บทที่ 19 สู้กับหม่านสง
จู่ ๆ คนของหม่านหนิวก็เสียชีวิตลงเป็นจำนวนมากในคราวเดียวกัน แน่นอนว่า หม่านสงนั้นสังเกตเห็นสิ่งนี้
ไม่ใช่เพียงแค่เขา แต่ทุกคนหยุดโจมตี เพราะเนื่องจากพบว่า สัตว์ร้ายโครงกระดูกนั้นโจมตีอย่างรุนแรงมาก พวกคนที่เหลือต่างก็ค่อย ๆ จับกลุ่มเข้าหากัน และมองดู โครงกระดูกของหลินเว่ย ด้วยความระมัดระวัง
เมื่อหม่านสงเห็นว่า มีเพียงคนของฝ่ายเขาที่ตายลงไป ในขณะที่คนของเถาจุนเพียงแค่บาดเจ็บเท่านั้น ไม่มีใครเสียชีวิต ใบหน้าของหม่านสงก็มืดมนและเขาร้องออกมาว่า “นี่มันอะไรกันแน่?”
“แล้วคิดว่า….มันคืออะไรล่ะ ?! ” เมื่อได้ยินสิ่งที่หม่านสงพูด หลินเว่ยก้าวไปข้างหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฟยเอ๋อซึ่งอยู่ข้าง ๆ หลินเว่ย ก็ตกตะลึงมาอยู่นาน เพราะนางได้เห็นด้วยสายตาของตนเองว่า สัตว์ประหลาดทั้งสี่นี้ พุ่งออกมาจากด้านของหลินเว่ย กล่าวคือพวกมันถูกควบคุมโดยหลินเว่ย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าสร้างสัตว์ประหลาดพวกนี้ทั้งหมดหรือ?” ทุกคนในที่นี้ ไม่เข้าใจคำพูดของหลินเว่ย เมื่อพวกเขาได้ยินว่า หม่านสงคิดว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นคนสร้างสัตว์ประหลาดพวกนี้ขึ้นมา แต่หม่านสงนั้นไม่ใช่คนโง่
หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ทุกคนต่างก็สงสัยว่า โครงกระดูกสัตว์เหล่านี้ ต้องเกี่ยวข้องกับหลินเว่ย
“น้องชายตัวน้อย! เจ้าคือผู้เชี่ยวชาญแห่งจิตวิญญาณ?” โดยไม่รอให้หลินเว่ยตอบ ฮ่าวเค่อที่ยืนอยู่ตรงข้ามหม่านสงก็ถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ เมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย หลินเว่ยไม่มีความลังเลใจ ใบหน้าไม่แดงและไม่หายใจติดขัด เขายอมรับอย่างเรียบเฉย
“ข้าเข้าใจแล้วนี่คือ การอัญเชิญวิญญาณนักรบที่มีพลังมาก นับว่าเมืองหมั่นฉีนั้นเป็นเมืองแรกที่มีคนสามารถอัญเชิญวิญญาณออกมาต่อสู้ เช่นสัตว์ร้ายอย่างโครงกระดูกนี้” ฮ่าวเค่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจนและยกนิ้วโป้งให้หลินเว่ย
“หัวหน้า พี่ชายของข้าทั้งสองคนนั้นตายไปแล้ว คนตรงหน้าเห็นชัดได้ว่ามีความสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้าม สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ดีอย่างมาก ข้าว่าเราถอนตัวก่อนดีกว่า” ด้านข้างของหม่านสง นักรบขั้นสามที่เหลือกำลังระส่ำระสาย
พวกเขามองดูโครงกระดูกตรงหน้าของหลินเว่ยด้วยความหวาดกลัว และพูดกับหม่านสงด้วยเสียงแผ่วเบา
“ดี! ข้าก็ไม่คิดว่า คนอื่น ๆ จะสามารถหยุดพวกเราได้ เมื่อเราสองคนร่วมมือกัน เพื่อฝ่าวงล้อมออกไป ก็ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าหม่านสงหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
“เราสองคนเหรอ? แล้วพี่น้องคนอื่น ๆ ล่ะ” นักรบขั้นสามขมวดคิ้วและถามขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของ
หม่านสง ทหารส่วนใหญ่ได้ล้มหายตายจากไปมากกว่าครึ่ง ในครั้งนี้หากพวกเขาทั้งหมดเสียชีวิต ย่อมจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในอนาคต
“แน่นอน อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้เราหนีไปทั้งหมด คนที่เหลือก็แค่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กี่คน ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่เราจะรับสมัครมาใหม่กี่คนก็ไม่ใช่ปัญหา เจ้าใจดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่, น้องสาม?” เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนนั้น หม่านสงจึงผุดรอยยิ้ม และพูดด้วยความเยาะเย้ย
“อืม! สิ่งที่พี่ใหญ่พูดนั้น มีเหตุผล” ชายคนนั้นกล่าวพยักหน้า
………………
“หม่านสงที่กำลังพึมพำอยู่ตรงนั้น ข้าคิดว่าพวกเขาพยายามจะหนี เจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นไร?” สำหรับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของหม่านสง ฮ่าวเค่อสามารถเดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะหนีไป เขาจึงถามหลินเว่ย แน่นอนว่าจุดประสงค์ของเขาคือดึงหลินเว่ยเพื่อที่จะสามารถร่วมงานกันในอนาคต
หลินเว่ยเข้าใจความหมายของคำพูดของฮ่าวเค่ออย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะร่วมมือในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว และพูดด้วยใบหน้างงงวย: “แค่คนไม่กี่คน พวกท่านก็สามารถจัดการกันเองได้! ข้ามีงานอื่นต้องไปทำ ไม่รบกวน ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เฟยเอ๋อก็หงุดหงิด มองไปที่หลินเว่ยอย่างไม่พอใจ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า: “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากเจ้าไม่ได้สังหารหม่านสง เราทุกคนจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้น่ะหรือ? ตอนนี้เรื่องยังไม่จบ เจ้าก็จะสลัดพวกเราทิ้ง มีจิตสำนึกบ้างหรือไม่? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หัวใจของหลินเว่ยก็พลันสงบ แต่หม่านสงนั้นหัวใจบีบรัดตัว ในตอนแรกเขาดีใจที่หลินเว่ยกล่าวว่า จะไม่เข้ามายุ่ง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเฟยเอ๋อ หากว่าหลินเว่ยช่วยฮ่าวเค่อ เขาก็จะไร้ทางรอด
ดังนั้นก่อนที่หลินเว่ยจะพูดอะไร หม่านสงก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “น้องชาย เจ้ากำลังเข้าใจผิด”
“แต่หม่านหนิว … เฮ้อ … !” แต่หลินเว่ยที่กำลังจะพูดอะไร เข้าก็ถูกขัดขวางโดยหม่านสง
ใบหน้าของหม่านสงโกรธจัดและพูดว่า: “อย่าไปพูดถึงมัน ไอ้ลูกนอกคอก ถ้าไม่ใช่เพราะลูกคนนี้ เหล่าพี่น้องจำนวนมากของข้าก็ไม่ต้องมาตายลงที่นี่ ริอ่านไปมีเรื่องกับน้องชาย ถือว่ามันสมควรแล้ว หากมันยังมีชีวิต ข้าจะเป็นคนสังหารมันเอง ”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของหม่านสง ไม่เพียงแต่หลินเว่ยและฮ่าวเค่อเท่านั้นที่ตกตะลึงและพูดไม่ออก แต่แม้แต่คนของหม่านสงก็สับสนมากเช่นกัน เพราะพวกเขานึกไม่ถึงว่า หม่านสงที่ลูกชายถูกสังหาร ยังจะสามารถพูดคำแบบนี้ออกมาได้อีก
หม่านสงนั้นไม่สนใจบุญคุณความแค้น แต่สนใจเรื่องผิดชอบชั่วดี ดูเหมือนเขาเป็นคนที่มีความชอบธรรมมาก
ถ้าหลินเว่ยนั้นไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หลินเว่ยก็คงจะหลงกลไปแล้ว
“น้องชาย ถ้าเจ้ามาเข้าร่วมกับข้า ข้าจะมอบตำแหน่งรองหัวหน้าของทหารรับจ้างโลกันตร์แก่เจ้า เจ้านั้นไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ในตอนที่กลุ่มทหารรับจ้างโลกันตร์ตกอยู่ในอันตราย ก็เพียงเจ้ามาช่วยก็แค่นั้น และข้ายังไม่ให้เจ้ามาช่วยเหลือแบบเปล่าประโยชน์ ทั้งยังจะมอบ 100 เหรียญทอง จากกองทหารในทุก ๆ เดือน และเจ้ายังสามารถระดมพี่น้องในกองทหารเพื่อช่วยเจ้าได้อีกด้วย “แน่นอนว่าหม่านสงคิดที่จะดึงหลินเว่ยให้มาเป็นพรรคพวกของตนเอง ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะชักชวนและยื่นข้อเสนอที่ใจกว้างให้เขา
“หนึ่งร้อยเหรียญทองทุกเดือนงั้นหรือ?” หลินเว่ยแสร้งทำเป็นสนใจ
“ใช่! เมื่อเรากลับไปที่ค่าย ข้าจะเรียกระดมสมาชิกทุกคน เพื่อประกาศให้เจ้าเข้าร่วมกับกองทหารของเรา และข้าจะมอบ 100 เหรียญทองของเดือนนี้ให้เจ้าทันที และหากว่าเจ้าเห็นด้วย เพียงแค่ทำลายทหารรับจ้างของเถาจุนให้หมด เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เมื่อเห็นว่าหลินเว่ยเริ่มลังเลใจ หม่านสงก็คิดที่จะกำจัดเถาจุนออกไปในทันที
เฟยเอ๋อไม่สนใจสิ่งที่หม่านสงพูด แต่ในที่สุดเมื่อหม่านสงบอกว่า จะให้หลินเว่ยทำลายกองทหารรับจ้างของบิดาตนเอง เฟยเอ๋อก็ร้อนรน รีบวิ่งไปหาบิดาและพูดกับหลินเว่ยว่า “อย่าไปฟังคนชั่วคนนี้ เขาโกหกเจ้า บิดาและพวกลุง ๆ น้า ๆ ของข้า เป็นคนดี เจ้าจะทำร้ายพวกเขาไม่ได้”
นางกลัวเหลือเกินว่าหลินเว่ยจะร่วมมือกับหม่านสงเพื่อผลประโยชน์ และญาติ ๆ ของนางจะตกอยู่ในอันตราย เพราะหลินเว่ยมีพลังมาก จนสามารถสังหารทุก ๆ คน ในที่นี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเงื่อนไขที่หม่านสง เสนอให้นั้น ใจกว้างเกินไป
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟยเอ๋อ หลินเว่ยก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย ยักไหล่ดูเฉยเมย และพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย: “ฮ่าฮ่า! ข้าไม่สนใจว่าจะเป็นคนร้ายหรือไม่? ตราบใดที่ข้อเสนอดีก็เพียงพอแล้ว .”
Related