เมื่อได้ยินว่าเทพแห่งหมากคนปัจจุบันหนานกงเสวียนจีจะมา ก็ทำให้นักพรตฉางเสวียนอดที่จะนึกถึงการประลองหมากระหว่างเขากับสวีฉิงเทียนก่อนหน้านี้ขึ้นมามิได้
การประลองหมากครานี้ แม้สายตาของคนนอกจะมองว่าเป็นการประลองระหว่างเจ้าสำนักทั้งสอง แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการประลองระหว่างเทพแห่งหมากคนปัจจุบันและท่านบรรพจารย์เย่ต่างหาก
นอกจากนี้แม้แต่เทพแห่งหมากคนปัจจุบันหนานกงเสวียนจี ยังพ่ายแพ้ให้แก่ท่านบรรพจารย์เย่
การที่หนานกงเสวียนจีมาถึงเขาไท่เสวียน เป้าหมายหาใช่เขาไม่ แต่เป็นผู้ที่มีฝีมือลึกล้ำเช่นท่านบรรพจารย์เย่ต่างหาก
และสิ่งที่เขากังวลในเรื่องนี้ก็คือ แค่ตบะอันแก่กล้าของหนานกงเสวียนจียังมิรวมความแตกฉานในวิถีหมากของเขา นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต้องสั่นสะเทือนแล้ว
คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนวิถีแห่งหมาก มีชีวิตมาหลายพันปีและอาจมีชีวิตยืนยาวอีกนับหมื่นปี
เขาได้ฝึกฝนวิถีเต๋าอย่างหนักมาตลอดชีวิต ว่ากันว่าตบะของเขาตอนนี้ถึงช่วงปลายของขั้นถ้ำสวรรค์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุสู่ขั้นมหายานแล้ว
หลายปีมานี้มีข่าวลือว่า เขาเดินทางท่องไปทั่วทุกพื้นที่เพื่อตามหาคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีกัน
ถึงขนาดเคยเดินทางไปที่เทือกเขาแดนใต้เพียงลำพัง ต่อสู้กับเหล่าผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจ จนสามารถเข้าไปถึงเขตลึกสุดของเทือกเขาแดนใต้เพื่อประมือกับจ้าวปีศาจที่มีชีวิตอยู่มานับแสนปี แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปพร้อมความผิดหวัง
หลังจากนั้นเขาก็ได้เดินทางไปยังดินแดนรกร้างทางเหนืออันเป็นที่ตั้งของเผ่ามาร ทำศึกกับเผ่ามารสามวันสามคืนจนสุดท้ายก็สามารถบีบบังคับจ้าวแห่งมารที่กำลังเข้าญาณอยู่ให้ออกมาประมือกับเขาได้
ผ่านมาหลายสิบปี เขาก็ยังคงพบกับความผิดหวังอยู่ร่ำไป
และครั้งล่าสุดเขาก็ได้เดินทางไปยังต้นกำเนิดศาสนาพุทธอย่างซีม้อ กล่าวกันว่าเขาได้เดินหมากกับพระสงฆ์รูปหนึ่งถึง 500 ปี สุดท้ายก็เอาชนะไปได้ ก่อนจะกลับสู่จงหยวนและเร้นกายนับแต่นั้นมา
ข่าวลือมากมายเหล่านี้ทำให้เห็นว่าหนานกงเสวียนจีมิเพียงแต่แตกฉานในด้านหมากเท่านั้น แต่พลังของเขายังอยู่ในขั้นที่ยากจะรับมือได้อีกด้วย
หากหนานกงเสวียนจีมาที่นี่ และบีบบังคับเพื่อจะขอประลองกับท่านบรรพจารย์เย่ให้ได้เล่า
มิหนำซ้ำท่านบรรพจารย์เย่กลับยังคงเร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือ มิสนใจทางโลก เช่นนั้นอาจจะมิตกลงประมือกับหนานกงเสวียนจีก็เป็นได้
หากเป็นเช่นนั้นคนที่กลืนมิเข้าคายมิออกมากที่สุดก็คือเขาเอง
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนก็ได้แต่ลูบหน้าผากอย่างลำบากใจ
สวีฉิงเทียนที่เห็นเช่นนั้นก็มิกล่าวอันใดออกมา มิว่าจะได้เจอท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนหรือไม่ แต่เวลานี้ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพื่อถามในสิ่งที่น่าสนใจกว่า “พี่เหอ พวกเรายังมิต้องพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้หรอก แต่ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านมีความสัมพันธ์อันใดกับผู้สืบทอดของท่านกันแน่ ? ”
สิ้นเสียง เหล่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ด้านหลังของพวกเขา ต่างก็ให้ความสนใจขึ้นมาทันที
แม้พวกเขาจะดูเหมือนกำลังสนใจเวทีประลองตรงหน้า แต่มิมีผู้ใดที่มิเงี่ยหูฟังราวกับกลัวจะพลาดสิ่งใดไป
“อะไรนะ ! ”
นักพรตฉางเสวียนเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยิน ดวงตาดุดันจ้องเขม็งไปทางสวีฉิงเทียนพลางกัดฟันและกล่าวว่า “สวีฉิงเทียน หากข้ามีความสัมพันธ์กับฉางหมิงจริง เช่นนั้นเจ้าก็มีความสัมพันธ์กับผู้สืบทอดของพวกเจ้าด้วยน่ะสิ ? ”
“สูด ! ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่นักพรตฉางเสวียนตอบกลับ เหล่าคนที่อยู่ทางด้านหลังของพวกเขาทั้งคู่ต่างพากันสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองสีหน้าของสวีฉิงเทียนที่ดูมิสู้ดีเท่าไหร่นักแทบจะพร้อม ๆ กัน
ที่เจ้าสำนักไท่เสวียนพูดมามีเหตุผล
คนที่ช่างสังเกตล้วนมองออกว่า ผู้สืบทอดหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงถานไถชิง เสวี่ย มีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรที่เหนือว่าผู้สืบทอดอินฉางเฟิง
แต่สุดท้ายถานไถชิง เสวี่ยกลับมิได้ออกมาแสดงฝีมือในการประลองครั้งนี้ด้วย
อีกทั้งมินานมานี้สวีฉิงเทียนบังเอิญหลุดปากออกมาว่า อินฉางเฟิงจะได้สืบทอดเป็นเจ้าสำนักจื่อชิงคนต่อไป
เช่นนั้นก็แสดงว่าส่วนหนึ่งที่ถานไถชิง เสวี่ยมิได้ออกมาประลอง ก็เพราะเจ้าสำนักจื่อชิงกังวลว่านางจะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าศิษย์ในสำนัก และจะเป็นการข่มผู้สืบทอดอย่างอินฉางเฟิงเยี่ยงนั้นหรือ
ส่วนเหตุผลอีกข้อนั่นก็คือเรื่องที่นักพรตฉางเสวียนกล่าวถึง ว่าเจ้าสำนักจื่อชิงมีความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างกับอินฉางเฟิง
นักพรตฉางเสวียนที่บังเอิญเหลือบเห็นสายตาเคลือบแคลงสงสัยของเหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนัก ก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะกลืนคำพูดที่จะพูดออกมากลับลงไป
สวีฉิงเทียนก็กำลังหน้าแดงก่ำด้วยความกรุ่นโกรธเช่นกัน
เยี่ยงไรเสีย พวกเขาสองคนก็เป็นถึงเจ้าสำนัก มิควรที่จะมาทะเลาะกันให้เสียมารยาทต่อหน้าผู้คนเช่นนี้
สวีฉิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางกล่าวว่า “พี่เหอ อย่าได้โมโหไป ข้าเพียงพูดตามที่ได้ยินมาก็เท่านั้น”
นักพรตฉางเสวียนแค่นเสียงเบา ๆ มุมปากกระตุกเล็กน้อย “สวีฉิงเทียน จะอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงเจ้าสำนักจื่อชิง แต่กลับเชื่อข่าวลือเหลวไหลพวกนั้นหรือ ? ”
สวีฉิงเทียนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพียงแต่ล้อท่านเล่นเท่านั้น พวกเราสองคนต่างก็รู้จักกันมานาน ท่านมีจิตใจคิดแต่เรื่องบำเพ็ญเพียรละซึ่งทางโลก ข้าเองก็เช่นกัน เช่นนั้นการหยอกล้อครั้งนี้อาจจะดูแรงไปเสียหน่อย”
นักพรตฉางเสวียนปรายตามองสวีฉิงเทียน ก่อนแค่นหัวเราะออกมา “เจ้ารู้ด้วยหรือ ? ”
สวีฉิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่ทำให้คนฟังตกใจขึ้นมา “พี่เหอ ข้าอยากจะขอบอกท่านก่อนว่า ผู้อาวุโสหนานกงนั้นแท้จริงแล้วหาใช่คนมุทะลุไม่ ! ”
สีหน้าของนักพรตฉางเสวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาอ้าปากพะงาบ ๆ แต่มิรู้จะพูดสิ่งใดออกมา ท่าทางอึดอัดราวกับมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ
สุดท้ายจึงทำได้เพียงถลึงตาใส่สวีฉิงเทียนเท่านั้น
แต่ในระหว่างที่เขาลุกขึ้นยืนสะบัดแขนเสื้อเพื่อเตรียมจะจากไปนั้น ผู้อาวุโสนอกสำนักที่เฝ้าอยู่ด้านล่างภูเขากลับเดินเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน
“ท่านเจ้าสำนัก ด้านล่างเขามีผู้เฒ่านามว่าหนานกงเสวียนจีต้องการพบท่านขอรับ”
ผู้อาวุโสท่านนั้นยืนอยู่ด้านล่างแท่นนั่งชม ก่อนจะโค้งคำนับและรายงานออกไปนอบน้อม
“หนานกงเสวียนจี ! ”
“เทพแห่งหมากคนปัจจุบัน หนานกงเสวียนจีงั้นหรือ ? ”
“เขาคือหนึ่งในผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังแข็งแกร่งมากที่สุดแห่งยุคนี้เชียวนะ ! ”
ทันใดนั้น เหล่าผู้อาวุโสของทั้งสองสำนักที่นั่งอยู่บนแท่นนั่งชม ต่างก็สบตากันก่อนจะรีบเดินมาที่ราวกั้นด้านหน้า
ขณะเดียวกันสวีฉิงเทียนก็มีท่าทางแปลกใจเช่นเดียวกัน
‘ผู้อาวุโสหนานกงมาเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ ! ’
‘ข้ายังมิทันได้พบท่านบรรพจารย์เย่เลยด้วยซ้ำ ! ’
“พี่เหอ…”
สวีฉิงเทียนลุกขึ้นยืนเพื่อจะพูดกับนักพรตฉางเสวียน แต่กลับมิรู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด
นักพรตฉางเสวียนขมวดคิ้วมุ่น พลางมองผู้อาวุโสนอกสำนักด้วยท่าทางเคร่งเครียดแล้วถามขึ้นว่า “จั่วเหอ พวกเจ้าได้เสียมารยาทต่อผู้อาวุโสหนานกงหรือไม่ ? ”
‘ผู้อาวุโสหนานกงเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
ผู้อาวุโสนอกสำนักนามจั่วเหอชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสหนานกงท่านนี้ดูก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือ พวกข้าย่อมมิกล้าที่จะเสียมารยาทอยู่แล้วขอรับ”
ความจริงแล้วคนแรกที่พบหนานกงเสวียนจีก็คือจั่วเหอ เพียงแค่บังเอิญเห็นร่างของหนานกงเสวียนจี ก็รู้สึกตื่นตระหนกมากแล้ว
ต่อให้มีความกล้าหาญมากขนาดไหน เขาก็มิกล้าหาเรื่องยอดฝีมือที่น่ากลัวเช่นนี้ !
“ในเมื่อผู้อาวุโสหนานกงมาถึงเชิงเขาไท่เสวียนของเราแล้ว พวกเราย่อมมิควรจะเสียมารยาท”
นักพรตฉางเสวียนพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองเหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าทุกคนตามข้าไปต้อนรับผู้อาวุโสหนานกงเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียง นักพรตฉางเสวียนก็ได้จำแลงกายเป็นลำแสงและพุ่งขึ้นฟ้าไปทันที
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งตามไปโดยมิลังเล
“ศิษย์พี่สวี เวลานี้ทั้งสองสำนักกำลังจัดงานประลองฝีมือกันอยู่ คิดว่าผู้อาวุโสหนานกงก็คงทราบเรื่องนี้ดี พวกเราก็ควรจะไปต้อนรับด้วยหรือไม่ขอรับ ? ”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงเอ่ยถามขึ้น
สวีฉิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วย “แน่นอน ! ”