ตอนที่ 183 บนเขาตะวันออกมีอารามแห่งหนึ่ง
สองวันผ่านไปไวราวกระพริบตา
ทว่าสองวันมานี้สำหรับเย่ฉางชิงกลับยาวนานยิ่งนัก นานเสียยิ่งกว่าห้าปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือเสียอีก
ในที่สุดเช้าของวันที่สามจางเฉินก็มาตามนัด และปรากฏตัวขึ้นอีกคราที่หน้าประตูเรือนจิ่งหลันหยวน
ขณะเดียวกันสองวันมานี้เย่ฉางชิงก็ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว ที่จะทำการทดลองสอนที่สำนักศึกษาตงหลันในวันนี้
อีกทั้งเพื่อการทดลองสอนในวันนี้ เมื่อวานเขาจึงได้นำชุดคลุมสีขาวตัวนั้นไปซักจนสะอาด วันนี้จึงได้ลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่เช้า
เวลานี้เย่ฉางชิงในชุดคลุมสีขาวสะอาดตา สวมเครื่องประดับศีรษะเป็นหยกขาว ทำให้ทั้งดูหล่อเหลาและสง่างามกว่าทุกวัน
แต่พูดแล้วก็แปลก
ตั้งแต่มาอยู่เมืองหลวง มิรู้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศหรือว่าเหตุผลใด
รูปร่างหน้าตาของเย่ฉางชิงกลับดูดีขึ้นอย่างน่าประหลาด มิเพียงแค่ดูหล่อเหลาสง่างามเท่านั้น ทว่ายังมีรัศมีบางอย่างที่พิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปเพิ่มขึ้นอีกด้วย
มองดูแล้วให้ความรู้สึกราวกับเซียนตัวจริงก็มิปาน หากใครได้พบเห็นต่างก็รู้สึกเคารพยำเกรงทั้งสิ้น
เวลานี้เย่ฉางชิงและสองพี่น้องตระกูลเยี่ยนรวมทั้งถานไถชิง เสวี่ย กำลังนั่งอยู่ภายในโถงรับแขกที่ตกแต่งอย่างประณีต
“คุณหนูเยี่ยน ท่านพูดจริงหรือ ? ”
เย่ฉางชิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ บัดนี้กลับมีสีหน้าประหลาดใจเผยออกมาอย่างอดมิได้
“คงมิใช่เข้าใจผิดไปกระมัง”
คิ้วสีดำของเยี่ยนปิงซินขมวดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “ขอบอกท่านเย่ตามตรง ความจริงแล้วข้าเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน”
“ก่อนหน้าสำนักศึกษาตงหลันและสำนักศึกษาชางหมิงมีความคิดเห็นที่มิตรงกัน ทำให้ศิษย์ของทั้งสองสำนักมักจะประลองความรู้ และดวลสุราอะไรกันอยู่บ่อย ๆ แต่เมื่อได้ยินว่าท่านจะไปทำการสอนที่สำนักศึกษาตงหลัน บัณฑิตหลายคนของสำนักศึกษาชางหมิงกลับมาขอเข้าพบคนของสำนักศึกษาตงหลันด้วยตัวเอง”
เย่ฉางชิงหัวเราะออกมา “เช่นนั้นก็แสดงว่าวันนี้ศิษย์ของทั้งสองสำนัก ก็จะมาปรากฏตัวที่สำนักศึกษาตงหลันแทบทั้งสิ้นใช่หรือไม่ ? ”
เยี่ยนปิงซินพยักหน้าตอบ “คงจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับยิ้ม ๆ
แม้ผู้ที่เข้าฟังการสอนครานี้จะมากอยู่สักหน่อย
แต่หากมีศิษย์ของสำนักศึกษาชางหมิงเข้าฟังด้วย นั่นหมายความเขาก็จะมีโอกาสมากเพิ่มขึ้นน่ะสิ
หากเกิดการยื้อแย่งตัวเขาขึ้นมา เช่นนั้นเบี้ยหวัดของเขาย่อมต้องสูงขึ้นตามไปด้วย
ในตอนนั้นเองคนรับใช้รูปร่างกำยำผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู
“เรียนท่านเย่ ท่านบัณฑิตจางแห่งสำนักศึกษาตงหลันมาถึงแล้วขอรับ”
คนรับใช้โค้งคารวะ พร้อมกับเอ่ยรายงานอย่างนอบน้อม
เย่ฉางชิงได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้ากระจ่างใสเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ทุกท่าน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันเถิด”
