พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1511 ตัดขาดไม่เหลือเยื่อใย

บทที่ 1511 ตัดขาดไม่เหลือเยื่อใย

ในดวงตาหวงฝู่จวินโหรวเริ่มฉายแววหวาดกลัว ไม่ใช่เพราะคำพูดของมารดา แต่เป็นเพราะวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นเก้าตรงหว่างคิ้วของมารดา มารดาเอียงหน้ามองมาที่นาง นางมองเห็น แต่หนิวโหย่วเต๋อกลับมองไม่เห็น

จากความดุร้ายที่ฉายอยู่ในดวงตาของมารดา นางก็รู้สึกได้ถึงจิตมุ่งสังหาร อยู่ในฐานะมารดาย่อมไม่ฆ่านางอยู่แล้ว แต่ตรงนี้นอกจากนางแล้วจะมีใครล่ะ…นางเข้าใจในชั่วพริบตาเดียว อธิบายถึงความร้ายแรงขนาดนั้น มารดาต้องการจะฆ่าปิดปาก!

“ท่านแม่!” หวงฝู่จวินโหรวก้าวขึ้นมากอดแขนมารดาตัวเองเอาไว้ “ไม่นะ! อย่าฆ่าเขา! ลูกขอร้องท่านเถอะ อย่านะ!” นางหันกลับมามองเหมียวอี้ “ไป! เจ้ารีบหนีไปสิ!”

เหมียวอี้ก็ได้ยินสิ่งที่พูดเมื่อครู่นี้แล้ว เข้าใจความหมายแล้วเหมือนกัน เห็นเพียงหวงฝู่ตวนหรงหันขวับมองมา เห็นสัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วชัดเจน เขาก็ยิ่งแน่ใจยิ่งกว่าเดิมแล้ว

“หนีเหรอ? ถ้าข้าจะหนี ข้าคงทิ้งเจ้าหนีไปแล้ว ยังต้องรอจนถึงตอนนี้อีกเหรอ? หนึ่งคนทำหนึ่งคนรับ จวินโหรว ไม่มีเหตุผบที่จะให้เจ้าแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว เจ้าไปยืนทางนั้น ข้าจะอธิบายกับแม่เจ้าเอง!” เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้ให้นางปล่อยมารดา สีหน้าอับอายบนใบหน้าเริ่มสงบเยือกเย็นลง

ในแววตาเย็นเยียบของหวงฝู่ตวนหรงเจือด้วยความประหลาดใจแบบที่สังเกตเห็นได้ยาก ความหมายของอีกฝ่ายชัดเจนมาก ว่าไม่มีทางทิ้งลูกสาวนางหนีไปคนเดียว!

“อธิบายอะไร? เจ้ารีบหนีไปสิ!” หวงฝู่จวินโหรวร้อนใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว นางกอดแขนมารดาเอาไว้แน่น

สิง่ที่ทำให้นางร้อนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตรงหว่างเหมียวอี้ปรากฏสัญลักษณ์วรยุทธ์เช่นกัน เป็นบงกชรุ้งขั้นหนึ่ง

หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? นางเป็นแม่ข้านะ!” ถ้าทั้งสองสู้กันขึ้นมา นางควรจะช่วยฝั่งไหนล่ะ? กับเรื่องแบบนี้ คนที่อยู่ตรงกลางอย่างนางทรมานที่สุด

“หึหึ!” หวงฝู่ตวนหรงแสยะหัวเราะ ยิ้มมุมปากล้อเลียน “ข้าก็นึกว่าเอาความกล้ามาจากไหน ที่แท้วรยุทธ์ก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้วนี่เอง ความเร็วนี้ยังไม่ธรรมดา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้า?” นางใช้มืออีกข้างลงมืออย่างกะทันหัน ควบคุมหวงฝู่จวินโหรวเอาไว้ แล้วเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์ จะได้ไม่เป็นอุปสรรค

เหมียวอี้รู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ถึงขั้นทำอะไรลูกสาวตัวเอง ดังนั้นจึงไม่กังวลแล้วว่าจะเกิดเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรว จึงกล่าวด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็นว่า “ข้าจะใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ข้ารับประกันได้เลย ว่าไม่ว่าข้าที่อยู่ในห้อง หรือลูกน้องข้าที่อยู่ข้างนอก ไม่ว่าท่านจะเก็บใครไว้สักคนก็คงยาก เพราะไม่ว่าใครจะหนีไปได้สักคน แต่ท่านก็รับข้อหาที่ลงมือกับแม่ทัพภาคอุทานหลวงมาไหวหรอก!”

“เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?” หวงฝู่ตวนหรงถาม

เหมียวอี้บอกว่า “ข้าไม่ได้ยากขู่ท่าน แค่เห็นแก่ที่ท่านเป็นมารดาของจวินโหรว ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้วจริงๆ ข้าก็ไม่อยากลงมือกับท่านหรอก ข้าเพียงหวังให้ท่านเข้าใจ ว่าข้ากล้าบุกเดี่ยวฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้านตอนทดสอบที่แดนอเวจี…ข้าไม่ปิดบังท่านนะ ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มีคนเก่งกว่าท่านตั้งเยอะ แต่ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี ถ้าท่านดึงดันจะลงมือให้ได้ ข้าก็ไม่นั่งรอความตายเฉยๆ หรอก ทำไมผู้จัดการใหญ่ต้องลำบากทำให้สะเทือนไปถึงคนเฝ้าตลาดสวรรค์ต้องมาดูล่ะ?”

หวงฝู่ตวนหรงจ้องเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของอีกฝ่ายมีผลหรือเปล่า เอาเป็นว่าสัญลักษณ์วรยุทธ์ตรงกว่างคิ้วค่อยๆ เลือนหายไป แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพูดไปแล้ว เจ้าเองก็ได้ยินแล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ข้าให้พวกเจ้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้าเจ้าหวังดีกับนางจริงๆ ก็อย่ามาเจอกับนางอีก!”

เดิมทีนางนึกว่าต้องเปลืองคำพูดอีกมากมาย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะพยักหน้าตอบว่า “ได้เลย!”

หวงฝู่ตวนหรงอึ้งทันที ก่อนหน้านี้ยังเห็นเขาไม่ยอมหนีไปคนเดียวเพราะลูกสาวตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ เป็นเพราะถึงอย่างไรก็เคยเล่นไปแล้ว ก็เลยไม่ขาดทุนใช่มั้ย? นางอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้อีก ถ้าเจ้าไม่ปิดปากให้สนิท ตระกูลหวงฝู่ของข้าก็ไม่ได้อ่อนด้อยเช่นกัน ต่อให้ตระกูลหวงฝู่จะซวย แต่ก็ลากให้เจ้ามารับกรรมได้เหมือนกัน!”

“ท่านคิดจะจัดการจวินโหรวยังไง?” เหมียวอี้ถาม

หวงฝู่ตวนหรงบอกว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้าเป็นห่วงลูกสาวตัวเองยิ่งกว่าใคร!” สายตานางกวาดมองเตียงที่ยับยู่ยี่ กอปรกับกลิ่นประหลาดที่หลงเหลืออยู่ในห้อง ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีไฟลุกในใจ ลูกสาวแสนสวยของนางต้องเสียเปรียบให้คนสารเลวคนนี้ ทั้งชีวิตลูกสาวนับว่าพังหมดแล้ว นางไม่อยากจะอยู่ตรงนี้ต่อแม้สักวินาทีเดียว แสยะยิ้มแล้วหันตัวจากไปเลย

รอจนกระทั่งตอนที่เหมียวอี้ออกมาจากห้องอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาของนางแล้ว มีเพียงแสงจันทร์ที่อ้างว้าง

เหยียนซิวเหาะมาเหยียบลงข้างกายเขา แล้วถามด้วยเสียงเย็นวังเวงว่า “นายท่านเป็นอะไรมั้ย?”

เหมียวอี้ส่ายหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่เป็นอะไร เพียงแต่เงยหน้ามองพระจันทร์แล้วถอนหายใจ ยังไม่ทันเสพสุขกับหวงฝู่จวินโหรวเสร็จก็เจอเรื่องแบบนี้แล้ว นี่มันเรียกว่าอะไรกัน?

แต่เขาก็ต้องยอมรับเช่นกัน ว่านี่อาจจะเป็นจุดจบที่ดีที่สุดระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรว ไม่อย่างนั้นก็เขาก็ไม่มีทางอธิบายเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับหวงฝู่จวินโหรวได้เลย ตัดขาดแล้วก็ดีเหมือนกัน เพียงแต่เขารู้สึกผิดกับผู้หยิงคนนั้น!

เขาไม่ลืมที่จะหันกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้มีแค่เจ้าที่รู้ จะให้ฮูหยินรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

เหยียนซิวพยักหน้า รู้ว่าถ้าให้ฮูหยินรู้เรื่องนี้นายท่านจะต้องแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวแน่นอน ทั้งตระกูลเหมียวมีใครบ้างที่ไม่กลัวฮูหยิน?

นายท่านเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!

ที่ประตูเขตเมืองตะวันออก แม่นมหลิวที่เหาะลงจากฟ้าเดินตามหลังหวงฝู่ตวนหรงเข้ามาจนกระทั่งกลับถึงร้านค้าสมาคมวีรชน

พอเข้ามาในลานบ้านด้านใน ก็ทิ้งแม่นมหลิวเอาไว้ข้างนอก หวงฝู่ตวนหรงเดินเข้ามาในตึกคนเดียว เข้ามาในห้องนอนลูกสาวแล้วปิดประตู ก่อนจะโบกมือเรียกหวงฝู่จวินโหรวออกมา

หวงฝู่จวินโหรวมองไปรอบๆ พบว่ากลับมาถึงห้องนอนตัวเองแล้ว จึงดึงแขนมารดาด้วยสีหน้าตกใจกลัวทันที “ท่านแม่ ท่านทำอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ?”

หวงฝู่ตวนหรงสะบัดลูกสาวออก แล้วตอบด้วยสีหน้าเยียบเย็น “ไม่ได้ทำอะไร เห็นแก่หน้าเจ้า แม่ไม่อยากให้เจ้าปวดใจ เลยปล่อยเข้าไปแล้ว!”

“จริงเหรอ!” หวงฝู่จวินโหรวดีใจเหนือความคาดหมาย

“เป็นความจริงอยู่แล้ว แต่แม่เจรจากับเขาดีๆ เขาตอบตกลงแล้ว วางตั้งแต่นี้ไปจะตัดขาดกับเจ้าแบบไม่เหลือเยื่อใย และรับปากด้วยว่าจะรักษาความลับ ข้าคิดว่าเขาคงไม่หลอกข้า ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่ส่งผลดีอะไรกับเจ้า” หวงฝู่ตวนหรงกล่าว

ตัดขาดแบบไม่เหลือเยื่อใยเหรอ? หวงฝู่จวินโหรวตกใจ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีทาง!”

หวงฝู่ตวนหรงคว้าแขนนางไว้ รีบร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกวรยุทธ์บนตัวนาง แล้วก็ผลักนาง “แม่จำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยเหรอ? ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ติดต่อกับเขาเพื่อยืนยันได้เลย ดูซิว่าแม่พูดผิดหรือเปล่า!”

หวงฝู่จวินโหรวเห็นนางแน่ใจขนาดนี้ ในใจก็พรั่งพรูไปด้วยความสิ้นหวัง นางยังตัดใจไม่ได้ รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ เตรียมจะถามเหมียวอี้ใช้ชัดเจน

แต่ใครจะคิดว่าภาพตรงหน้าจะพร่ามัว รู้สึกตึงที่ข้อมือ หวงฝู่ตวนหรงคว้าข้อมือนางไว้แล้ว ก่อนจะรีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของนางอีก แย่งระฆังดาราออกมาจากมือนางแล้ว

หวงฝู่จวินโหรวได้แต่มองดู มองดูหวงฝู่ตวนหรงร่ายอิทธิฤทธิ์ลบบนระฆังดารา ลบตราอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้ที่อยู่บนระฆังดารา

ชั่วพริบตานั้น หวงฝู่จวินโหรวก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองตกหลุมพรางมารดา

สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย บนตัวนางมีระฆังดารามากมาย มารดาไม่สามารถรู้ได้ว่าตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราอันไหนเป็นของเหมียวอี้ ถ้าต้องเทียบระฆังดารามากมายขนาดนั้นก็ยุ่งยาก สิ่งแรกที่ต้องทำคือหาว่าของอันไหนที่เหมียวอี้ทิ้งตราอิทธิฤทธิ์ไว้บ้าง แต่ถ้าทำแบบนั้นไปทั่วก็จะทำให้คนสงสัย มารดาจึงใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ ให้ตัวเองเป็นฝ่าบนำระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหมียวอี้ออกมาเอง จะได้ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก

“ท่านแม่! นี่ท่านทำอะไร ท่านจะให้ข้ายืนยันกับเขาไม่ใช่เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าอย่างเศร้าโศก “เพราะอะไรคะ? ทำไมคะ?”

หวงฝู่ตวนหรงพลิกมือเก็บระฆังดาราอันนั้น สายตาที่มองลูกสาวเริ่มอ่อนโยนขึ้นทีละนิด นางถอนหายใจแล้วบอกว่า “ยืนยันหรือไม่ยืนยันก็ไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือแม่ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อตอบตกลงที่จะตัดขาดกับเจ้าแล้วจริงๆ ทั้งยังรับประกันด้วยว่าจะไม่มาเจอเจ้าอีก ทำแบบนี้ดีต่อเจ้าา และดีต่อเขาด้วย ให้เรื่องนี้จบลงตรงนี้เถอะ ถ้าเจ้ายังพัวพันกับเขาต่อไป ก็จะลากให้ตระกูลหวงฝู่ประสบหายนะแบบไม่มีทางฟื้นคืนได้อีกตลอดไป เจ้าทนเห็นพ่อกับแม่เจ้าโดนตำหนักสวรรค์ลากไปประหารได้เหรอ? เจ้าทนเห็นพ่อกับแม่หัวร่วงลงพื้นได้ใช่มั้ย? เลิกเพ้อฝันโง่เง่าได้แล้ว กลับตัวเถอะ กลับตัวตอนนี้ยังไม่สาย”

หวงฝู่จวินโหรวยังคงหน้าซีด ยังคงผมเผ้ายุ่งเหยิง นางโซเซถอยหลัง แล้วส่ายหน้าอย่างเสร้าสลด นางรู้ว่าสิ่งที่มารดาพูดนั้นถูกต้อง นางรู้ว่าสิ่งตัวเองทำมันผิด แต่ในใจนางปล่อยวางคนคนนั้นไม่ได้จริงๆ แต่นางก็ไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบากไปด้วย นางพึมพำไม่หยุดว่า “แล้วข้าจะไปทางไหนดี…”

หวงฝู่ตวนหรงจึงบอกว่า “ขอเพียงเจ้าตัดขาดการติดต่อกับเขา ก็เลือกไม่ยากหรอกว่าจะไปทางไหนดี! ข้าจะส่งคนมารับช่วงต่อร้านค้าที่นี่ ต่อไปนี้เจ้าอยู่ข้างกายแม่ แล้วแม่จะหาผู้ชายดีๆ ให้เจ้าสักคน เลิกกับหนิวโหย่วเต๋อเจ้าก็ยังใช้ชีวิตได้สบายดีเหมือนเดิม”

หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มน่าเวทนา “ร่างกายข้าเป็นของหนิวโหย่วเต๋อตั้งนานแล้ว ท่านจะให้ข้าหาผู้ชายที่ไหนได้อีก? ใครจะอยากได้รองเท้าขาดชำรุดอย่างข้า?”

หวงฝู่ตวนหรงเลิกคิ้ว “ตอนนี้รู้จักนึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ? อย่างมากก็ไม่ต้องแต่งงาน! ต่อให้แต่งงานแล้วยังไงล่ะ? คานไม้ของตระกูลหวงฝู่ก็เห็นๆ กันอยู่ มีคนอยากแต่งงานเข้ามาในตระกูลหวงฝู่ของข้าอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลหวงฝู่แล้ว เขาคนนั้นยังจะมีสิทธิ์มาชักสีหน้าใส่เจ้าอีกเหรอ? สามารถหาฮูหยินที่สวยขนาดลูกสาวข้าได้ เขาต้องแอบดีใจดี มีสิทธิ์อะไรมาเรื่องมากเลือกเยอะ! โหรวโหรว แม่จะบอกความจริงให้เจ้ารู้ก็ได้ ก่อนที่พ่อเจ้าจะแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ แม่ก็เคยผ่านผู้ชายคนอื่นมาแล้ว เคยติดหนึบอยู่ด้วยกัน เคยรักกันจนยากจะแยกจาก เพียงแต่คนคนนั้นไม่ยอมแต่งงานเข้าตระกูลเรา สุดท้ายก็ทำได้เพียงจบกัน เมื่อก่อนแม่ก็เคยกังวลเหมือนเจ้า แต่ตอนนี้แม่กับพ่อของเจ้าก็อยู่กันสบายดีไม่ใช่เหรอ ดังนั้นเรื่องบางเรื่องมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด!” ขณะที่พูดสิ่งนี้ดวงตาก็เหลือบต่ำลง ถ้าไม่ใช่เพื่อปลอบใจลูกสาว คาดว่าทั้งชีวิตนี้นางคงไม่บอกเรื่องนี้กับลูกสาว

หวงฝู่จวินโหรวสงบลงทันที เบิกตากว้างมองนาง…

“ได้ยินว่าท่านโหวเทียนหยวนลงจากตำแหน่งแล้วเหรอ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“จะเป็นยังไงได้ล่ะ? ตอนนี้เขากำลังทำงานที่จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง…”

จวนแม่ทัพภาคตงหัว เมื่อกันคนนอกออกไปหมดแล้ว เหมียวอี้ที่มาเยี่ยมเจ้านายเก่าก็ก็นั่งคุยกับปี้เยว่ฮูหยินในสวนดอกไม้ด้านหลัง ประเด็นสนทนาโยงไปถึงท่านโหวเทียนหยวน ไห่ยวนเค่อและไห่ผิงซินอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลังจากขอบคุณที่เหมียวอี้ดูแลไห่ผิงซินแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็ทำสีหน้าหดหู่ใจ แล้วบอกว่า “ถึงแม้จะไม่เจอกัน แต่ข้ากับไห่ยวนเค่อก็ติดต่อกันบ่อยๆ ทางเทียนหยวนข้าก็ติดต่อบ่อยเหมือนกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำอะไรอยู่ ตอนนี้ก็เจอลูกสาวไม่ได้ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมตามสนองข้า…”

เรื่องบางเรื่องไม่มีใครสามารถรับฟังนางได้ ตอนนี้ก็มีเพียงคนที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกอย่างเหมียวอี้แล้ว หลังจากพูดเรื่องนี้ ผู้หญิงคนนี้ก็พร่ำบ่นไม่หยุด

เหมียวอี้สังเกตเห็นว่าผู้หญิงที่เคยสวยหยาดเยิ้มมีสง่าราศี ตอนนี้ตรงหว่างคิ้วมีความระทมทุกข์ให้เห็นรางๆ หลังจากทนฟังนางบ่นได้พอสมควรแล้ว ก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ “ปี้เยว่ ให้ข้าขอยืมปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนั้นหน่อยได้มั้ย?”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท