บทที่ 223
ครบสองปี
“ ฟู่!” เมื่อมองไปที่ซากศพที่ศีรษะขาดกระเด็น…. จูต้าชางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย และมือของเขาที่ถือดาบก็สั่นๆ อย่างควบคุมไม่ได้เล็กน้อย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จูต้าชางหันกลับมาและพบว่าเป็นหลินเว่ยที่กำลังเดินมาหาเขา….. เขาจึงรีบร้องเรียกด้วยความเคารพ“ นายท่าน!”
“เป็นอย่างไรบ้าง……ทนไหวหรือไม่?” หลินเว่ยพยักหน้าและถามขึ้น
“ไม่มีปัญหา! เพียงแค่หยุดพัก” จูต้าชางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะเหนื่อย แต่เขาก็ตื่นเต้นมาก
“อืม! ดีมาก! เจ้าขุดแก่นคริสmyลของทั้งสองร่างนี้ออกมาให้กับข้า ส่วนซากศพ เจ้าและรูธ ก็เก็บไว้เพื่อตนเอง” หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าว
“ขอรับ! เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย จูต้าชางก็มีความสุขทันที แม้ว่าเขาจะสูญเสียแก่นคริสmyลไป แต่มูลค่าของมันก็ลดลงเพียงครึ่งหนึ่ง แต่ซากศพของสัตว์อสูรขั้นที่แปดก็ยังคงมีค่ามากอยู่ดี
“ข้าไม่ต้องการ….สิ่งที่เปื้อนเลือดเหล่านี้ มอบให้จูต้าชาง!” รูธขมวดคิ้วและพูดด้วยท่าทางรังเกียจ
รูธไม่ต้องการมัน เพียงแค่ได้ทำเรื่องสนุก นางมีความสุขมากขึ้น นางรีบขุดเอาแก่นคริสmyลของกิ้งก่าเขาขวิดมามอบให้หลินเว่ย ก่อนจะส่งมอบนางหยิบผ้าเสื้อหน้าออกมาเช็ด แล้วส่งให้หลินเว่ยด้วยความเคารพ
จากนั้นหลินเว่ยก็มีความสุขมาก และเดินจากไป
หลินเว่ยไม่ได้สนใจเกี่ยวกับซากศพของสัตว์อสูรขั้นแปดสองตัว แต่เขาพอใจกับผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามาก ที่กระตือรือร้นในการทำตามคำสั่งของเขา
ไม่นานนัก การต่อสู้ของเสี่ยวไป๋ก็สิ้นสุดลง
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นสัตว์อสูรขั้น 9 ระดับ1 แต่มันก็ถูกเสี่ยวเฟยทุบตี แม้ว่ามันจะสามารถอำพรางซ่อนเร้นร่างของมันโดยอาศัยการหักเหของแสง แต่เสี่ยวไป๋ก็สามารถมองเห็นมันได้
มีเพียงพิษของพวกกิ้งก่าเขาขวิดที่สร้างอุปสรรคให้พวกเขา เป็นไปอย่างลำบาก ที่สุดแล้วเสี่ยวเฟย ก็สามารถสังหารพวกมันได้
จากการต่อสู้ครั้งนี้ หลินเว่ยสามารถมองเห็นพลังการต่อสู้ที่แท้จริงของทุกคน แม้ว่า จูต้าชางจะอยู่ในจุดสูงสุดของราชาแห่งการต่อสู้ แต่พลังในการต่อสู้ของเขา ก็แตะไปถึง จักรพรรดิ ในช่วงกลาง โดยอาศัยอาวุธวิญญาณที่ยอดเยี่ยมของเขา เพิ่มพลังการต่อสู้
พลังความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฟย ที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้น 8 นั้น เทียบเท่ากับขั้น 9 ในระดับกลาง สำหรับ เสี่ยวไป๋ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด คือความเร็วและกรงเล็บที่แหลมคม แม้ว่าจะมีขั้นสูงสุดเพียงขั้นที่ 7
แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับสัตว์อสูรขั้น 9 ได้ และความแข็งแกร่งของมัน ไต่ระดับไปถึงขั้นต้นของขั้นที่ 9
มังกรน้อย เสี่ยวหลง มีพลังมากเช่นกัน สายฟ้าของเขา สามารถทำให้ สัตว์อสูรขั้น 9 เป็นอัมพาตได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีของสายฟ้านั้นสูงมาก แม้ว่าความเร็วจะไม่สามารถเทียบได้กับเสี่ยวไป๋ แต่การระเบิดของพลังในทันทีนั้น
แข็งแกร่งกว่าเสี่ยวเฟย และมีความแข็งแกร่งในขั้นต้นของขั้นที่เก้า
สำหรับรูธ นางได้ฝึกฝนพลังทางจิตวิญญาณ และพลังทางวิญญาณ และความแข็งแกร่งของนาง อยู่ในระดับขั้นต้น ไม่มีทักษะทางจิตวิญญาณของนาง ที่สามารถใช้ในการโจมตี ซึ่งอยู่ในประเภทเสริม และหลินเว่ยก็ไม่ได้ประเมินมันต่ำเกินไป
ทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง เสี่ยวหลงก็ลากร่างของกิ้งก่าเขาขวิดมาอย่างรวดเร็ว หลินเว่ยรับมันโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างของสัตว์อสูรขั้นเก้า ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีประโยชน์มาก สามารถเก็บสำรองไว้ใช้ได้
ไม่แน่ว่า อาจจะได้ใช้เร็วๆนี้
อีกฝั่งของการต่อสู้ โครงกระดูก ไม่ได้กินเวลาเนิ่นนาน….ภายในครึ่งชั่วโมง พวกมันก็ยุติการต่อสู้ทีละตัว
นอกจากนี้ยังมีกิ้งก่าเขาขวิดขั้นที่แปด ที่เขาเก็บได้มาก่อนหน้านี้ หลินเว่ยเลือกใช้เพียงสามร่างเท่านั้น ที่จะคืนชีพให้พวกมัน ร่างทั้งสามอยู่ในขั้นกลางของขั้นที่เก้า พวกมันหนึ่งในนั้น อยู่ในขั้นที่เก้า ระดับห้าและ ขั้นเก้า ระดับสี่ ทั้งสองร่าง
สำหรับกิ้งก่าเขาขวิดขั้นที่เก้าที่เหลือ หลินเว่ยก็เก็บมันไว้ใช้งานในอนาคตแทน
ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว” หลินเว่ยขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง
หลังจากคืนชีพกิ้งก่าเขาขวิดทั้งสามตัว หลินเว่ยรู้สึกว่า ทักษะคืนชีพโครงกระดูกของเขาใกล้จะเต็มอิ่มแล้ว เขาสามารถสร้างสัตว์โครงกระดูกขั้นเก้าได้อีกสองตัว
หากมีมากกว่านั้น เขาจะไม่สามารถควบคุมสัตว์โครงกระดูกทั้งหมดได้ ด้วยความแข็งแกร่งทางจิตใจในปัจจุบันของเขา ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของโครงกระดูกทั้งหมดลงไป
โชคดีที่โครงกระดูกทั้ง 25 ร่างนั้น เพียงพอสำหรับ หลินเว่ย แน่นอนตามนิสัยของเขา ขั้นตอนต่อไปคือการแทนที่โครงกระดูกทั้งหมด ด้วยจุดสูงสุดของขั้นเก้าทีละตัว
…………
เนื่องจากฤดูใบไม้ผลิ ผลัดไป ฤดูหนาว และฤดูกาลทั้งสี่ จะวนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
“ไชโย! ได้เวลากลับสถานศึกษาแล้ว!” หลินเว่ยหายใจเข้าลึก ๆ และพูดเบา ๆ
“ดี! ในที่สุด ข้าก็กลับได้แล้ว ข้าอยากกินผลน้ำแข็ง ข้าอยากอาบน้ำร้อน และข้าก็ต้องนอนหลับบนเตียงนุ่มๆ และนอนหลับจนกว่าข้าจะตื่นขึ้นมาเอง” รูธโห่ร้องและอุทานอย่างตื่นเต้น .
แม้แต่ จูต้าชางก็ดีใจมาก ที่ได้ยินว่าเขาสามารถเดินทางกลับไปได้แล้ว พวกเขาติดอยู่ในแอ่งดินนี้มาสองปีแล้ว ในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลินเว่ยต่อสู้กับสัตว์อสูรทั่วทั้งแอ่ง ยกเว้นในบริเวณหุบเขา
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลินเว่ยได้สังหารสัตว์อสูรขั้นสูงไปแล้วกว่าครึ่ง ในแอ่งดินทั้งหมด ยกเว้นผู้ที่หลบหนีไปได้
ตอนนี้มี สัตว์อสูรขั้นเก้าหลงเหลืออยู่ไม่มากนัก แม้แต่ สัตว์อสูรขั้นแปดก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ยังมีสัตว์อสูรขั้นเจ็ดอีกมากมาย นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า…. หลินเว่ยคร้านที่จะสังหารพวกมัน
“ ข้าจะให้พวกเจ้ากลับเข้าไปในพื้นที่มิติก่อน” หลินเว่ยพูดกับจูต้าชางและ รูธ
“นายท่าน! ท่านต้องการไปจริงๆหรือ?” จูต้าชางขมวดคิ้ว และมอง หลินเว่ยอย่างเป็นห่วง
แม้แต่รูธ ก็หน้าเปลี่ยนสีและมองไปที่หลินเว่ยอย่างประหม่า ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางเริ่มขาวซีดเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร! ข้าแค่ต้องการเข้าไปดู ข้าคิดว่ามันอาจจะไม่สามารถทำอะไรข้าได้เนื่องจากโครงกระดูกทั้ง 25 ตนของข้า สัตว์อสูรใด ๆ ก็ตามมีพลังมากกว่าสัตว์อสูรขั้นเก้าธรรมดาก็แล้วไป
แต่ถ้าพบพวกมัน 25 ร่างพร้อมๆกันล่ะ?” หลินเว่ยส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและพูดด้วยความมั่นใจ
จูต้าชางอยู่กับหลินเว่ยมานานแล้ว เขาย่อมเข้าใจนิสัยของหลินเว่ยเป็นธรรมชาติ เขารู้ว่าสิ่งที่ หลินเว่ยตัดสินใจจะไม่เปลี่ยนไปง่ายๆเขาจึงไม่ทักท้วงต่อไป ต่อมาเขาถูกหลินเว่ยพาเข้าไปในพื้นที่มิติ
ในตอนท้ายของการฝึกฝน…. หลินเว่ยมีสิ่งสุดท้ายที่ต้องการจะทำ
เมื่อครึ่งปีที่แล้วเมื่อ หลินเว่ยออกไล่ล่าสัตว์อสูรละมั่งสามตา ขั้นที่เก้า และบังเอิญผ่านหุบเขาที่สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของสัตว์อสูรวานรเผือก แม้ว่าหลินเว่ยจะไม่ได้เข้าไป ในตอนนั้น แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจพื้นที่เสียก่อน
ก่อนที่เขาจะจากไป
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินเว่ยตัดสินใจเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้กันของดีของจูต้าชางและ รูธ แต่ยังรวมถึงเสี่ยวชิงด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เสี่ยวชิงเป็นคนที่ทัดทานเรื่องนี้ที่สุด
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวชิงบอกเล่าข้อมูลทั้งหมดที่เขารู้ให้หลินเว่ยฟัง ถ่ายทอดมาจากสัตว์อสูรรุ่นก่อน ๆ ซึ่งตัวเขาเองไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรวานรเผือกมาก่อน