บทที่ 780 หลุดพ้นจากปัญหา
บทที่ 780 หลุดพ้นจากปัญหา
เสี่ยวเถียนโบกมือลา ทิ้งอี้หย่วนไว้ท่ามกลางความยุ่งเหยิงในสายลม สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เดินกลับบ้านไปเท่านั้น แต่ตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะพาปู่มาร่วมวงกินข้าวด้วย
ตอนเสี่ยวเถียนมาถึง พี่ชายทั้งสองกลับมาก่อนแล้ว
“พี่แปด พี่เก้า เป็นยังไงบ้าง?” เสี่ยวเถียนทิ้งกระเป๋าแล้วถามทันที
“ก็พอได้” เสี่ยวปาเอ่ยด้วยใบหน้าสดใส
เสี่ยวจิ่วเองก็มีสีหน้าไม่ได้ต่างกันเท่าไร
เหมือนว่าเขาจะทำได้ดีกันนะ อันที่จริงเธอห่วงเรื่องของพวกเขาอยู่ กลัวว่าจิตใจพี่ ๆ ทั้งสองจะโดนทำลายเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้
สามพี่น้องเริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง และภายในเวลา 20 นาที เสี่ยวเถียนก็รู้เรื่องราวทั้งหมด
พวกเขาใช้วิธีที่ต่างกัน แต่สามารถปราบเพื่อน ๆ ได้อยู่หมัด ผลลัพธ์ที่ได้ยังเหมือนกันด้วย
สรุปก็คือพวกเพื่อน ๆ ที่อายุมากกว่าเลิกปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างโหดร้าย แต่ถึงกลับยกย่องบูชาเขาด้วยซ้ำ
เสี่ยวปาใช้วิธีการต่อสู้ ส่วนเสี่ยวจิ่วใช้ทางคำพูด
วิธีของพี่แปดเหมือนที่เธอเคยทำตอนอยู่มัธยมต้น ถ้าไม่ยอมรับก็มาสู้กัน สู้จนกว่าจะยอม เพราะพี่แปดไม่มีทางสู้กับคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว ถ้าฝ่ายนู่นยั่วยุ วิธีที่ง่ายที่สุดคือทำให้มันเสียเปรียบซะ
เสี่ยวปาเก่งในการเลือกคู่ต่อสู้มาก
คนแรกที่เลือกคือคนที่พูดจาหยาบคายกับเขา เพื่อนคนนี้เหมือนจะรับมือยาก หลังจากทำให้เสียหน้าก็ชกเข้าไปทีนึง การต่อสู้ไม่ควรเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย แต่เสี่ยวปาก็ยังทำเพราะฝ่ายนั้นทั้งยั่วโมโหและพูดจาดูถูก
เขาเก่งกาจในเรื่องการต่อสู้ นอกจากทำให้เจ็บปวดมากแล้วยังไม่ทิ้งร่องรอยไว้ภายนอกให้เห็นอีกด้วย
ทางมหาวิทยาลัยทราบเรื่องราวแล้ว แต่คิดว่าพวกเขาแค่ขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงไม่ได้เข้ามาแทรกแซง หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ จึงไม่กล้าพูดจาไม่ดีใส่เสี่ยวปาอีก หลาย ๆ คนเริ่มสนใจเสี่ยวปามากขึ้น
ความคิดที่มีต่อเขาพลันเปลี่ยนไป ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นเด็ก แต่ปฏิบัติเป็นผู้ชายคนหนึ่งจริง ๆ
พวกผู้ชายก็แบบนี้แหละ แค่แข็งแกร่งก็พอแล้ว
การเผชิญหน้ากับคนอ่อนแอ เรามักคิดว่าตัวเองเก่งเสมอ แต่เมื่อเจอคนที่แข็งแกร่งกว่ากลับพ่ายแพ้ในทันที
หลังจากมีชื่อเสียง มันไม่ใช่ทุกคนที่จะมั่นใจในฝีมือเสี่ยวปา
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองเก่งอยากจะท้าทายเสี่ยวปา สุดท้ายก็ซ้ำรอยเดิมโดนจัดการอย่างง่ายดาย
คนทั้งสามที่โดนจัดการไม่กล้าข่มเหงเด็กหนุ่มคนนี้อีกแล้ว
ไม่ใช่แค่นั้นนะ ยังปฏิบัติต่อกันอย่างดีอีกด้วย
ส่วนพวกผู้หญิงไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกดีหรือไม่ดีต่อเสี่ยวปาหรือเปล่า แต่บอกได้ว่าเขาสามารถตั้งหลักในห้องได้แล้ว
เทียบกับวิธีการอันหยาบคายของเขา วิธีของเสี่ยวจิ่วมีอารยธรรมมากกว่า นั่นคือพิชิตเพื่อนร่วมชั้น ถึงจะไม่ได้เรียนเก่งเท่าเสี่ยวเถียน แต่ก็ยังถือว่าเก่งมาก กอปรกับมีน้องเป็นแบบอย่างของตัวเอง เขาเลยได้อ่านหนังสืออยู่หลายเล่มมากกว่าหมื่นประเภทด้วยซ้ำ
แถมความรู้ด้านการแพทย์ยังสอนโดยเสี่ยวเถียนอีก นักเรียนหัวกะทิที่มีความคิดมากกว่าตัวอาจารย์
เพราะงั้นตอนเสี่ยวจิ่วเสนอความคิดตัวเองออกไปและโต้แย้งเรื่องใหม่ ๆ ในคาบเรียน เขาได้รับคำชมจากอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง ต้องบอกเลยว่าอาจารย์ที่สอนคือปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน เขาคือ ซุนเจียหยาง
ข่าวลือว่าคนผู้นี้ร่ำเรียนทักษะทางการแพทย์กับหมอหลวงจากราชสำนัก ถึงจะเรียนมาแค่ไม่กี่ปี แต่ความสามารถเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม
ช่วงเริ่มก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซุนเจียหยางมีความคิดที่จะรับใช้ชาติจึงไปเป็นอาจารย์ในคณะแพทยศาสตร์
ไม่คิดเลยว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปี จะต้องเผชิญกับเหตุสุดวิสัยบางอย่าง
เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในชนบทหลายปี หลังจากกลับมาอายุอานามก็มากแล้ว ทำให้ชายชราซุนเจียหยางได้แต่นึกเสียใจ ไม่มีใครมาสืบทอดวิชาจากเขาเลย
ความสามารถเหล่านี้จะสูญหายไปแล้วใช่ไหม?
เพราะแบบนี้เขาเลยยังคงสอนและให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ในคณะ พร้อมทั้งหาคนที่จะมาสืบทอดความรู้ที่มี
คณะแพทยศาสตร์ในตอนนี้ไม่ได้เรียนแค่แพทย์แผนจีนเท่านั้น เรายังมีแพทย์แผนตะวันตกด้วย
เขาทำหน้าที่สอนนักศึกษาปี 1 ทุกปี ตอนนี้ก็ผ่านมาสามรุ่นแล้วยังไม่เจอคนที่เหมาะสมเลย
อย่างแรกคือหลายปีมานี้คนเริ่มเชื่อว่าแพทย์แผนตะวันตกสามารถรักษาโรคภัยให้หายได้ และไม่เชื่อมั่นในแพทย์แผนจีน เลยทำให้คนเรียนสายนี้น้อยลง
อย่างที่สองคือมันมีคนที่อยากเรียนหมอ แต่ซุนเจียหยางค่อนข้างจุกจิกและไม่ชอบ
ผ่านมาสามปีก็ยังไม่เจอลูกศิษย์ที่แท้จริงเลย
ใช่ เขาหมายถึงลูกศิษย์ ไม่ใช่นักเรียน
ไม่คิดเลยว่าปี 1 ปีนี้จะมีเด็กคนหนึ่ง อายุน้อย มีใจรักเรียน มีความรู้ด้านการแพทย์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะแพทย์แผนจีน ตั้งแต่ที่เห็น เขาก็สนใจเสี่ยวจิ่วมากขึ้น ถึงจะไม่ได้พูดอะไรมากแต่คอยเฝ้ามอง และฟังการอภิปรายของเด็กคนนี้กับเพื่อนในห้องอย่างเงียบ ๆ
คาบต่อ ๆ มา ถึงเสี่ยวจิ่วจะไม่ได้เป็นฝ่ายอภิปรายแล้ว แต่เขาก็ยังถามคำถามเพื่อให้นักศึกษาคนอื่นได้อภิปรายอยู่ดี
ช่วงสองสัปดาห์ก่อนและหลังจากนั้น เสี่ยวจิ่วต้องโต้แย้งกับเพื่อนมากถึงเจ็ดครั้ง และทุกครั้งที่สรุปผล จะมีคนเป็นคนยืนยันให้
สองคาบหลังจากนั้น ซุนเจียหยางได้พูดถึงปัญหาบางอย่างที่เสี่ยวจิ่วมีความเข้าใจให้ฟังอย่างจริงจัง
เดิมทีเพื่อนร่วมห้องต่างดูถูกเขา คิดว่าเด็กไม่รู้ความแสร้งทำเป็นหมาป่าอวดหาง*[1] ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ไม่คิดเลยว่าขนาดอาจารย์อาวุโสที่มีชื่อเสียงยังให้คำยืนยันกับเด็กคนนี้
ยิ่งกับบางประเด็นที่สองคนนี้ถกกันเป็นเรื่องเข้าใจยากด้วยซ้ำ คนที่ได้ฟังก็ได้แต่รู้สึกมหัศจรรย์เหลือเกิน ในไม่ช้าชื่อเสี่ยงของเสี่ยวจิ่วแพร่ขยายเป็นวงกว้าง ไปจนถึงหูรุ่นพี่ปีสอง สาม และสี่
แต่ก็มีบางส่วนนะ ที่เข้าหาด้วยใจคิดจะหาเรื่อง
กลับกลายเป็นว่าเสี่ยวจิ่วดันพูดความรู้วิชาชีพหลายอย่างขึ้น แม้จะมีบางเรื่องที่ตอบไม่ได้ แต่ยังคงให้คำแนะนำด้วยท่าทางเคารพเป็นอย่างมาก
เพราะแบบนี้ต่อให้มาจับผิดก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เลยขอความช่วยเหลือและให้ช่วยตอบคำถามอย่างถ่อมตัวแทน
หลังจากมีเหตุการณ์แบบนี้ หลาย ๆ คนเชื่อแล้วว่าเสี่ยวจิ่วคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่สมควรได้รับชื่อเสียง
รวมเข้ากับสิ่งที่น้องสาวสอนมา เสี่ยวจิ่วใช้ประโยชน์จากที่ตัวเองอายุน้อยใช้วิธีสันติและปราบทุกคนในห้องอย่างว่องไว เพื่อหลุดพ้นจากปัญหา เราไม่จำเป็นต้องจัดการคนหมู่มากก็ได้ แต่ให้จัดการไปทีละคนจะดีกว่า
[1] กลัวคนอื่นจะมองข้ามหรือมองไม่เห็นตน