วพูดในนามกลุ่มรุ่นน้องของบ้าน เรามีเงินอยู่ในมือก็จริงแต่ก็ยังต้องทำหลู่เว่ยอยู่นะ ไม่สามารถลงทุนได้ทั้งหมดหรอก

และถ้าอิงตามนี้เราจะได้มาสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว จึงเหลืออีกหกสิบเปอร์เซ็นต์

“พี่ออกสิบเปอร์เซ็นต์” โส่วเวินว่า “แต่พี่ไม่มีเวลาร่วมบริหารด้วยนะ”

“พี่กับพี่ใหญ่เหมือนกัน!”

“พี่ก็ด้วย”

ทุกคนแสดงตัวออก ตอนนี้เราได้มาอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว

เสี่ยวซื่อคำนวณคร่าว ๆ หลังจากยืนยันจำนวนทั้งหมดอีกครั้ง เขาจะได้เงินมา 21,000 หยวน โดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแยกต่างหากด้วย

แต่ยอดยังห่างไกลจากจำนวนที่เขาต้องการใช้

“ยังเหลือคนถือหุ้นอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์น่ะ เสี่ยวเถียน คิดจะลงเท่าไรหรือ?” นี่คือความหวังสุดท้ายของเขา

“แล้วทำไมพี่ถึงไม่เอาที่เหลือไปเองคะ?”

ถ้าเสี่ยวซื่อถือสามสิบเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเขาจะเป็นตัวการใหญ่และมีอำนาจในการพูด ซึ่งถือได้ว่าดีสำหรับการพัฒนาในภายภาคหน้านะ

คนเป็นพี่ยิ้มขื่น

เขาอยากจัดการเองเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่ว่าสภาพการเงินมันต้องคล่องด้วย แล้วในมือตอนนี้มีเงินอยู่เพียงห้าพันกว่า ๆ เอง แค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ยังไม่พอเลย นับประสาอะไรกับสามสิบเปอร์เซ็นต์

เสี่ยวเถียนเข้าใจ แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้เรื่องใหญ่สำเร็จยากเช่นกัน

“ถ้างั้นหนูจะออกให้สิบเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือพี่สี่เอาไปนะ พี่คงหาวิธีทำให้ได้ใช่ไหม?”

ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เสี่ยวเถียนยินดีให้เสี่ยวซื่อยืมเงินก่อน

เด็กหนุ่มขบคิด สุดท้ายก็พยักหน้าออกมา “เงินทุนที่ต้องหาไม่เยอะมากเท่าไร ถ้าช่วงนี้หาทางทำเงินได้ก็คงพอชดเชยได้บ้าง”

อันที่จริงถ้าเราจะระดมทุน ไม่จำเป็นต้องลงตูมเดียวก็ได้

ส่วนเรื่องซ่อมแซมหรือตกแต่งเป็นงานที่ต้องใช้เวลา เงินที่สั่งสมหลังจากนั้นยังอยู่ในมือเราอยู่ดี

โชคดีที่ช่วงนี้ถือโอกาสทำงานหาเงินมาได้นิดหน่อย

แม้จะยากลำบากพอสมควร แต่ขอแค่ทำเงินได้ส่วนแบ่งร้านที่เขาต้องได้จะมีมากที่สุด

หลังจากคุยเรื่องนี้จบ เสี่ยวเถียนนึกอะไรขึ้นได้

“อิงสถานการณ์ในตอนนี้ ร้านค้าจะยกให้พี่สี่เป็นคนจัดการไปนะ”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน เรามีสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วจึงไม่มีเวลาจัดการเรื่องนี้ ถ้าให้ช่วยเป็นครั้งคราวเราพอรับได้นะ แต่ถ้าให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน

“หนูว่านอกจากพี่สี่เป็นคนมีอำนาจเด็ดขาดในร้านแห่งแล้ว พี่ควรได้รับค่าตอบแทนด้วยนะ”

เสี่ยวซื่อต้องแบกความกดดันทั้งหมดเพียงคนเดียว จึงสมควรแก่การได้รับผลตอบแทน แต่เราต้องพูดให้ชัดเจนกันก่อน เพื่อนที่ว่าในอนาคตจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องเงินจนเกิดการทำลายความสัมพันธ์ขึ้น

“เสี่ยวเถียนมีความคิดอะไรไหม?” อี้หย่วนถาม

การที่พูดแบบนี้แสดงว่าเธอต้องมีความเห็นอยู่

“รายได้สุทธิสามเปอร์เซ็นต์ของร้าน เป็นเงินเดือนพี่สี่ค่ะ ทุกคนคิดเห็นยังไงกันบ้าง?” เด็กสาวแนะนำ

มาตรฐานเงินเดือนแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเงินปันผลเลยจริง ๆ

เหตุผลที่เธอคิดแบบนี้ก็เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นให้พี่ชาย

ทุกคนไม่คิดว่าเสี่ยวเถียนจะเอ่ยเช่นนี้ แต่เราไม่ได้โง่เขลา ฉับพลันก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวซื่อต้องยุ่งอยู่ตลอด ไม่สามารถทำงานให้เราฟรี ๆ ได้ใช่ไหมล่ะ? แถมเราเองก็วิ่งเต้นทำเรื่องธุรกิจมาครึ่งปี รู้สึกถึงความลำบากในเรื่องนี้ดี

สามเปอร์เซ็นต์ไม่ได้มากอะไรเลย

เสี่ยวเหมยยิ้ม “พวกเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะทุก ๆ อย่างต้องยกให้เสี่ยวซื่อจัดการ เขาสมควรที่จะได้รับเงินเดือนนะ อีกอย่างสามเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มากหรือน้อยไปเลย ถ้าเดือนนึงทำเงินได้หนึ่งพันหยวน เขาจะได้เงินแค่สามสิบหยวนเองนะ”

สามสิบหยวนก็ยังดีกว่าทำแล้วไม่ได้อะไรเลยนะ

ทีแรกคนอื่น ๆ ไม่คิดว่ามันน้อย แต่พอได้ยินเสี่ยวเหมยบอกแบบนั้นก็คิดถึงมาจริง ๆ ว่าค่าตอบแทนที่ให้เสี่ยวซื่อมันน้อยจริง ๆ

เสี่ยวเถียนกึ่งยิ้ม “งั้นห้าเปอร์เซ็นต์ล่ะ?”

ทุกคนก็ยังคิดว่ามันน้อยอยู่ดี ทว่ากลับโดนสาวน้อยขัดเอาไว้

“ห้าเปอร์เซ็นต์อาจฟังดูไม่เยอะ ถ้าเราคิดจากฐานเงินหนึ่งพันหยวนค่ะ แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นหนึ่งหมื่นหยวนล่ะ? พี่สี่ พี่อยากได้เงินเดือนละ 50 หรือเดือนละ 500 ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพี่แล้วนะ”

“ผมเห็นด้วยนะ!” ฉืออี้หย่วนเป็นคนแรกที่สนับสนุน

ส่วนคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นกันก็ไม่คัดค้าน

เสี่ยวเหมยก็ด้วย ที่จริงเสี่ยวซื่อไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านอกจากเงินปันผลแล้ว เขายังสามารถได้รับเงินเดือนอีกด้วย เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก

ตอนนี้เขาแทบจะกระโดดโลดเต้นเลยด้วยซ้ำ

“พี่สัญญาว่าจะทำงานให้ดีที่สุด!”

หากรายได้สุทธิคือ หนึ่งหมื่นหยวนต่อเดือน ห้าเปอร์เซ็นต์ที่ว่าเราจะได้ ห้าร้อยหยวน แล้วหนึ่งปีคือ หกพันหยวนเลยนะ เรื่องนี้ต้องทุ่มเทให้เต็มที่ไปเลย

แค่คิดถึงตัวเลขก็ดีใจจนเนื้อเต้น

เสี่ยวเถียนรีบใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

“พี่สี่ อย่าเพิ่งตื่นเต้นมากเกินไปเลย รอเห็นเงินก่อนก็ยังไม่สายนะ!”

ประโยคเดียวที่เรียกสติให้กลับมา ก็จริงอย่างที่ว่า ร้านเพิ่งจะเปิดเราต้องใช้ทั้งเงิน ต้องหาเงิน ไม่รู้ต้องใช้เวลานานขนาดไหน

แต่เพื่อเป้าหมาย เสี่ยวซื่อยอมเทหมดหน้าตัก

วันต่อมา เด็กหนุ่มทุ่มเทไปกับการซ่อมแซมและตกแต่งร้าน รวมถึงหาเงินไปด้วย

เขายังต้องไปเรียนและทำธุรกิจอื่นอีกเล็กน้อย แต่เดิมที่ยุ่งอยู่แล้วผนวกหน้าที่ใหม่เข้าไป จึงผอมลงอย่างเห็นได้ชัด

แม้แต่คุณย่าซูที่รักและเอ็นดูแต่เสี่ยวเถียนยังคิดว่าควรบำรุงร้านชายสักหน่อย

ทุกครั้งที่หลานคนนี้กลับมา หญิงชราจะทำซุปให้

แกพูดพร่ำ “ทำไมทำงานหนักจังเลยล่ะ? หลานเป็นนักเรียนนะ ตั้งใจเรียนก็พอแล้ว เรื่องหาเงินให้ย่ากับปู่ดีกว่าไหม?”

เสี่ยวซื่อยิ้มบาง ๆ เงินที่ปู่ย่าหามาก็เป็นของปู่ย่า เขาไม่สนใจหรอก

เพราะการใช้เงินตัวเองมันสบายใจกว่าเยอะ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]

Status: Ongoing
ซูเสี่ยวเถียนผู้มีชีวิตล้มลุกคลุกคลานได้ย้อนเวลามายังยุค 70 แล้วเกิดใหม่ในร่างเดิมครั้งเมื่ออายุ 7 ขวบ ผู้ซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยพี่ชายสุดคลั่งรักเก้าคน โดยการทะลุมิติในครั้งนี้มีระบบวิเศษติดตัวมาด้วย คือ ‘ระบบอ่านหนังสือ’ ซึ่งมาพร้อมกับห้องสมุดส่วนตัว เธอสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่มีปัญหาใดที่หนังสือไม่อาจแก้ไขได้ แต่หากแก้ไขไม่ได้ล่ะ? ก็อ่านหนังสือเพิ่มอีกสักสองเล่มแล้วกัน! หากว่ายังไม่พอก็อ่านเพิ่มอีกสักหลายเล่มหน่อย เธอไม่เพียงแต่อ่านมันคนเดียวเท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวพี่ชายสุดแสบทั้งเก้าให้อ่านหนังสือกับเธออีกด้วย ทั้งยังชักชวนให้ผู้เป็นบิดาและมารดาให้มาอ่านหนังสือด้วย แม้แต่คุณปู่และคุณย่าก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้!เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จะได้รับรางวัลเป็นของตอบแทน ยิ่งทำภารกิจสำเร็จมากเท่าไร ก็จะได้รางวัลมากขึ้นเท่านั้น! ความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการอ่านหนังสือจะทำให้เส้นทางชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท