ตอนที่ 466 สัมผัสที่คุ้นเคย
ตอนที่ 466 สัมผัสที่คุ้นเคย
เฟยเกอหันกลับมามองทางนี้พอดี อวี้ชิงลั่วหรี่หางตาลงเล็กน้อย ก้าวเท้าเดินสองก้าว จู่ ๆ ก็เดินสะดุดพร้อมกับร่างกายที่เอนไปด้านหน้า
เฟยเกอตาไวมือไว รีบกระโดดมาตรงหน้านางภายในพริบตาเดียว พร้อมกับใช้มือประคองร่างของนางเบา ๆ ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “องค์หญิง ไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ”
“ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้ามาก” อวี้ชิงลั่วฉีกยิ้มมุมปาก ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจัดชุดตนเอง ก่อนจะโยนกำไลที่อยู่ในมือไปด้านข้าง
กำไลชิ้นนั้นกลิ้งขลุก ๆ ไปด้านหน้า จนกระทั่งกลิ้งเข้าไปด้านในมุมหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
อวี้ชิงลั่วส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “ว้าย กำไลของข้า”
“องค์หญิงถอยไปด้านหลังหน่อยเพคะ หม่อมฉันจะไปหยิบมาให้” เฟยเกอเป็นกังวลว่าอวี้ชิงลั่วจะล้มอีก จึงรีบประคองนางมายืนให้ดี ดวงตาของนางเฉียบคม ตั้งแต่เข้าประตูวังก็ค้นพบว่าการก้าวเดินของอวี้ชิงลั่วดูไม่เป็นธรรมชาติ เกรงว่าคงไม่คุ้นชินกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ ภายในใจของเฟยเกอจึงไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ จากการที่อวี้ชิงลั่วยืนไม่มั่นคงจนเซมาด้านหน้า
“รบกวนเจ้าแล้ว” อวี้ชิงลั่วยิ้มให้อีกฝ่าย เฟยเกอปล่อยมือและก้าวเท้าไปด้านหน้าสองสามก้าว ก่อนจะแหวกผ้าคลุมโต๊ะเพื่อมุดเข้าไปด้านใน
สีหน้าของอวี้ชิงลั่วผ่อนคลายลง นางก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาและสงบเสงี่ยม ไม่ได้มีท่าทีของการเดินโอนเอนไปมาแม้แต่น้อย ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ร่างของนางก็มายืนด้านหลังของเฟยเกอแล้ว นางย่อตัวลงอย่างช้า ๆ ก่อนจะดึงของชิ้นนั้นออกมาจากซอกหลืบ
ทว่าตอนที่มือของนางเพิ่งจะสัมผัสโดน มุมปากของนางถึงกับขึงตึงอย่างห้ามไม่อยู่
สัมผัสนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก เนื้อผ้านี้…ให้ความรู้สึกเหมือนกับผ้าผืนนั้นที่นางเจอในห้องของแม่นมเก๋อ มีความเรียบเนียน ปลายนิ้วของนางรู้สึกราวกับจุ่มลงไปในลำธารใสสะอาด รู้สึกสบายมากเป็นพิเศษ
“องค์หญิง เจอแล้วเพคะ” จู่ ๆ เสียงของเฟยเกอก็ดังขึ้นข้างหูของนาง
อวี้ชิงลั่วรีบหักห้ามความคิด ก่อนจะซ่อนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอย่างเงียบ ๆ เอนตัวไปทางเฟยเกอ “ขอบใจเจ้ามาก”
เฟยเกอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดกำไลให้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะยื่นให้อวี้ชิงลั่วอย่างเคารพนอบน้อม
อวี้ชิงลั่วรับไปและสวมใส่ลงบนข้อมือขวาของตนเอง แกว่งไปมาเบา ๆ พลางพึมพำกับตัวเอง “กำไลชิ้นนี้ดูเหมือนจะใหญ่ไปหน่อย กลับไปคงต้องให้แม่นมเซียวเอาไปเปลี่ยนแล้ว”
เฟยเกอเดินนำทางอยู่ข้าง ๆ ครั้นได้ยินก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “องค์หญิงสวมใส่กำไลชิ้นนี้งดงามจริง ๆ เพคะ หากนำไปเปลี่ยนคงรู้สึกเสียดายแย่เลย อันที่จริงนำไปปรับแก้ที่ร้านเครื่องเงินสักหน่อยก็ได้แล้วเพคะ”
“เจ้าพูดถูก” อวี้ชิงลั่วตอบอย่างสบาย ๆ แม่นมเซียวที่อยู่ปรนนิบัติข้าง ๆ เดินมาถึงด้านหน้าแล้ว เมื่อเห็นเฟยเกอ นางทำแค่เพียงพยักหน้าให้ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะเดินออกจากตำหนักอี๋ซิ่งไปพร้อมกัน
สิ่งที่น่าแปลกก็คือ เกี้ยวที่จอดอยู่ด้านนอกก่อนหน้านี้ออกไปตั้งแต่เมื่อไรมิอาจทราบได้
แม่นมเซียวถึงกับแสดงสีหน้าไม่พอใจ นางรู้ดีว่าอวี้ชิงลั่วสวมใส่ด้วยเสื้อผ้าเช่นนั้น หากไม่มีเกี้ยว เกรงว่าอีกครู่หนึ่งนางคงเดินจนรู้สึกหงุดหงิด ยิ่งไปกว่านั้น รถม้าของพวกนางก็จอดอยู่หน้าประตูวัง อยู่ห่างจากที่นี่ไกลมาก
“แม่นางเฟยเกอ องค์หญิงของเราเหนื่อยแล้ว ไม่ทราบว่าพอจะให้คนยกเกี้ยว…”
“แม่นม” อวี้ชิงลั่วยกมือหยุดคำพูดต่อจากนั้นของนาง ทำแค่เพียงเบี่ยงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ได้ยินมาโดยตลอดว่าพระราชวังของอาณาจักรเฟิงชางงดงามโอ่อ่า เมื่อวันก่อนก็มาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้เดินดูอย่างละเอียด วันนี้ยังเช้าอยู่พอดี ข้าอยากสัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างพระราชวังอาณาจักรเฟิงชางและอาณาจักรเทียนอวี่สักหน่อย แม่นางเฟยเกอ ขอเจ้าช่วยนำทางให้ได้หรือไม่?”
เฟยเกอชะงักไปครู่หนึ่ง เดิมทีนางได้รับคำสั่งจากเหมิงกุ้ยเฟยให้พาอวี้ชิงลั่วเดินไปทางอุทยานอวี้ฮวา เมื่อครู่ตอนที่แม่นมเซียวเอ่ยถาม ภายในใจของนางก็มีคำตอบไว้ก่อนแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร อวี้ชิงลั่วกลับทำราวกับอ่านความคิดของนางได้ จึงเอ่ยออกมาก่อน
สีหน้าของเฟยเกอฉายแววตกประหม่าเล็กน้อยเพราะถูกอีกฝ่ายล่วงรู้แผนการ จึงยิ้มแห้ง ๆ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ได้นำทางให้องค์หญิงถือเป็นความโชคดีของหม่อมฉัน เชิญองค์หญิงทางนี้เพคะ”
แม่นมเซียวหันมองอวี้ชิงลั่วอย่างไม่เข้าใจ แม้นางจะรู้ดีว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่ได้มีเจตนาดีต่อท่านอ๋องซิวและอวี้ชิงลั่ว ทว่าแม่นมกลับไม่รู้ว่าเมื่อครู่ทั้งสองคนพูดคุยอะไรกันภายในห้องและมีแผนการอย่างไร
ทว่าวันนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่จะมาเดินชมดอกไม้ใบหญ้า แม้ฝนที่ตกตลอดครึ่งวันจะหยุดตกไปแล้ว และฟ้าหลังฝนจะนำความสดชื่นมาให้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีความชื้นสูง ทางเดินก็ลื่น ชุดที่อวี้ชิงลั่วสวมใส่หนาขนาดนี้ เป็นการยากที่จะไม่หกล้มหน้าคะมำ
อีกอย่าง กระโปรงก็จะสกปรกได้ง่ายมาก
ทว่า ในเมื่ออวี้ชิงลั่วไม่คัดค้าน นางย่อมไม่มีอำนาจที่จะห้ามปราม นางก็พอจะรู้ว่าภายในใจของอวี้ชิงลั่วคงมีความคิดบางอย่าง ถึงได้เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้
แม่นมเซียวเงียบเสียง ก่อนจะนำหงเย่ที่มีรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าและจินหลิวหลีที่กำลังครุ่นคิดบางสิ่งเดินตามไป พวกเขากลับก้าวเดินอย่างเนิบช้าด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้รีบร้อน
พระราชวังในช่วงหลายวันมานี้เงียบเชียบกว่าเดิมมาก ฮ่องเต้ไม่อยู่ ฮองเฮาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักของตนเองไม่ออกมา ส่วนไทเฮาก็ไม่คิดจะสนพระทัยเรื่องใด คนเดียวที่ทำให้นางสนมจำนวนมากหวาดกลัว มีแค่เพียงเหมิงกุ้ยเฟย
หลังจากกลับออกมาจากตำหนักอี๋ซิ่งของเหมิงกุ้ยเฟย พวกนางย่อมกลับไปพักผ่อนกันหมดแล้ว
แน่นอนว่ายังมีเรื่องเหนือความคาดหมาย ยกตัวอย่างเช่น คนสองคนที่กำลังพูดคุยเสียงเบาด้วยรอยยิ้มอันงดงามอยู่ด้านหน้า
การก้าวเท้าของอวี้ชิงลั่วหยุดลงทันใด นางมองไปยังคนสองคนที่กำลังนั่งท่องบทกลอนและอ่านตำราด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาภายในศาลาด้านหน้า การแต่งกายของทั้งสองคนดูเรียบง่ายและสง่างามอย่างมาก เส้นผมจัดแต่งไว้อย่างเรียบง่าย ดูจากการแต่งกายแล้ว คงเป็นนางสนมของฮ่องเต้ถึงจะถูก
เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้อวี้ชิงลั่วประหลาดใจก็คือ วันนี้ทั้งสองคนนี้ไม่ได้อยู่ในตำหนักอี๋ซิ่งของเหมิงกุ้ยเฟย และอวี้ชิงลั่วยังไม่เคยได้เห็นพวกนางตั้งแต่ต้นจนจบงาน
เฟยเกอแอบลอบมองสีหน้าของอวี้ชิงลั่ว เมื่อเห็นว่านางกำลังหลุบตาด้วยท่าทางครุ่นคิด จึงไม่ได้รบกวน
ด้านในศาลาทางฝั่งนั้นไม่ได้มีเสียงหัวเราะดังลอยออกมา นางสนมที่อายุน้อยกว่าดูเหมือนจะค้อนอีกฝ่ายด้วยท่าทางโกรธเคือง พูดด้วยความไม่พอใจว่า “ท่านพี่ไม่รู้จักออมมือให้ข้าบ้างเลย แต่งกลอนทุกครั้งก็ดีกว่าข้าตลอด”
สตรีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ เหลือบตามองนางปราดหนึ่ง กล่าวว่า “อย่างอื่นข้ายังพอออมมือให้เจ้าได้ แต่แต่งกลอนคงไม่ได้ ความสนใจเพียงอย่างเดียวของข้าก็คือสิ่งนี้ ต้องให้ข้าได้ทำอย่างสมใจบ้างถึงจะดี”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหันไปมองเฟยเกอพร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่าย
เฟยเกอถึงกับใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ การเผชิญหน้ากับสายตาเช่นนี้ของอวี้ชิงลั่วทำให้นางเกิดอาการตื่นตระหนกเล็ก ๆ เหตุใดนางถึงรู้สึกได้ว่าองค์หญิงเทียนฝูรู้เท่าทันความคิดของเหนียงเหนียงตั้งแต่แรก รู้ว่านางจะเดินนำมาที่อุทยานอวี้ฮวาตั้งแต่แรก รู้ตั้งแต่แรกว่า…นางจะออกตัวแนะนำ…นางสนมสองคนนั้นที่อยู่ในศาลา?
เฟยเกอใจเต้นรัวดั่งตีกลอง ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอวี้ชิงลั่วจึงต้องข่มความประหม่านั้นลงไปอย่างเงียบ ๆ ถอนสายบัวให้นางเล็กน้อย กล่าวว่า “กราบทูลองค์หญิง ทั้งสองท่านภายในศาลา คนที่สวมชุดทางการสีเขียวคือหว่านเฟย ส่วนคนที่สวมชุดทางการสีฟ้าคือเซียวเฟยเพคะ”
อวี้ชิงลั่วยังคงเลิกคิ้วต่อไป คงมีบางอย่างที่ยังไม่ได้พูดกระมัง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ๋ แม่นมเก๋อต้องเป็นคนของใครสักคนในวังนี้แน่ๆ แต่จะอยู่ฝั่งไหนนี่สิ
การเมืองในวังหลังนี่ก็เข้มข้นไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย ถึงไม่ได้สู้กันด้วยกำลังก็สู้กันด้วยเล่ห์เหลี่ยม อาศัยยืมมือคนอื่นจัดการอย่างลับๆ
ไหหม่า(海馬)