เทพสงครามอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 31

ตอนที่ 31

บทที่ 31 คนในตระกูลสวี คุกเข่าเพื่อขมา !
นับจากวันนี้ จะไม่มีตระกูลหยางอีกต่อไปแล้ว!
เพียงแค่ประโยคสั้นๆก็มากเพียงพอที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหวั่นไหว!
ตระกูลหยาง ถือเป็นตระกูล​ที่ใหญ่อันดับสองแห่งเมืองหรงเฉิง จะพินาศง่ายง่ายได้อย่างไร?
คำพูดนี้เอ่ยจากปากเย่เทียน ไม่มีใครกล้าที่จะยะโต้แย้ง!
เมื่อนึกคิดถึงความโหดเหี้ยมของเย่เทียนนั้นแล้ว ในเมื่อเขากล้าพูดถึงเพียงนี้ แปลว่าเขาต้องมีความมั่นใจอย่างมาก.
“เย่เทียน นายอย่าอวดดีนักเลย”
หยางไห่ซานขบเขี้ยวกำรามพูดออกมา
วันนี้ ไม่ว่าจุดจบจะเป็นยังไง ชื่อเสียงของตระกูลหยางนั้น ถือว่าเป็นอันจบสิ้นแล้ว
เย่เทียนเอามือเท้าหลัง แล้วมองหน้าเขาเบาเบา“หยางไห่ซาน ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็ขุกเข่าลงเถอะ”
“ต่อหน้าเทียนเฉิง บอกไปสิว่าท่านได้ทำบาปอะไรไว้บ้าง”
หยางไห่ซานสีหน้าเกร็งกล้ามเนื้อจนมีหยดนํ้าไหลออกมาได้ การที่ต้องเผชิญกับคำพูดขู่เข็นของเย่เทียน เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
“สมกับที่เป็นเย่เทียนจริงจริง คำพูดช่างโอหังนัก”
มีเสียงทุ่มตํ่าดังเข้ามา เห็นเพียงชายวัยกลางคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหยางไห่ซานอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การคุ้มครองดูแลของบอดี้การ์ดนับสิบคน
“หลี่ฉงหนิง? ไม่คิดว่าแม้แต่เขาก็มา! ”
“ใช่ ทีนี้มีเรื่องสนุกให้ได้ดูแล้ว”
เมื่อฝูงชนฮือฮา ผู้นําหลี่ หลี่ฉงหนิง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ผู้ซึ่งมีอิทธิพลแห่งเมืองหรงเฉิน ได้ปรากฏตัวขึ้นเป็นคนที่สอง
ขณะนี้ ทุกย่างก้าวและการกระทำของทั้งสี่ตระกูลใหญ่ ถือเป็นตัวแทนของตระกูล
และอาจถือเป็นตัวแทนแห่งเมืองหรงเฉินเลยก็ว่าได้
หลี่ฉงหนิง คงไม่ได้มาแค่ดูเรื่องสนุกเท่านั้นแน่
“ฉันหลี่ฉงหนิง ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามคุณแย่มานาน วันนี้ได้พบเจอ ช่างสมกับคำลํ่าลือยิ่งนัก”
หลี่ฉงหนิงทักทายแบบเจือนจาง เมื่อเห็นตรงข้ามมีแค่เย่เทียนและหลินขุยเพียงสองคน
จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สำหรับสิ่งนี้ เย่เทียนไม่ได้เแสดงสีหน้าใดฯออกมา
“สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลหลี่ ถ้าไม่อยากตาย ก็ไสหัวไปซะ”
ถ้าไม่อยากตาย ก็ไสหัวไปซะ?
สีหน้าและแววตาของหลี่ฉงหนิงเกรงขรึมขึ้นมา เย่เทียนผู้นี้ ช่างหยิ่งยโสโอหังดั่งคำลํ่าลือกันจริงฯ
เสมือนไม่มีใครอยู่ในสายตา
“เย่เทียน นี่คือเมืองหรงเฉิน ให้ฉันไสหัวไป เกรงว่านายอาจจะยังไม่มีสิทธิ์นั้นพอนะ”
“คุณเย่บอกให้นายไสหัวไป นายก็ต้องไสหัวไป”
หลินขุยก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เสียงสนั่นดั่งฟ้าร้อง
“อย่าถือตัวดีนัก”
สีหน้าของหลี่ ฉงหนิงเงียบขรึม
“เย่เทียน นายอาจสั่งฟ้าดินได้ แต่ดูเหมือนยังยุ่งกับฉันมิได้กระมัง? ยังไงวันนี้ฉันก็จะไม่ไปไหน
ดูสิว่านายจะทำอะไรฉันได้! ”
เดิมทีนั้นหลี่ฉงหนิงมิได้ตั้งใจที่จะเข้ามาผัวพันเรื่องนี้ เพียงแค่เย่เทียนลดความหยิ่งยโสสักนิด
ทีแรกเขาก็กะจะมาแค่ร่วมสนุกเพียงเท่านั้น
แต่เย่เทียนผู้นี้ กลับหยิ่งยโสโอหังยิ่งนัก ฉนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกังวลอีกต่อไป
เย่เทียนจ้องมองตรงไปที่ข้างหน้า: “ในเมื่อไม่ไสหัวไป งั้นเดียวก็มาขุกเข่าพร้อมกับตระกูลสวีละกัน”
การกระทำของเย่เทียน เหมือนเมินใส่เขา หลี่ฉงหนิงโกรธจนกัดฟันแน่น กำลังจะเอ่ยปาก ก็เห็นคนอีกหลายคน
มายืนตรงหน้าเขา
“จุ๊จุ๊ วันนี้ทำไมที่นี่คึกครึ้นจังเลย แแบบนี้จะขาดตระกูลจ้าวของฉันไปได้อย่างไรละ? ”
ทุกคนต่างตกใจ ถึงแม้คนที่กล่าวพูดมิได้มีตัวสูงมากนัก แต่ก็มีความเกร็งขามอยู่ไม่น้อย
ถ้าไม่ใช่จ้าวหมิงเซิงจะเป็นใครไปได้ละ หลังจากตระกูลหยางและตระกูลหลี่แล้ว บัดนี้คนของตระกูลจ้าวก็มา
สี่ตระกูลใหญ่แห่งหรงเฉิง ได้แสดงตัวแล้วสามตระกูล ปรากฏการเช่นนี้ แทบจะเป็นประวัติการณ์
“พี่หยาง พี่หลี่ กระผมผู้เป็นน้องได้มาช้าไปหนึ่งก้าว ขออภัยด้วยเถอะ”
จ้าวหมิงเซิงยิ้มทักทายหยางไห่ซานและหลี่ฉงหนิง จากนั้นค่อยมองไปทางเย่เทียน
“คุณเย่ ยินดีที่ได้รู้จัก ตระกูลจ้าวของฉันก็มาร่วมสังสรรค์ด้วย คุณเย่คงไม่ถือสานะ? ”
อย่าได้เห็นว่าคำพูดวาจานั้นจะสุภาพ ทุกคนมิกล้าเพิกเฉยต่อพลังและอำนาจของจ้าวหมิงเซิงเลย
คำนานที่ว่า เสื้อยิ้มได้ มันไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
“แล้วแต่ท่าน! ”
เย่เทียนพ่นคำออกมาแบบแผ่วเบา หันหลังให้กับทุกคนและหลับตาตั้งจิต แล้วไม่สนใจอะไร
หลินขุยไม่ได้พูดอะไร ราวกับรูปปั้น ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างกายเย่เทียน
เห็นได้ชัดว่า เย่เทียนนั่นกำลังรอ รอการปรากฏตัวของใครบางคน
ตระกูลสวี!
ผู้นำทั้งสามสบตากัน แล้วยืนมองดูกันอย่างเงียบ รอให้ตระกูลสวีมาถึงแล้วค่อยวางแผนกันอีกที
เพราะไม่มีใครอยากเป็นนกสอดรู้
ผู้คนที่มาดูความครึกครื้น ในใจนั้นทั้งตื่นเต้นและหายใจแผ่วเบาเฝ้ารอคอย
อย่ามองว่าคนที่ติดตามผู้นําทั้งสามมาด้วยนั้นเป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดธรรมดาฯ
เมื่อพวกเขากล้าที่จะมาแล้ว นั้นหมายความว่าพวกเขาต้องมีแผนสำรองแน่นอน
มือสังหารที่แท้จริง ล้วนถูกอำพรางตัวอยู่ในที่มืด
เวลาผ่านไปเรื่อยฯ สายฝนปอยฯยังคงตกเรื่อยฯ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ร่างกายของทุกคนชึ้นชุ่มและเปียกเล็กน้อย มีแต่เย่เทียน ที่ไม่โดนนํ้าฝนแม้แต่หยดเดียว
เขายืนนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้นและไม่ขยับเขยื้อนเลย
เย่เทียนไม่ขยับตัว คนอื่นก็ไม่กล้าขยับตัวเช่นกัน
ทั้งสองฝ่าย ต่างยืนกรานอยู่เช่นนั้น
จน ณ เวลานึง เย่เทียนลืมตา สายฝนบนท้องฟ้า ราวกับหยุดไปพักนึง
“ตระกูลสวีมาแล้ว! ”
ท่ามกลางฝูงชน ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา ทุกคนรีบหันหน้าไปมอง แล้วอ้าปากค้างทันที
เห็นเพียงใต้เชิงเขา มีคนกลุ่มใหญ่เดินมาทางหุบเขา ประมาณสามสิบคนได้
ดูเหมือนว่า ทั้งตระกูลสวี ต่างพากันมาหมด
ไม่เพียงแค่นั้น คนที่เดินนำหน้า ก็คือท่านหญิงสวีนั้นเอง
สวีเทียนหมิงและหลินเสว่ยืนอยู่ซ้ายขวา คนนึงประคองท่านหญิงสวี ส่วนอีกคนกางร่ม
เดินมาทางหุบเขาทีละก้าวทีละก้าว
“อืม ท่านหญิงสวี รู้สึกว่าสิบปีมานี้ท่านหญิงสวีไม่เคยออกจากบ้านสวีเลยกระมัง? ”
“ใครว่าไม่ใช่ละ? เสมือนตระกูลสวีคงโดนเย่เทียนบีบคั้นอย่างจัง ดูท่าสมาชิกในตระกูลสวีต่างพากันมาทุกคน”
“จุ๊จู๊ วันนี้มาของจริงแน่เลย มีเรื่องสนุกฯให้ชมแล้ว”
ท่านหญิงสวีมาด้วยตัวเอง สร้างความครื้นเครงขึ้นมาไม่น้อย
ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลสวีก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีฐานะอำนาจบารมีแห่งเมืองหรงเฉิง
ผู้ที่สามารถทำให้ตระกูลสวีตื่นตระหนกได้แบบนี้ ดูท่าก็จะมีแต่เย่เทียนคนเดียวเท่านั้น
ส่วนด้านหลังคือตระกูลหลิน ถูกมองข้ามไปโดยปริยาย
ท่านหญิงสวีเดินทางมาด้วยตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ผู้นำทั้งสามตระกูลก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
ทุกคนหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ
“หรงเฉิงนั้นถือว่าเป็นเมืองอันดับต้นต้น ทำไมถึงยังมีสถานที่รกร้างเช่นนี้ได้ ถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาแล้ว ภูเขาซิ่วเสว่ ถึงเวลาที่ควรเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นพื้นที่ราบแล้ว”
เมื่อเห็นดินโคลนที่เลอะติดขอบรองเท้าที่เย็บปักถักร้อยมาอย่างประณีต ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของท่านหญิงสวีขมวกเข้าหากันเป็นก้อน
คนตระกูลสวีที่อยู่ด้านหลังรีบเอาเก้าอี้หวายที่ยกขึ้นมาอย่างยากลำบากมาวางไว้ที่ด้านหลังของท่านหญิงสวี พร้อมด้วยท่อนรองไว้สำหรับวางเท้า
สวีเทียนหมิงพยุงท่านหญิงสวีให้นั่งลงบนเก้าอี้หวาย เท้าทั้งสองข้างวางบนท่อนรอง เสมือนกลัวรองเท้าจะสกปรกยิ่งขึ้นไปอีก
หลินเสว่กางร่มอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าท่านหญิงสวีโดนนํ้าฝนสาดใส่ แม้เสื้อผ้าของเธอนั้นจะเปียกไปครึ่งแล้วก็ตามแต่เธอก็ไม่สนใจมันเลย
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้นำทั้งสามของอีกสามตระกูลรู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย
เพราะการปะทะกับเย่เทียน หากไม่ทันระวังตัว ก็อาจจะถึงแก่กรรมตายได้
แต่ดูทีท่าของท่านหญิงสวีแล้ว ราวอย่างกับมาพักผ่อน
ตอนนี้ ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ได้มารวมตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นตัวแทนที่ใหญ่แข็งแกร่งและมีพลังแห่งเมืองหรงเฉิง
ทั้งสี่ตระกูลใหญ่รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อสู้กับศัตรู เมื่อสามปีก่อนหลังจากที่ตระกูลหลิ่วถูกทำลายเผาล้างแล้ว นี่คือการรวมตัวอีกครั้งในรอบสามปีมานี้
และในครั้งนี้ พลังและอำนาจยิ่งใหญ่มากขึ้นยิ่งนัก
เมื่อเห็นป้ายชื่อสวีเทียนเฉิงหน้าหลุมฝั่งศพ สวีเทียนหมิงกับหลินเสว่ก้มหน้าลง ราวกับว่าหวาดกลัว พวกเขาดูเหมือนคนทำผิด ใบหน้าวิตกกังวล
สมาชิกทุกคนของตระกูลสวีก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ท่านหญิงสวีนั่งนิ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองไปที่ป้ายชื่อหลุมฝังศพ ก่อนจะจ้องมองไปที่เย่เทียนด้วยสายตาที่ดุเดือด
“เย่เทียน พวกฉันอยู่ที่นี่แล้ว บอกคนของแก ออกมาได้แล้ว”
นางไม่เชื่อหรอกว่า เย่เทียนกับพวกรวมกันจะมีเพียงสองคน นี่รึจะต่อต้านกับสี่ตระกูลใหญ่ได้!
“ก็แค่สี่ตระกูลใหญ่ ฉันเย่เทียนคนเดียวก็เพียงพอแล้ว! ”
เย่เทียนพูดพร้อมกับหมุนตัวหันหลังอย่างไว!
“คนในตระกูลสวี คุกเข่าลงเพื่อขอขมา! ”

เทพสงครามอันดับหนึ่ง

เทพสงครามอันดับหนึ่ง

Status: Ongoing

เขตชายแดนประเทศหลงประสบกับการรุกราน ผู้รุกรานมีมหาอำนาจตะวันตกคอยหนุนหลังอยู่ผ่านการฟันฝ่าสู้รบมา10ปี ความวุ่นวายในเขตชายแดนถูกกวาดล้างเย่เทียนกลายเป็นจอมพลสี่ดาวที่มีอายุน้อยที่สุดแห่งประเทศหลงถูกองค์กรกลยุทธ์การรบโลกพิจารณาและคัดเลือกเป็นหนึ่งในสิบมหาเทพสงครามของยุคใหม่ในขณะเดียวกัน กลับสู่บ้านเกิด ล้างอธรรมให้เพื่อน ตามหาพื้นเพประสบการณ์ในชีวิตของตน เรียกความยุติธรรมคืนให้กับแม่!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท