สวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินกำลังพูดคุยกัน เมื่อเห็นจิ่นเกอเข้ามา นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังพูดถึงเจ้าอยู่พอดี!”
จิ่นเกอหัวใจพลันเต้นแรง “พูดถึงข้า? พูดอะไรหรือขอรับ”
“ก่อนปีใหม่ ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยและคนที่เดินทางกลับบ้านเกิด หลังขึ้นปีใหม่ ทุกที่ก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยคนที่เข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวง เต็มไปด้วยผู้คน พอคนเยอะก็เลยเกิดปัญหาง่าย” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าช่วงนี้เจ้าอยู่ที่จวนเถิด หนึ่งคืออยู่กับท่านย่าและท่านแม่ของเจ้า สองคือฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่อาจารย์ผังสอนเจ้าให้ดี เขาบอกว่าเหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด”
บิดาพูดด้วยท่าทีเป็นกันเองและอ่อนโยน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของจิ่นเกอกลับเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
“ได้ขอรับ!” เขายิ้มแล้วรับปากสวีลิ่งอี๋ บอกตัวเองในใจว่าต้องยิ้มให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ท่านพ่อไม่มีทางรู้ความจริงเร็วขนาดนี้แน่นอน
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วหันไปคุยเรื่องเข้าไปในพระราชวังกับไท่ฮูหยิน “อีกสองวันฮองเฮาก็จะประกาศพระราชกฤษฎีกาเชิญท่านไปเข้าเฝ้า วันที่หนึ่งของปีใหม่ ท่านจะได้พักผ่อนขอรับ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า
สองวันต่อมา มีพระราชกฤษฎีกาจากพระราชวังจริงๆ ไม่เพียงแต่ให้ไท่ฮูหยินไปเข้าเฝ้าช่วงปีใหม่ แล้วยังให้จิ่นเกอเข้าไปในพระราชวังอีกด้วย
สวีลิ่งอี๋ส่งองครักษ์ที่มีฝีมือของจวนหย่งผิงโหวไปกับจิ่นเกอสองสามคน “รีบไปรีบมา เจอใครก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็พอ!”
เป็นคำพูดที่ฟังดูเป็นนัยอีกแล้ว
จิ่นเกอไม่กล้าพูดอะไร เพียงแค่ตอบรับ “ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “วันนี้รู้ความเสียจริง!” จากนั้นก็ไม่รอให้จิ่นเกอตอบกลับ เขายิ้มแล้วเดินออกไป
จิ่นเกอพลันรู้สึกเหงื่อท่วมตัว ตระหนักขึ้นได้ว่าประเดี๋ยวต้องไปพระราชวัง จึงรีบสงบสติอารมณ์แล้วคิดว่าหลังจากเข้าไปในวังแล้วจะตอบคำถามอย่างไรอย่างจริงจัง
สวีลิ่งอี๋นั่งรอจิ่นเกอกลับมาอยู่บนเก้าอี้จุ้ยเวิง
ทันทีที่จิ่นเกอกลับมาก็เจอกับสวีลิ่งอี๋ “…องค์หญิงใหญ่เรียกข้าเข้าไปปรึกษาเรื่องเตะลูกหนังในวันที่สี่เดือนหนึ่งขอรับ”
“ไม่ได้พูดเรื่องอื่นหรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วมองไปที่เขา
“ไม่มีขอรับ” จิ่นเกอรีบพูด “องค์หญิงใหญ่เพียงอยากชนะการแข่งขัน”
สวีลิ่งอี๋ตอบ “อืม” ด้วยท่าทางนิ่งสงบ จากนั้นก็พูดว่า “รีบไปคารวะท่านย่ากับท่านแม่เถิด พวกนางเป็นห่วงเจ้า!”
จบแล้วหรือ?
จิ่นเกอเตรียมคำพูดไว้ตั้งมากมาย แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่ถามอะไร ราวกับต่อยหมัดลงไปบนผ้าฝ้ายก็ไม่ปาน
เขาเดินออกมาจากห้องหนังสือด้วยความมึนงง เจอกับสวีซื่ออวี้ที่หน้าประตูฉุยฮวา
สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วทักทายเขา “น้องหกกลับมาแล้วหรือ เป็นเช่นไรบ้าง” ท่าทีราวกับบังเอิญเจอเขา
จิ่นเกอได้สติกลับมา เขายิ้ม “ไม่เลวขอรับ พี่สองไปไหนมาหรือ” พวกเขาพูดคุยกันแล้วเดินออกไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” สวีซื่ออวี้พูดเบาๆ “องค์หญิงใหญ่ยอมให้ยงอ๋องช่วยเลือกราชบุตรเขยแล้วหรือยัง”
เขาเป็นห่วงเรื่องนี้มากที่สุด
“เห็นด้วยแล้วขอรับ” จิ่นเกอพูดเบาๆ “ไม่เพียงเท่านั้น องค์หญิงใหญ่ได้ยินเรื่องหลานชายของหลังจงคนนั้นแล้วก็โมโหเป็นอย่างมาก แล้วยังตัดสินใจจะนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ไท่จื่อฟัง บอกว่า แทนที่จะให้ยงอ๋องช่วย ไม่สู้ให้ไท่จื่อช่วยยังจะดีกว่า”
“อะไรนะ” สวีซื่ออวี้กังวล “ไม่ได้เด็ดขาด การที่ยงอ๋องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นเพราะว่าเขาห่วงใยน้องสาวตัวเอง แต่หากไท่จื่อเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ฮ่องเต้อาจคิดมาก พลอยคิดว่าไท่จื่อกำลังตีสนิทขุนนางในราชสำนัก” พูดจบก็ขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดต่อไปว่า “ความผิดข้าเองที่ไม่บอกเจ้าตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนนี้เจ้าส่งคนไปรายงานไท่จื่อเถิด!”
“พี่สองไม่ต้องห่วงขอรับ” จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก “ถึงแม้องค์หญิงใหญ่จะดูเป็นคนใจร้อน แต่นางก็เป็นคนฉลาด นางไม่ได้จะบอกไท่จื่อโดยตรง นางจะไปบอกไท่จื่อเฟย!”
สวีซื่ออวี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จิ่นเกอยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงใหญ่ยังบอกว่า หากสกุลเฉินไม่คิดอะไรก็ไม่เป็นไร แต่หากสกุลเฉินจะฟ้อง ถึงตอนนั้นจะเชิญฮองเฮาออกหน้าช่วยพูดให้ขอรับ”
สวีซื่ออวี้พลันโล่งใจ
ฮองเฮาทรงรักและเอ็นดูหลานชายตัวเอง ถึงแม้ไม่มีเหตุผล แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
*****
ไม่กี่วันต่อมา จวนสกุลสวีก็เริ่มติดม่านหน้าต่างสีแดง เตรียมซองแดงสำหรับงานฉลองปีใหม่ ทุกคนล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส มีกลิ่นอายของบรรยากาศช่วงขึ้นปีใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มีชายที่มีนามว่ากู่เหยียน คนของสำนักศึกษาฮั่นหลิน อ้างว่าเป็นสหายของเฉินปั๋วจือ ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร มาหาสวีลิ่งอี๋
ตอนนั้นสวีลิ่งอี๋กำลังคุยกับบรรดาเถ้าแก่ ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร “ข้าไม่สนิทกับเฉินปั๋วจือ ถามเขาว่ามีเรื่องอันใด ทิ้งป้ายชื่อไว้ก็พอ”
พ่อบ้านไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ขานรับด้วยความเคารพ จากนั้นก็ไปรายงานให้แขกทราบที่โถงบุปผา
มีเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่งพูดอย่างอ้อมค้อม “โกงดังข้าวที่เต๋อโจวของเรา ล้วนแต่อาศัยกรมขนส่งเสบียงอาหาร บ่าวเคยเห็นผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารท่านนี้สองสามครั้ง เขาเป็นคนใจกว้างขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่บอกว่าตัวเองเป็นใคร กิจการสกุลสวีของเรามีมากมายขนาดนี้ หากข้าต้องออกไปเจอกับทุกคน เช่นนั้นก็คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว!” พูดจบก็ยิ้มแล้วเหลือบมองเถ้าแก่สองสามคน “หากเฉินปั๋วจือมีธุระกับข้าจริงๆ แล้วเหตุใดเขาถึงไม่มาหาข้าด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าชายที่ชื่อกู่เหยียนก็แค่อ้างชื่อของเฉินปั๋วจือมาหาข้า ข้าไม่ชอบคนเช่นนี้ ไม่เจอเสียยังจะดีกว่า!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคำพูดนี้ถึงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
กู่เหยียนนอนโมโหอยู่ที่จวนตั้งสองสามวัน
จิ่นเกอ สวีซื่ออวี้และคนอื่นได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ โดยเฉพาะสวีซื่ออวี้
ในความทรงจำของเขา ท่านพ่อเป็นคนให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม ถึงแม้กู่เหยียนจะเป็นคนเช่นนั้น แต่ท่านพ่อก็ไม่มีทางตบหน้าเขาเช่นนี้…หรือว่าท่านพ่อรู้เรื่องของจิ่นเกอกับเฉินจี๋แล้ว…หากรู้แล้วจริงๆ ท่านพ่อทำเช่นนี้ มันทำให้คนรู้สึกว่าเขากำลังปกป้องลูกตัวเอง…ดูเหมือนไม่ใช่พฤติกรรมของท่านพ่อเลยสักนิด!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดในใจ สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนก็มาหา
สวีซื่ออวี้แปลกใจ เชื้อเชิญพวกเขาสองคนไปห้องหนังสือ
สวีซื่อเจี่ยนเดินมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ เห็นต้นแปะก๊วยที่ตัวเองปลูกเองเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขายืนมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปข้างใน
สวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้กำลังพูดคุยกัน
“ได้ยินเจี่ยนเกอบอกว่าคนของกองปัญจทิศรักษานครลือว่าจิ่นเกอต่อยบุตรชายของเฉินปั๋วจือ ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหาร” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “เหตุใดถึงมีช่าวลือเช่นนี้ มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือไม่ ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารคนนั้นคือขุนนางคนโปรดของฝ่าบาท สองวันก่อนยังแต่งตั้งบุตรชายของเขาเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์!”
“ใช่แล้ว!” สวีซื่อเจี่ยนที่พึ่งจะเดินเข้ามาไม่รอให้สวีซื่ออวี้พูดอะไร ก็พูดเสริมขึ้นมา “เรื่องนี้แพร่กระจายเป็นตุเป็นตะ ข้าคิดว่าเราควรเตือนท่านอาสี่”
เรื่องบางเรื่อง ใช่ว่าใครก็พูดได้
สวีซื่ออวี้ยิ้มในใจอย่างขมขื่น แต่กลับแสร้งทำสีหน้าตกใจ “สองวันก่อนน้องหกต่อยกับพวกอันธพาลข้างนอก ช่วยสองพ่อลูกที่ถูกรังแก หรือว่าอันธพาลคนนั้นคือบุตรชายของเฉินปั๋วจือ?”
“ไอ๊หยา! มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” สวีซื่อเจี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นเต้น เขาตะโกนเรียกสาวใช้ “รีบไปเชิญคุณชายน้อยหกเข้ามา บอกว่าพวกข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”
สวีซื่อฉินเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้า “นิสัยชอบทำเกินหน้าที่ตัวเองของเจ้าเมื่อไรจะดีขึ้นสักที”
“ที่นี่คือเรือนของพี่สองไม่ใช่หรือ” สวีซื่อเจี่ยนยิ้มกว้าง “อยู่ข้างนอกข้าทำตามกฎเกณฑ์เสมอ”
ทุกคนพากันหัวเราะ ผ่านไปครู่หนึ่งจิ่นเกอก็มาแล้วถูกถามถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอีกครั้ง แต่จิ่นเกอไม่กล้าเล่า สวีซื่ออวี้จึงเล่าที่ไปที่มาให้พวกเขาฟัง เห็นว่ามันสายแล้ว พวกเขาจึงพากันไปคารวะไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและฮูหยินห้า ทานอาหารเที่ยงที่เรือนของจิ่นเกอ จากนั้นสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนก็กลับจวน สวีซื่ออวี้และจิ่นเกอคุยกันตั้งครึ่งชั่วยามถึงค่อยกลับเรือนของตัวเอง
สองสามวันต่อมา สำหรับเรื่องผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์คนใหม่ บุตรชายคนเดียวของผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารรังแกสองพ่อลูกที่ทำการแสดงตามถนน ถูกผู้บัญชาการฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ คุณชายน้อยหกของหย่งผิงโหวต่อยก็แพร่กระจายไปทั่ว แม้แต่อวี๋อี๋ชิงก็รู้เรื่องนี้ เขาส่งคนมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ข่าวลือเป็นเช่นนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ข้าก็ไม่รู้!” สวีลิ่งอี๋คุยกับอวี๋อี๋ชิงที่ห้องหนังสือ “สกุลเฉินไม่ได้ส่งคนมาหาข้า ข้าคิดว่า น่าจะเป็นข่าวลือ และถึงแม้จะมีเรื่องนี้จริงๆ ผู้ใหญ่อย่างเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกเขา!” เขาพูดพลางหัวเราะ “สองสามปีนี้เจ้าเอาแต่จัดการเรื่องแม่น้ำที่เจียงหนาน ลำบากเจ้าแล้ว เราไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ข้าให้สืออีเหนียงจัดโต๊ะ เรามาดื่มสุราพูดคุยกันดีกว่า เรื่องข่าวลือพวกนั้น เจ้าไม่ต้องสนใจ”
อวี๋อี๋ชิงตระหนักได้ว่าหลังจากที่เขาไปรับตำแหน่งรองเจ้ากรมโยธาธิการ ก็ไม่ค่อยได้มาดื่มสุราพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ เขายิ้มแล้วตอบรับ สุดท้ายพวกเขาก็ดื่มกันจนเมามาย ตอนกลับไปยังต้องให้บ่าวรับใช้แบกขึ้นรถม้า
เขาพึ่งออกไป ฟังจี้ก็มาหาสวีซื่ออวี้
“ข้าได้ยินว่าคนของสำนักตรวจการเขียนฎีกากล่าวโทษท่านโหว บอกว่าท่านโหวไม่สั่งสอนบุตรชายตัวเอง ปล่อยให้สวีซื่อจิ่นทำตัวเย่อหยิ่ง แม้แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ที่ฝ่าบาทพึ่งจะแต่งตั้งก็กล้าต่อย บอกให้ฝ่าบาทลงโทษท่านโหวและสวีซื่อจิ่น”
สีหน้าของสวีซื่ออวี้เปลี่ยนไป
รู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงพาฟังจี้ไปหาสวีลิ่งอี๋ทันที
“…เรื่องราวยังไม่ชัดเจน” หลังจากเอ่ยขอบคุณฟังจี้ สวีลิ่งอี๋ก็ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “รอให้มันชัดเจนก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร”
ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาอยากไปคุยกับอีกฝ่ายต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท!
ฟังจี้โล่งใจ พูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ครู่หนึ่งจากนั้นก็ขอตัวลา
ผ่านไปสองสามวัน ฎีกากล่าวโทษสวีลิ่งอี๋และจิ่นเกอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่สนใจอะไร ฟังจี้อดเป็นกังวลแทนไม่ได้ เขาถามสวีซื่ออวี้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านโหวคิดเช่นไร”
สวีซื่ออวี้ส่ายหน้า “ข้าอยากคุยกับท่านพ่อตั้งหลายครั้ง แต่ท่านพ่อก็เปลี่ยนเรื่องตลอด” เขาเองก็กังวลเหมือนกัน “ไม่รู้ว่าท่านพ่อจะจัดการเช่นไร”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรถามอะไรอีก
ฟังจี้กลับจวนแล้วรอดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ
มีคนบอกว่าฮ่องเต้ได้ยินแล้วก็บันดาลโทสะ จะยึดป้ายขุนนางของสวีลิ่งอี๋ ยังมีคนบอกอีกว่า ฮ่องเต้ตรัสว่าจะปีใหม่แล้ว มีเรื่องอันใดก็รอให้ฉลองปีใหม่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน แล้วยังมีคนบอกว่า ฮ่องเต้จะจัดการสวีลิ่งอี๋และบุตรชายของเขา แต่บรรดาแม่ทัพกลับเขียนฎีการ้องขอความเมตตาให้สวีลิ่งอี๋ ฮ่องเต้ลำบากพระทัย จึงตัดสินใจไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป…
ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาถึงหูของสืออีเหนียง
“จิ่นเกอต่อยเขาจริงหรือเจ้าคะ” นางถามสวีลิ่งอี๋ด้วยความสงสัย “หรือมีคนพยายามใส่ร้ายท่าน?”
“เฉินปั๋วจือเป็นถึงขุนนางระดับสาม แล้วยังเป็นขุนนางโปรดปรานของฝ่าบาท หากจิ่นเกอต่อยบุตรชายของเขาจริงๆ เขาก็ต้องมาขอคำอธิบายจากเรา!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “สำหรับเรื่องที่มีคนพยายามใส่ร้ายข้า ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด”
สืออีเหนียงเป็นกังวล “ให้ข้าเข้าไปฟังน้ำเสียงของฮองเฮาในพระราชวังดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่จำเป็น!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เข้าไปพระราชวังตอนนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับบอกว่าที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เราฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว เรื่องนี้ ข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องห่วง” เขายิ้มแล้วลูบหน้าสืออีเหนียง ใช้นิ้วโป้งลูบใต้ตาของนางอย่างเบามือ “เมื่อวานเจ้าบอกว่าหากผู้หญิงกังวลมากเกินไปจะแก่เร็วไม่ใช่หรือ เจ้าดูสิ เจ้ามีรอยตีนกาแล้ว!”
“จริงหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรีบหยิบกระจกออกมา แล้วออกไปส่องใต้ชายคา
ภายใต้แสงอาทิตย์ นางมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง!
นางรู้ว่าสวีลิ่งอี๋หยอกล้อนางอีกแล้วจึงอดหัวเราะไม่ได้
บรรยากาศที่ตึงเครียดพลันหายวับไปทันที