เย่ฉางชิงกวาดตามองพวกเยี่ยนปิงซิน พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
พวกเยี่ยนปิงซินต่างยิ้มรับเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามหลังเย่ฉางชิงออกไปที่ด้านนอกประตู
“ผู้น้อยจางเฉินคาราวะท่านเย่ขอรับ”
เมื่อเห็นเย่ฉางชิงเดินเอามือไพล่หลังย่างก้าวออกมาอย่างมิรีบร้อน จางเฉินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็รีบโค้งคำนับลงทันที
เย่ฉางชิงโบกมือไปมาเป็นการปฏิเสธ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านจาง ก่อนหน้านี้ข้าบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ต่อไปเวลาเจอหน้ากันมิต้องมากพิธีถึงเพียงนี้”
จางเฉินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนจะประสานมือพลางเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “เรียนท่านเย่ หากมิรู้จารีต ก็ยากจะมีที่ยืนอยู่ในสังคมได้ ผู้น้อยเป็นอาจารย์แห่งสำนักศึกษาตงหลัน ย่อมมิอาจเสียมารยาทต่อหน้าท่านเย่ได้ขอรับ”
เย่ฉางชิงจึงทำได้แค่ยิ้มออกมาอย่างระอา
จากนั้นพวกเย่ฉางชิงรวมทั้งจางเฉินก็ได้ขึ้นรถม้าคันหนึ่ง ก่อนมุ่งตรงไปยังทิศตะวันออกของเมืองหลวง
“ท่านเย่ สำนักศึกษาตงหลันอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง แต่ตอนนี้ที่พวกเราอยู่นั้นเป็นทางทิศใต้ เช่นนั้นเราจึงต้องเดินทางไปอีกฝั่งหนึ่งของเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
เยี่ยนปิงซินมองด้านนอกรถม้า พร้อมกับแนะนำด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ระหว่างทางพวกเรายังต้องผ่านใจกลางเมืองหลวง อันเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุดอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะขอชื่นชมบรรยากาศของเมืองหลวงให้เต็มที่เสียหน่อย”
เย่ฉางชิงตอบกลับด้วยความสนใจ แล้วจึงหันไปพูดคุยกับถานไถชิง เสวี่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางชิงเซว่ ในเมื่อเจ้ามาเมืองหลวงเป็นคราแรก เช่นนั้นก็นั่งข้างคุณหนูเยี่ยนชื่นชมบรรยากาศของเมืองหลวงสักหน่อยเถอะ”
ถานไถชิง เสวี่ยฉีกยิ้มหวานออกมา ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งข้าง ๆ เยี่ยนปิงซิน
นับตั้งแต่ได้พบกันในเมืองหลวง จนได้ไปพักที่เรือนจิ่งหลันหยวน
ความจริงแล้วที่ผ่านมานางพยายามทำความเข้าใจจิตใจของผู้อาวุโสเย่มาโดยตลอด
ใช่แล้ว !
นางต้องการที่จะทำความเข้าใจจิตใจอันบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสเย่
ทว่าหลังจากที่พยายามมาหลายวัน แม้นางจะพอรับรู้ได้บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังมิได้ก้าวหน้าแต่อย่างใด
นั่นเป็นเพราะว่าจิตใจเช่นนี้ยากที่ใครจะสามารถมีได้ง่าย ๆ
จากความเข้าใจในช่วงเวลาที่ผ่านมา นางก็ตระหนักได้ว่าหากต้องการที่จะมีจิตใจอันบริสุทธิ์เช่นนี้บ้าง จะต้องปฎิบัติเช่นไร
ประการแรก จะต้องยอมรับและเพิกเฉยให้ได้
ประการที่สอง จงเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
ทั้งสองสิ่งนี้จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกจิตใจอันบริสุทธิ์
แม้ตัวนางจะถูกขนานนามว่าเป็นยอดสตรีแห่งยุค
อีกทั้งบัดนี้ยังมีตบะบารมีระดับก่อกำเนิดขั้นกลางแล้ว
แต่การบำเพ็ญเพียรนั้นเปรียบเสมือนการแล่นเรือทวนน้ำ หากมิคืบหน้าก็ถอยหลัง หากปล่อยไปตามนิสัยของนาง เกรงว่าการบำเพ็ญเพียรคงจะต้องหยุดชะงักเป็นแน่
เช่นนั้นสำหรับนางแล้ว การจะมีจิตใจอันบริสุทธิ์เช่นผู้อาวุโสเย่ ด้วยระดับของนางในตอนนี้ยังถือว่าห่างชั้นอีกยาวไกลนัก
ทว่านางหาได้รู้สึกท้อแท้ไม่
เวลานี้ได้ทราบถึงวิธีที่จะทำให้จิตใจบริสุทธิ์แล้ว วันหน้าขอเพียงนางฝึกสำเร็จ ก็จะสามารถมีจิตใจอันบริสุทธิ์ได้
ถานไถชิง เสวี่ยคิดถึงตรงนี้ก็ลอบมองใบหน้าด้านข้างที่หล่อเหลาของเย่ฉางชิง พลางบอกกับตัวเองภายในใจว่า ‘ขอเพียงอยู่ข้างกายผู้อาวุโสเย่ ทุกสิ่งก็สามารถเป็นวาสนาได้ทั้งสิ้น’
ขณะเดียวกันจางเฉินเองก็ได้เหลือบมองเย่ฉางชิง พลางครุ่นคิดถึงจิตใจของท่านเทพฉางชิงผู้นี้เช่นกัน
‘ยอดฝีมือเช่นนี้เกรงว่าคงอยู่มายาวนานแล้ว แต่กลับเหมือนชายหนุ่มธรรมดาทั่วไปก็มิปาน’
‘ยังคงตื่นตาตื่นใจกับสิ่งแปลกใหม่ แต่เมื่อมีคำถามที่ลึกลับซับซ้อนกลับสามารถตอบได้ลึกซึ้ง’
‘จิตใจเช่นนี้ ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก’
พวกเย่ฉางชิงที่นั่งอยู่บนรถม้า ต่างก็กำลังชื่นชมบรรยากาศและผู้คนในเมืองหลวงไปพลาง ๆ ระหว่างมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม
ในที่สุดทุกคนก็เข้าสู่ทิศตะวันออกของเมืองหลวง
เวลาผ่านไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูป
รถม้าก็วิ่งมาถึงถนนเส้นหนึ่งใกล้เขาตะวันออก
เมื่อมาถึงที่นี่เย่ฉางชิงก็ได้พบบางอย่างเข้า
แม้ที่นี่จะมิใช่ที่ที่พลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง และแทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะรกร้างก็ว่าได้ ทว่าถนนเส้นนี้กลับมีรถม้าและผู้คนพลุกพล่าน เทียบกับใจกลางของเมืองหลวงแล้วยังดูคึกคักกว่ามาก
อีกทั้งเมื่อได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่นอกรถม้าแล้ว ทำให้ตอนนี้เย่ฉางชิงได้ข้อมูลบางอย่างมา
บนเขาตะวันออกมีอารามหลังหนึ่ง
ชื่อว่าอารามฉางชิง !
อารามฉางชิงหลังนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ปกติแล้วผู้ที่ไปขอพรล้วนแต่สัมฤทธิ์ผล
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ
ขอเพียงมาสักการะที่ด้านล่างของเขาตะวันออก คนธรรมดาก็จะมีสติปัญญาเฉียบแหลมขึ้น ขจัดโรคภัยได้ร้อยแปดพันเก้า ส่วนผู้ที่บำเพ็ญเพียรนั้นจะได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นกว่าที่พยายามเป็นเท่าตัว
ทันใดนั้นเย่ฉางชิงก็เกิดรู้สึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับอารามฉางชิงแห่งนี้เป็นอย่างมาก
สิ่งแรกก็คือ เหตุใดถึงชื่อฉางชิงเหมือนเขาเลยล่ะ
เรื่องที่สอง อารามฉางชิงศักดิ์สิทธิ์มากมิใช่หรือ ?
ตั้งแต่เขามายังโลกเซียนแห่งนี้ แทบจะเรียกได้ว่าไปทางไหนก็พบแต่อุปสรรคไปหมด
วันนี้ได้เดินทางผ่านมาที่นี่ หรือว่าจะเป็นโอกาสและวาสนาของเขากันนะ ?
มินานจัตุรัสที่ขนาดกว้างแห่งหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา ด้านข้างของจัตุรัสมีป้ายหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่
ด้านบนมีอักษรโบราณที่เขียนอย่างมีพลังว่า “อารามฉางชิง”
ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้ลุกขึ้นยืน พร้อมกับเอ่ยว่า “หยุดก่อน ! ”