เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน – ตอนที่ 52 เจ้าสำนักจื่อชิงผู้ยากจะลงจากหลังเสือ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 52 เจ้าสำนักจื่อชิงผู้ยากจะลงจากหลังเสือ

“ผู้อาวุโสหนานกง ? ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทว่าคนจากอีกฝั่งของศิลาสื่อจิตก็ยังมิตอบกลับมา จนสวีฉิงเทียนอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นอย่างกังวลมิได้

“เจ้าสำนักจื่อชิง เรียกหาข้ามีเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”

มิกี่อึดใจต่อมา ในที่สุดอีกฝั่งหนึ่งของศิลาสื่อจิตก็ส่งเสียงแหบแห้งกลับมา

“ผู้อาวุโสหนานกง หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เวลานี้มีคนแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีของท่านได้แล้วขอรับ”

สถานการณ์ตอนนี้กำลังวิกฤต เกี่ยวพันถึงสมบัติโบราณ 2 ชิ้น สวีฉิงเทียนจึงรีบเอ่ยเข้าประเด็นทันที

“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ ? ”

“มีคนสามารถแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารี ที่ข้าใช้เวลาคิดค้นมานับพันปีได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เจ้าสำนักจื่อชิง ท่านรีบบอกข้ามาว่าคนผู้นั้นคือผู้ใดกัน ! ”

เห็นได้ชัดว่าหลังจากรู้ว่ามีคนสามารถแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีของตนได้ หนานกงเสวียนจีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของศิลาสื่อจิต นอกจากจะมิโอดครวญใด ๆ แล้ว กลับยังเต็มไปด้วยความยินดีและแปลกใจ

สวีฉิงเทียนกระแอมเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองนักพรตฉางเสวียนที่ดูเคร่งขรึม ก่อนจะเพ่งสมาธิไปที่ศิลาสื่อจิตเพื่อเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ รวมทั้งความคิดของเขาให้หนานกงเสวียนจีได้รับรู้

“ตกลง ท่านบอกวิธีเดินหมากของฝ่ายตรงข้ามมาแล้วกัน ข้าก็อยากจะรู้ว่าคนเช่นใดกัน ที่สามารถแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีของข้าได้” หนานกงเสวียนจีที่อยู่อีกฝั่งของศิลาสื่อจิตตอบกลับมา

ขณะนั้นเองนักพรตฉางเสวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่สวี พวกเรามาเริ่มกันเถิด ! ”

สวีฉิงเทียนได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมองนักพรตฉางเสวียน ก่อนจะเม้มริมฝีปากเล็กน้อยและพยักหน้ารับเบา ๆ

เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์เห็นดังนั้น ต่างก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความตื่นเต้น

ครั้งนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบพันปี !

สวีฉิงเทียนใช้นิ้วสองนิ้วคีบหมากดำตัวหนึ่งขึ้นมา สบตานักพรตฉางเสวียนเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ วางหมากลงบนกระดาน

จู่ ๆ ก็เกิดประกายวาบขึ้นในดวงตาของนักพรตฉางเสวียน พร้อมกับหัวคิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นตำแหน่งที่สวีฉิงเทียนวางหมาก

เขาเอ่ยขึ้นมาในใจว่า ‘ยังเป็นกลหมากสี่มังกรพ่นวารี เพียงแต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง หรือว่าเจ้าเฒ่าสวีฉิงเทียนจะแก่จนเลอะเลือนเสียแล้ว ? ’

‘เขาน่าจะคิดได้แล้วว่าเวลานี้ข้าสามารถแก้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีได้ทุกรูปแบบ กลับยังจะใช้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีเพื่อเอาชนะข้าอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

คิดได้ดังนั้นนักพรตฉางเสวียนก็มีท่าทีอ่อนลง พลางลอบถอนหายใจกับตัวเอง

จากนั้นทั้งคู่ก็ผลัดกันเดินหมากไปมา

อีกทั้งความเร็วในการเดินหมากยังนับว่ามิได้ช้ามากอีกด้วย

ก่อนที่สวีฉิงเทียนหยุดการเดินหมากกะทันหัน เมื่อเห็นว่ากลหมากสี่มังกรพ่นวารีกำลังจะถูกนักพรตฉางเสวียนทำลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้ง

“ผู้อาวุโสหนานกง หากยังเดินตามรูปแบบของกลหมากสี่มังกรพ่นวารีต่อไป เกรงว่ากระดานนี้คงจะแพ้อีกเป็นแน่ขอรับ”

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วแน่น สีหน้าหม่นลง ดวงตาจับจ้องไปบนกระดานหมากมิกระพริบ

ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มเพ่งสมาธิไปยังศิลาสื่อจิต เพื่อเริ่มถามหนานกงเสวียนจี

“เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

หนานกงเสวียนจีที่อยู่อีกฝั่งของศิลาสื่อจิต มีน้ำเสียงแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักจื่อชิง ท่านบอกการเดินหมากของอีกฝ่ายให้ข้าทราบหน่อยได้หรือไม่ ? ”

สวีฉิงเทียนจึงได้อธิบายการเดินหมากของนักพรตฉางเสวียน และสถานการณ์ตอนนี้ให้หนานกงเสวียนจีทราบ

สุดท้ายอีกฝั่งของศิลาสื่อจิตก็ยังมิมีเสียงใดตอบกลับมา

นักพรตฉางเสวียนเองก็มิได้เร่งเร้าสวีฉิงเทียนแต่อย่างใด

เยี่ยงไรเสียหมากตานี้ก็เกี่ยวพันกับสมบัติโบราณถึง 2 ชิ้น

อีกทั้งเกมหมากที่ซับซ้อนเยี่ยงนี้ ฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องใช้เวลานานเพื่อคิดหาวิธีแก้เกมอยู่แล้ว

ร้อยปีก่อน ในการประลองหมากล้อมกระดานหนึ่ง เขาและสวีฉิงเทียนเคยนั่งอยู่อย่างนั้นสามวันสามคืน ต่างฝ่ายต่างมิมีใครยอมเดินหมาก

ดังนั้นอาการเงียบขรึมของสวีฉิงเทียนในเวลานี้ ย่อมถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว

สุดท้ายพวกเขาก็นั่งรออย่างสงบอยู่ตรงนั้นหนึ่งคืนเต็ม ๆ

จวบจนยามเที่ยงของวันถัดมา เสียงร้องของตั๊กแตนแว่วดังออกมาจากป่าไผ่

ในที่สุดก็มีเสียงจากอีกฝั่งของศิลาสื่อจิตดังขึ้น

“เยี่ยมจริง ๆ คาดมิถึงว่าในโลกนี้จะมีผู้ที่แตกฉานในวิถีหมากล้อมอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ ใช้หมากที่มิมีความเกี่ยวข้องใด ๆ มาคลี่คลายกลหมาก ดูเรียบนิ่งแต่ความจริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยกลอุบาย และหมากสังหารที่พร้อมบดขยี้ได้ตลอดเวลา”

หนานกงเสวียนจีที่อยู่อีกฝั่งของศิลาสื่อจิตเอ่ยว่า “ฝีมือเช่นนี้เกรงว่าคงมิเคยมีใครทำได้มาก่อน เป็นการวางหมากที่งดงามยิ่งนัก ดูเหมือนกำลังทำลายกลหมากสี่มังกรพ่นวารีของข้าอยู่ แต่แท้จริงแล้วกลับสร้างกลของตัวเองขึ้นมาแทน”

“ยอดเยี่ยม ช่างยอดเยี่ยมโดยแท้ ! ”

สวีฉิงเทียนเคร่งเครียดทันที เมื่อได้ยินหนานกงเสวียนจีเอ่ยออกมาเช่นนั้น จึงถามกลับไปอย่างอดมิได้ว่า “ผู้อาวุโสหนานกง หรือว่าท่านเองก็หมดหนทางที่จะตอบโต้แล้วเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“หมดหนทางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หนานกงเสวียนจีที่อยู่อีกฝั่งของศิลาสื่อจิตหัวเราะออกมาเบา ๆ “เจ้าสำนักจื่อชิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว การได้พบผู้อาวุโสที่เก่งกล้าในวิถีหมากเช่นนี้ ข้าย่อมอยากที่จะฝึกฝีมือด้วยอยู่แล้ว”

“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการใช้กลหมากสี่มังกรพ่นวารีสร้างเป็นกลหมากของตนเอง เช่นนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องทำลายกลหมากสี่มังกรพ่นวารี และแหลกลาญไปพร้อมกลหมากของอีกฝ่าย จากนั้นก็สร้างใหม่หลังทำลายแล้วค่อยเอาชนะอีกฝ่ายในช่วงเวลานั้น”

สวีฉิงเทียนตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ที่ได้ยินหนานกงเสวียนจีเอ่ยออกมา

เขาเองก็มีความแตกฉานในด้านหมากล้อมอยู่บ้าง จึงเข้าใจดีว่าการทำลายกลหมากของตนเองนั้นหมายความเช่นไร และการสร้างใหม่หลังทำลายหมายความเช่นไร

แต่ของเดิมพันของเขาในครั้งนี้ เป็นสมบัติโบราณ 2 ชิ้นที่มิอาจได้มาโดยง่าย

เช่นนั้นเขาจะแพ้มิได้เด็ดขาด !

“ผู้อาวุโสหนานกงมิมีวิธีอื่นแล้วจริง ๆ หรือขอรับ ? ”

สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาหรี่ลง ภายในใจของเขากำลังเกิดความรู้สึกสับสนและลังเลขึ้น

เนิ่นนานกว่าหนานกงเสวียนจีจะตอบกลับมา “สถานการณ์ในตอนนี้เกินกว่าจะแก้ไขแล้ว ตอนนี้จึงเหลือวิธีนี้เพียงวิธีเดียวเท่านั้น”

“ผู้อาวุโสหนานกง หากทำตามวิธีที่ท่านกล่าวมาจะมีโอกาสชนะมากน้อยเพียงใดหรือขอรับ”

หนานกงเสวียนจีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับมาว่า “4 ส่วน ! ”

“4 ส่วนแค่นั้นหรือ ? ”

แผ่นหลังของสวีฉิงเทียนเย็นเฉียบขึ้นมาทันที หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส หมากกระดานนี้เกี่ยวพันกับสมบัติโบราณถึง 2 ชิ้นเลยนะขอรับ”

“เจ้าสำนักจื่อชิง ข้าขอบอกท่านเช่นนี้ก็แล้วกัน”

หนานกงเสวียนจีถอดถอนใจก่อนเอ่ยว่า “หากคนที่ดวลหมากอยู่กับท่านเป็นผู้อาวุโสท่านนั้น ตามการคาดเดาของข้าเรามีโอกาสชนะมากสุดเพียง 4 ส่วนเท่านั้น แต่หากมิใช่ผู้อาวุโสท่านนั้นหรือเป็นผู้สืบทอดของเขา เช่นนั้นโอกาสชนะก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 7 ส่วน”

“7 ส่วนหรือ ? ”

สวีฉิงเทียนเหลือบมองนักพรตฉางเสวียนที่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวังถ้อยคำว่า “ผู้อาวุโสหนานกง ท่านมั่นใจหรือไม่ขอรับ ? ”

หนานกงเสวียนจีเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้าขอเอาชื่อเสียงของตัวเองเป็นเดิมพัน”

‘ชื่อเสียง ? ’

‘ชื่อเสียงของเจ้าเทียบกับสมบัติโบราณ 2 ชิ้นได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

สวีฉิงเทียนได้ยินคำตอบเช่นนี้ก็รู้สึกเหมือนยากจะลงจากหลังเสือ จนอยากจะตบหน้าตัวเองสักสองฉาด

เมื่อวานนี้คนที่บอกว่าต้องการจะเดิมพันครั้งใหญ่เป็นเขาเอง หากตอนนี้เขาต้องการจะยกเลิก แล้วอีกฝ่ายจะยอมงั้นหรือ ?

ที่นี่เป็นถิ่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หาใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงไม่ !

‘หมดกัน ! ’

คิดถึงตรงนี้ สวีฉิงเทียนจึงเอ่ยออกมาอย่างจนว่า “ผู้อาวุโสหนานกง ต่อจากนี้ข้าขอยกให้เป็นหน้าที่ของท่าน ! ”

ในขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้ารออยู่นั้น สวีฉิงเทียนก็คีบหมากขึ้นมาหนึ่งตัว ก่อนจะวางหมากลงในที่สุด

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

Status: Ongoing
นิยายแปลไทยเรื่อง เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน รายละเอียด เทพแห่งกระบี่ : หากผู้อาวุโสเย่มอบภาพอักษรพู่กันให้ข้าอีกสักภาพ พรุ่งนี้ข้าคงสามารถเปิดประตูสวรรค์ได้แล้ว …… ……เย่ฉางชิงรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เหตุใดถึงได้มีผู้คนแวะเวียนมาหาไม่แต่ละเว้นวันเช่นนี้นะ?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท