ตอนที่ 606 ปานแบบเดียวกับหนานหนาน
ตอนที่ 606 ปานแบบเดียวกับหนานหนาน
คนขับผู้นั้นสีหน้าเศร้าโศก เกาหัวของตนแล้วกล่าวอย่างไม่สู้ดี “คือว่า ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามาที่นี่ได้อย่างไร และข้าก็ไม่รู้ว่าทางด้านนี้… ไม่มีทางไปแล้ว”
อวี้ชิงลั่วลูบหน้าผาก กล่าวสั้นๆ ก็คือพวกเขา… มาถึงทางตันเสียแล้ว
“แต่ว่าแม่นาง ถึงแม้ตรงนี้จะออกไปไม่ได้ แต่เรากลับไปเส้นทางเดิมได้อยู่นะขอรับ” ถึงแม้จะเสียเวลาไปมาก แต่วิธีที่ทำได้แน่นอนก็มีเพียงวิธีนี้
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจ หันกลับไปมองหนานหนานที่ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายอย่างไร ทั้งยังคิดจะจับงูเล่นอยู่ทางด้านนั้น ทำได้เพียงโบกมือแล้วกล่าว “คงทำได้เพียงเท่านี้ล่ะ ท่านรู้ทางกลับใช่หรือไม่”
คนขับผู้นั้นรีบพยักหน้า “ข้ารู้ๆ แม่นางวางใจได้เลย อีกอย่างวันนี้ที่เสียเวลาไป ข้าจะไม่คิดเงินแม่นางขอรับ”
“นี่ๆ” อวี้ชิงลั่วตะโกนเรียกหนานหนานมาขึ้นรถม้า แล้วกลับไปยังทางเส้นเมื่อวานใหม่อีกครั้ง
แต่เมื่อทันทีที่กลับไปยังทางแยกเมื่อตอนแรกนั้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว ถ้าตามทางเดิมไปยังหมู่บ้านต่อไปก็คงจะไปไม่ทันอีกเป็นแน่ จะต้องตั้งกระโจมนอนข้างนอกอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิด จากนั้นก็ให้คนขับรถม้ากลับไปยังเส้นทางไปหมู่บ้านที่ผ่านมาเมื่อวาน พักสักคืนเถิด
คนขับถอนหายใจโล่งอก เขากลัวจะต้องนอนข้างนอกจริงๆ นอนในรถม้านั้นช่างไม่สบายตัวเอาเสียเลย ยุง หนู และมดเยอะถึงเพียงนั้น ทำเอาคนเขาตกใจกันหมด
แต่สิ่งที่อวี้ชิงลั่วคิดไม่ถึงก็คือ การเดินทางที่ล่าช้าของนางในครั้งนี้ จะพอดีกับที่ม้าเร็วของเย่ซิวตู๋และคนอื่นๆ… ผ่านมาถึงพอดี
ทั้งสามคนกลับมายังโรงเตี๊ยมเดิมอีกครั้ง หลังจากนำสัมภาระเก็บแล้ว เวลาก็ยังผ่านไปได้ไม่เท่าไร
หนานหนานกระโดดโลดเต้นอยากไปเดินเที่ยวข้างนอก อวี้ชิงลั่วจึงคิดว่าควรเตรียมเสบียงไว้เสียหน่อย จึงพาเจ้าเด็กน้อยออกจากโรงเตี๊ยมไป
หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่ แต่คนกลับแน่นหนามาก ถึงแม้วันนี้จะอากาศร้อน แต่คนบนถนนก็ยังเดินขวักไขว่ ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
เมื่อวานนี้ไม่ทันได้ดูให้ดีๆ วันนี้เมื่อมาเดินดูก็พบว่าเศรษฐกิจของที่นี่จะเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ แต่ในฐานะของหมู่บ้านเล็กๆ ที่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด คนที่มาทำการค้าที่นี่จึงมีมาก ความคึกคักเช่นนี้จึงถือเป็นธรรมดา
อวี้ชิงลั่วสั่งห่อขนมและของว่างที่หนานหนานชอบกินให้คนส่งไปยังโรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักอยู่ จากนั้นก็พาเจ้าตัวเล็กไปเดินเล่นต่อ
เพียงแต่เดินเล่นตามถนนได้ไม่เท่าไร อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดุด่าเอะอะโวยวายมาจากทางด้านหน้า
ก่อนที่อวี้ชิงลั่วจะทันได้ตอบสนอง หนานหนานก็ปล่อยมือ รีบเบียดเข้าไปในฝูงชนอย่างรวดเร็วแล้ว
เจ้าเด็กบ้านี่ อวี้ชิงลั่วกัดฟันอย่างแรง รีบเข้าไปด้วยกัน
เพิ่งจะจับเอาร่างกายนุ่มนิ่มของหนานหนานเอาไว้ได้ ก็ได้ยินเสียงกล่าวจากทางคนทางด้านข้าง “เด็กคนนี้ช่างน่าสงสารนัก คนผู้นั้นดุด่าแรงเกินไปแล้ว”
“นั่นสิ ก็แค่หลบในรถม้าของเขาเท่านั้นเอง ต้องทำเช่นนี้เลยหรือ”
อวี้ชิงลั่วจึงมองตามทางที่นิ้วคนอื่นชี้ไป ก็เห็นว่าหน้าประตูของโรงเตี๊ยมที่แสนธรรมดาแห่งหนึ่ง มีคนร่างใหญ่สีหน้าดุร้ายกำลังจับเด็กหญิงตัวเล็กๆ เสื้อผ้ามอมแมม ใบหน้าของเด็กคนนั้นเลอะเทอะมากเสียจนเห็นหน้าไม่ชัด
จู่ๆ ชายร่างใหญ่ที่กำลังดุด่านั้นก็หันหน้ามา มองยังสองคนที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่ แล้วกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้าจะไปรู้อะไร นังขอทานนี่ถือโอกาสที่คนไม่ทันเห็น มาซ่อนในรถม้าของข้ากลางดึก ข้าน่ะต้องเข้าเมืองหลวงไปทำธุระ ถ้าหากตอนเข้าเมืองแล้วถูกทหารพบเข้า อาจจะคิดว่าข้าเป็นผู้ร้ายก็ได้ พวกเจ้าดูสิ ดูท่าทางของนางผู้นี้ จะต้องไม่ใช่คนดีเป็นแน่”
ชายร่างใหญ่ผู้นั้นกล่าว พลางบีบคางของเด็กหญิงคนนั้น จับให้หันหน้ามาทางนี้
แล้วอวี้ชิงลั่วก็พบว่าผมของเด็กหญิงถูกดึงไปข้างหนึ่ง เมื่อลองดูดีๆ ก็เห็นว่ากรอบหน้าคมชัด แววตาก็ดูสดใส
ดูเหมือนเด็กผู้หญิงคนนั้นจะตกใจอย่างมาก พยายามออกแรงเตะชายร่างใหญ่ พลางตะโกนของความช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนแม้แต่คำพูดก็ยังพูดไม่ชัด
ชายร่างใหญ่ผู้นั้นถูกนางก่อเรื่องใส่ ยื่นมือออกไปดึงผมของนาง
เด็กหญิงเองก็โกรธเกรี้ยว กัดแขนเสื้อของเขาจนขาดออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ แต่ต่อจากนั้นนางกลับกัดแขนเสื้อแล้วเคี้ยวพลางหัวเราะคิกคัก พยายามจะกลืนลงไป
อวี้ชิงลั่วมุ่นคิ้วในทันที โชคดีที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นก็ตะลึงไปเช่นกัน รีบดึงเศษผ้าออกมาจากปากของนาง
เด็กสาวมองเขาอย่างดุร้ายในทันที พยายามกระโดดเพื่อความเอาเศษผ้าชิ้นนั้น
ทุกคนตกตะลึงไป รีบกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงสารในทันที “เด็กนี่โง่เหลือเกิน พี่ชายผู้นั้น นางน่าสงสารถึงเพียงนี้ ท่านอย่าโทษนางเลย นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจมาหลบในรถม้าของท่านหรอก นางอาจจะแค่เล่นสนุกก็เป็นได้”
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก หนานหนานที่อยู่ข้างๆ และยังไม่ได้กล่าวอันใด จู่ๆ กลับดึงแขนเสื้อของนางแล้วกล่าวเบาๆ “ท่านแม่ๆ”
อวี้ชิงลั่วค่อยๆ โน้มตัวลง เอาหูไปใกล้ๆ ปากของเขา
“ท่านแม่ เด็กหญิงผู้นั้น ดูเหมือนจะเป็นคนที่โดนไล่ฆ่าเมื่อวานเลยขอรับ” ตอนนั้นเขาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเห็นไม่ชัดนัก แต่รู้อย่างแน่ชัดว่าข้างๆ ชายที่ต่อสู้กับคนจำนวนมากอยู่คนเดียว มีเด็กหญิงที่อายุประมาณนี้อยู่
อีกอย่าง เขาเหลือบไปมองเสื้อผ้าของเด็กหญิง ที่ด้านล่างของชายกระโปรงข้างซ้าย มีผีเสื้อรูปร่างแปลกๆ อยู่ตัวหนึ่ง เหมือนกับเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย
อวี้ชิงลั่วบีบนิ้วเกร็ง ดูท่าแล้วเด็กหญิงผู้นี้จะไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
มีคนไล่ฆ่านางจำนวนมากขนาดนั้น ตัวตนของเด็กคนนี้อาจจะไม่ธรรมดาก็เป็นได้
นี่เป็นปัญหาแล้ว… ตอนนี้อวี้ชิงลั่วไม่ต้องการให้มีปัญหาใด ในใจของนางยังคิดถึงแต่แม่นมเก๋อ ต้องไปที่ดินแดนเหมิงให้เร็ว
อีกอย่าง นางมองรูปร่างของชายร่างใหญ่ผู้นั้น น่าจะไม่เป็นปัญหาอันใดกับเด็กสาวผู้นั้นเท่าไรนัก ส่วนอนาคตของนาง ก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของนางเองแล้ว
ที่แท้ชายร่างใหญ่ผู้นั้นก็เป็นคนหน้าตาเย็นชาแต่ใจอ่อน เห็นเด็กผู้นั้นโง่เสียจนพูดไม่ชัด ก็อดไม่ได้ที่จะเห็นใจอยู่เล็กน้อย
ถอนหายใจ เขาทำได้เพียงพยักหน้าแล้วกล่าว “ช่างเถอะๆ ถือว่าข้าโชคร้ายก็แล้วกัน ข้าขอเตือนเลยนะ ต่อไปอย่ามาหลบในรถม้าข้าอีก ไปๆๆ”
ชายร่างใหญ่ปล่อยมือ เด็กหญิงผู้นั้นกลับกระโดดไปมาเพื่อเศษแขนเสื้อของชายผู้นั้น
“ไปเสียๆๆ” ชายร่างใหญ่ไม่ใส่ใจ หันหลังเดินไปยังโรงเตี๊ยม แต่เห็นว่าเด็กหญิงผู้นั้นยังตามเข้ามาด้วย สีหน้าก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา
พนักงานในโรงเตี๊ยมเห็นเช่นนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกท่านอื่นจึงรีบก้าวมาข้างหน้า ไม่กล่าวอันใด เพียงแต่อุ้มให้เด็กหญิงผู้นั้นออกไปข้างนอก
เด็กหญิงดิ้นอยู่ในอกของเขาจนพนักงานผู้นั้นแทบจะจับไว้ไม่อยู่ รีบจับเสื้อผ้าของนางแล้วดึงขึ้น
เมื่อดึงขึ้น ดวงตาของหนานหนานก็เบิกกว้าง รีบจับมืออวี้ชิงลั่วอย่างแรง กล่าวออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว “ท่านแม่ ท่านแม่ดูนั่นสิ นั่น… รอยปาน”
อวี้ชิงลั่วตะลึง มองตามไปยังทิศทางที่นิ้วมือของหนานหนานชี้ จากนั้นก็เห็นว่าที่เอวของเด็กหญิงผู้นั้น… มีรอยปานรูปดอกไม้แบบเดียวกับหนานหนานทุกประการจริงๆ
!!
………………………………………………………………………………………………………………………… สารจากผู้แปล
เจอคนเผ่าเหมิงเข้าแล้ว เด็กหญิงคนนี้คงเป็นเจ้าหญิงของเผ่านั้นแอบหนีมาเที่ยวหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)