ตอนที่ 9 ถอนคืนจดหมายหย่า? (2)
แต่เฟิงหรูชิงก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่ชิงหลิงคิดแต่อย่างใด นางคิดเพียงแต่จะจัดการปัญหาเรื่องจวนองค์หญิง เพราะถึงอย่างไรการอยู่ในวังหลวงไปเรื่อยๆ แบบนี้ ต่อไปทำอะไรก็ไม่สะดวก หากมีจวนองค์หญิงของตัวเอง คงจะเบาใจไปได้มาก
ที่ไกลออกไปนั้น เฟิงหรูชิงเห็นชายหญิงคู่หนึ่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าห้องทรงพระอักษร
หญิงผู้นั้นสวมเสื้อเขียวกระโปรงผ้าแพร หน้าซีดเป็นไก่ต้ม นั่งคุกเข่าอยู่ทามกลางสายลมร่างกายดูผอมบางช่างน่าสงสาร
ผู้ชายสวมชุดแบบชาวฮั่น หลังเหยียดตรง นัยน์ตาของเขาเก็บซ่อนความโกรธแค้นไว้แต่ไม่กล้าแสดงมันออกมา ใบหน้าอ่อนหวานปานหยก แต่กลับชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ในเวลานั้น มีขันทีนายหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ หลิ่วอวี้เฉิน เขาสะบัดแส้ไปมา แล้วพูดด้วยเสียงแหลมๆ ว่า “คุณชายหลิ่ว คุณหนูถาน ฝ่าบาทให้พวกท่านกลับไปได้”
หลิ่วอวี้เฉินตัวเกร็ง เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามไปว่า “แล้วฝ่าบาทตรัสหรือไม่ว่าจะลงโทษตระกูลหลิ่วอย่างไร”
“คุณชายหลิ่วกลับไปรอฟังข่าวก็ได้มิใช่หรือ แต่ท่านควรจะดีใจที่องค์หญิงฟื้นแล้ว ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทไม่มีทางละเว้นตระกูลหลิ่วไปแน่”
ขันทีหัวเราะอย่างไร้ความเห็นใจและพูดเหน็บแนม
คนในแคว้นหลิวอวิ๋นมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าองค์หญิงเฟิงหรูชิงเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของฝ่าบาท แต่หลิ่วอวี้เฉินกลับใจกล้าบอกหย่ากับนาง นี่ไม่เท่ากับการถอนเขี้ยวเสือหรอกหรือ รนหาที่ตายแท้ๆ !
หลิ่วอวี้เฉินหน้าซีดขาว เขากำมือไว้แน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงคลายมือออกแล้วหันหลังไปมอง
ถานซวงซวงที่สภาพทนต่อไปไม่ไหว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสาร “ซวงเอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะ”
“ได้”
ถานซวงซวงยิ้มอ่อนหวาน แต่เพราะนางคุกเข่าเป็นเวลานาน ทำให้ขาชาไปหมด พอจะลุกขึ้นก็ล้มเซลงใส่อ้อมกอดของหลิ่วอวี้เฉิน
ถึงอย่างไรเฟิงหรูชิงก็เป็นผู้หญิงที่โหดเ**้ยม หากให้นางเจอถานซวงซวงในวังหลวงอีก ไม่แน่ว่านางอาจรังแกถานซวงซวงอีก
ชั่ววินาทีที่หลิ่วอวี้เฉินหันกลับมา ใบหน้าที่อ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์ เขายืนป้องตัวถานซวงซวงอยู่ด้านหน้าด้วยสัญชาตญาณ สายตาที่โกรธเคืองมองตรงไปที่คนซึ่งอยู่ตรงหน้า
ถานซวงซวงมองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นเฟิงหรูชิงที่อยู่กลางแดด นางตกใจจนรีบดึงเอาชายแขนเสื้อของหลิ่วอวี้เฉินไว้
เมื่อเปรียบกับถานซวงซวงที่ผอมเพรียว ร่างกายของเฟิงหรูชิงเทียบได้กับถานซวงซวงสามคนรวมกัน ใบหน้าที่อวบอ้วนและกลมชวนให้แววตาของหลิ่วอวี้เฉินแสดงความรังเกียจออกมา
“องค์หญิง ตอนที่ข้าหย่ากับท่าน เป็นเพราะท่านทำร้ายซวงเอ๋อร์ก่อน แถมยังทำให้แม่ข้าโมโหจนเป็นลมหมดสติ หากท่านโกรธก็มาลงกับข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับซวงเอ๋อร์ นางลำบากมามากพอแล้ว ท่านอย่ารังแกนางอีกเลย”
สายตาของเฟิงหรูชิงมองผ่านไปก่อนจะหยุดมองที่ใบหน้าเล็กๆ อันซีดเผือดของถานซวงซวง
ในวันนั้น ที่เฟิงหรูชิงคนเก่าทำร้ายถานซวงซวง ก็เพราะนางรักหลิ่วอวี้เฉินมาก
เฟิงหรูชิงรู้สึกขัดหูขัดตาที่เห็นถานซวงซวงวันๆ มาอยู่ที่จวนเสนาบดี แต่หลิ่วอวี้เฉินกลับไม่เคยนอนในห้องเดียวกับนางเลยสักคืน ยิ่งไปกว่านั้น มีสาวใช้แอบซุบซิบนินทา ประมาณว่าอีกไม่นานถานซวงซวงก็จะแต่งเข้ามายังจวนเสนาบดี ไม่แน่ว่าอาจมาบีบให้เมียหลวงออกจากบ้านไป นางโมโหจึงพุ่งเข้าไปตบตีถานซวงซวง
ซ้ำนางยังพูดต่อหน้าคนทั้งหลายว่า ต่อไปสกุลหลิ่วห้ามมีเมียน้อยเด็ดขาด ถ้ามีละก็จะอัดเมียน้อยให้น่วม แถมยังต่อปากต่อคำกับหลิ่วฮูหยิน ซึ่งเข้ามาห้าม ทำให้หลิ่วฮูหยินโมโหจนเป็นลมหมดสติไป
ตอนที่ 10 ถอนคืนจดหมายหย่า? (3)
ความจริงแล้วต่อให้ถานซวงซวงแต่งเข้ามายังสกุลหลิ่วก็ไม่มีทางบีบให้นางออกไปจากจวนได้ สาวใช้ในจวนเสนาบดีไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องขององค์หญิง ดังนั้นพวกสาวใช้เหล่านั้นจะมีเจตนาหรือไม่ ยังต้องรอพิสูจน์ต่อไป
“อวี้เฉิน” ถานซวงซวงถอยหลังไปด้วยความกลัว นางกัดริมฝีปากเบาๆ ในดวงตาอันสวยงามแฝงด้วยความหวาดกลัว “ท่านอย่าต่อปากต่อคำกับองค์หญิงอีกเลย ข้าเองที่ไม่ควรไปอยู่ที่จวนเสนาบดีทุกวัน เพราะแบบนี้จึงทำให้องค์หญิงโกรธ ที่องค์หญิงเฆี่ยนข้าสิบครั้งเป็นสิ่งที่ข้าสมควรได้รับอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวของถานซวงซวง และนึกถึงรอยเฆี่ยนที่อยู่บนตัวของนาง หัวใจของหลิ่วอวี้เฉินรู้สึกราวกับมีคนเอามือมาบีบขยี้ เจ็บปวดเหลือแสน
“องค์หญิง ข้ายอมรับว่าข้าไม่ควรหย่ากับท่าน หากท่านไม่ทำร้ายถานซวงซวง ไม่ทำให้แม่ข้าโมโหจนหมดสติไป ข้าคงไม่โกรธขนาดนี้ ดังนั้นไม่ว่าความผิดนั้นจะใหญ่โตแค่ไหน มันก็เป็นความผิดของข้าเพียงผู้เดียว ซวงเอ๋อร์ไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
สิ่งที่เขาทำผิดที่สุดคือการไม่ปฏิเสธพระบัญชาของฝ่าบาทเสียตั้งแต่แรก ไม่ควรแต่งกับองค์หญิงที่ไร้ความยำเกรงสิ่งใดผู้นี้
ส่วนเรื่องที่ซวงเอ๋อร์ต้องได้รับความยากลำบากนั้น
เฟิงหรูชิงใช้นิ้วมือคลึงที่คางเบาๆ แววตาแฝงด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเจ้าคิดว่านางได้รับความลำบาก เจ้าเป็นลูกผู้ชาย เจ้าก็ไปชดเชยให้นางเองแล้วกัน”
พูดตามตรง เฟิงหรูชิงเริ่มรู้สึกดูแคลนหลิ่วอวี้เฉินคนนี้
ถ้าหลิ่วอวี้เฉินรักถานซวงซวงจริง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาทิ้งถานซวงซวงแล้วมาแต่งงานกับนาง แต่ตอนนี้เขายิ่งไม่ควรพาถานซวงซวงมาร้องขอความเห็นใจด้วย
ถ้าเขาเป็นลูกผู้ชาย ก็ควรแบกรับความผิดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว ไม่น่าพาหญิงผู้เป็นที่รักมารับความลำบากด้วย
หลิ่วอวี้เฉินอึ้งไป เป็นไปได้ว่าเขาไม่เข้าใจที่เฟิงหรูชิงพูดเท่าใดนัก จากนั้น เขากัดฟันแล้วพูดต่อไปว่า “องค์หญิง ขอท่านได้โปรดปล่อยซวงเอ๋อร์ไป อย่าเอาเรื่องคนในจวนเสนาบดี ขอเพียงท่านยอมละเว้นพวกเขา ข้าหลิ่วอวี้เฉิน…ข้ายอมถอนคืนจดหมายหย่า”
ประโยคนี้ หลิวอวี้เฉินดูใช้ความพยายามอย่างมากในการพูดออกมาสีหน้าแสดงท่าทีอับอาย แต่ตอนนี้เขาจนหนทางแล้วจริงๆ ขอเพียงช่วยคนในจวนเสนาบดีไว้ได้ เขายอม…ใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง
มือที่วางอยู่ข้างลำตัวของถานซวงซวงกำแน่น เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เจ็บจนสีหน้าดูไม่ได้
นางอุตส่าห์ทำให้หลิ่วอวี้เฉินหย่ากับเฟิงหรูชิงจนได้ จะยอมให้นางกลับเข้ามาในจวนเสนาบดีอีกได้อย่างไร แต่เพราะเฟิงหรูชิงมีพ่อที่อำนาจล้นฟ้าทำให้หลิ่วอวี้เฉินต้องยอมแพ้อีกคราว
“น่าเสียดาย…” เฟิงหรูชิงส่ายหน้า “ผู้ชายของคนอื่นน่ะ ข้าไม่รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย”
หลิ่วอวี้เฉินตกใจ เขามองดูเฟิงหรูชิงตาค้าง “องค์หญิง ท่านหมายความว่าอย่างไร”
เฟิงหรูชิงยิ้มตาหยี “ข้าหมายความว่าข้าไม่รักเจ้า ต่อให้เจ้าไม่มีถานซวงซวง ข้าก็ไม่มีทางรักคนที่ไม่มีน้ำยา ไม่มีความรับผิดชอบอย่างเจ้า ซ้ำยังเป็นผู้ชายที่มีใจไม่จริง”
ผู้ชายคนนี้ ข้างหนึ่งก็มอบรักลึกซึ้งให้กับถานซวงซวง อีกข้างหนึ่งก็พูดว่าเฟิงหรูชิงเป็นภรรยา? ใจที่ไม่จริงแบบนี้ มีเพียงถานซวงซวงเท่านั้นแหละที่ชอบได้ลงคอ เดิมทีเฟิงหรูชิงไม่ได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์หลิ่วอวี้เฉิน แต่มาบัดนี้นางไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไป
ใบหน้าอันหล่อเหลาของหลิ่วอวี้เฉินแดงก่ำ เขากำหมัดแน่น “องค์หญิง ท่านจะตัดสินข้าอย่างไรก็ได้ แต่ท่านไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ความรู้สึกที่ข้ามีต่อถานซวงซวง ตอนที่ข้าแต่งงานกับท่านข้าเคยพูดว่า ข้ารับท่านเป็นภรรยาได้ แต่คนที่ข้ารักที่สุดยังคงเป็นถานซวงซวงเสมอ”
สายตาของเฟิงหรูชิงดูไม่สบอารมณ์ องค์หญิงคนเดิมช่างโง่เสียจริง ผู้ชายที่ในใจมีแต่คนอื่น แต่งงานด้วยจะมีความหมายอะไร
“บังอาจ” ขันทีตะคอกด้วยความโกรธ เดิมเขาคิดว่าหลิ่วอวี้เฉินตั้งใจจะขอโทษองค์หญิง เดิมทีเขาคงตั้งใจอย่างนั้นจริง แต่คิดไม่ถึงว่าหลิ่วอวี้เฉินยิ่งพูดยิ่งเลยเถิด จึงรีบพูดตำหนิออกไป