“เจ้าบ้านั่นกระฟัดกระเฟียดนำคนมาทำอะไรที่นี่?”
“เจ้าโง่รึไง ไม่เคยได้ยินข่าวเหรอว่าเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ากับเขาได้กันแล้ว!”
“เขาได้กับเถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าแล้วเกี่ยวอะไรกับตลาดสวรรค์ล่ะ?”
“โง่เอ๊ย! ฉู่จื่อซานจะบังคับให้ผู้หญิงคนนั้นแต่งงานด้วยไง ตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าฉู่จื่อซานตายยังไง? มาล้างแค้นไงล่ะ!”
“สงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าบ้านั่นอาจจะโจมตีเข้าประตูมา ฉู่จื่อซานเจ้านกโง่นั่น ไปหาเรื่องผู้หญิงคนไหนก็ไม่เอา ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ตัวเองเอาชีวิตไปเล่นก็ว่าหนักแล้ว ยังดึงเอาชีวิตพวกลูกน้องไปตายเป็นแสนอีก ดีไม่ดีครั้งนี้ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนอาจจะซวยไปด้วยก็ได้”
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องอะไร ตลาดสวรรค์ที่เพิ่งจะเงียบสงบ จู่ๆ ก็เริ่มปั่นป่วนแล้ว
“ผู้จัดการร้าน เขาคงไม่ถึงขั้นโจมตีตลาดสวรรค์ใช่มั้ย?”
“ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงก็ฆ่าแล้ว ทัพใหญ่หลายแสนของตำหนักสวรรค์บทจะฆ่าก็ฆ่า เขาจะแยแสชีวิตของพวกเราเหรอ? เจ้าหมอนี่มันไม่ได้ล้างเลือดตลาดสวรรค์เป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร มันเชี่ยวชาญเรื่องนี้จะตาย ความปลอยภัยต้องมาอันดับแรก รีบเก็บของแล้วหลบเถอะ”
“มั่วเหม่ออะไรอยู่? ยังไม่รีบเก็บของปิดร้านอีก เจ้าเวรหนิวโหย่วเต๋อนั่นมันอาจจะล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ได้ รีบๆ หน่อย…”
ผู้จัดการร้านหลายร้านรีบเรียกให้คนงานเก็บของและปิดร้าน หลบหลีกก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ข้าว่านะผู้จัดการร้านหลี่ เจ้ามัวเหม่ออะไรอยู่ หนิวโหย่วเต๋อจะมาคิดบัญชีให้เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋าแล้วนะ หลบก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
เรื่องบางเรื่องยังไม่ทันรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร ร้านข้างเคียงกับร้านละแวกนั้นเตือนกันและกันให้รีบปิดร้านหนีไป รีบเรียกให้คนงานเร่งมือหน่อย
ก็ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เรื่องที่เหมียวอี้ล้างเลือดตลาดสวรรค์ในปีนั้นจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ร่ำลือกัน แต่สิ่งที่เป็นข่าวลือก็ย่อมมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดข่าวลืออยู่แล้ว ลือไปลือมาจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าข่าวลือเป็นจริงขึ้นมาล่ะ โดยสัญชาตญาณแล้วคนเราก็ต้องเตรียมตัวเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุดสิ
“นี่ๆๆๆ! พวกเจ้าทำอะไรกัน? ใช่ว่าข้าจะไม่จ่ายเงินเสียหน่อย”
“ท่านลูกข้า ขออภัยด้วย ร้านเรามีธุระนิดหน่อย ท่านไปร้านถัดไปเถอะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? พวกเราดูอีกหน่อยไม่ได้รึไง?”
“ท่านลูกค้า ไปร้านถัดไปเถอะ ร้านนี้กำลังจะปิดแล้ว”
“พวกเจ้าทำการค้าขายกันอย่างนี้เหรอ?”
“ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ไปฟ้องที่จวนผู้บัญชาการแล้วกัน…”
ในชั่วขณะนั้นมีลูกค้าโดนผลักออกมาจากร้านไม่หยุด จากนั้นก็ปิดร้านเสียเลย ลูกค้าที่โดนไล่ออกนอกร้านพากันยืนด่าอยู่บนถนน แต่ไม่นานทุกคนก็ค้นพบกระแสการปิดร้านไล่ลูกค้าที่ตลาดสวรรค์ พอยืนบนถนนแล้วหันซ้ายหันขวามอง ก็เห็นว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนเลย
มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยงงเป็นไก่ตาแตก ตอนนี้เพิ่งจะค้นพบว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่โดนปฏิบัติด้วยอย่างไม่ยุติธรรมแบบนี้ ถึงขั้นสังเกตเห็นด้วยว่าหลังจากปิดร้านแล้ว ผู้จัดการร้านบางคนยังพากลุ่มคนงานหนีไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปไหน
คนที่ไม่ได้เปิดร้านค้าขายที่ตลาดสวรรค์ ก็จะทำความเข้าใจได้ยากว่าในเวลานี้ชื่อของ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ มีอิทธพลต่อตลาดสวรรค์อย่างไร มีคนมากมายไม่เข้าใจ แต่เมื่อมีคนที่เข้าใจอธิบายให้ฟังแล้ว ถึงได้เข้าใจกระจ่างในทันที
เมื่อเข้าใจกระจ่างแล้ว ก็มีลูกค้าไม่น้อยที่มาซื้อของเริ่มหวาดกลัว กังวลว่าจะโดนร่างแหไปด้วย มีบางคนเริ่มหาที่หลบ ไม่ใช่ว่าทุกคนกลัวหนิวโหย่วเต๋ออะไรนักหรอก แต่เป็นเพราะคนเราเวลาประสบเหตุวุ่นวาย ก็จะหลับหูหลับตาเชื่อฟังคนอื่นไว้ก่อน ดังนั้นมันจึงเหมือนกับโรคติดต่อ ภายใต้การแพร่เชื้อหวาดกลัวของพวกลูกค้าที่หลบหนี จึงมีคนหนีตามด้วย แต่จะหนีไปไหนได้ล่ะ ประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดหมดแล้ว หนีอุตลุตกันอยู่ในเมืองนี่แหละ
ในชั่วขระนั้น ร้านค้าเกือบเก้าในสิบส่วนของตลาดสวรรค์รวมตัวกันปิดร้าน ที่หัวถนนมีกระแสคนหลั่งไหล มีคนงานไม่น้อยแง้มประตูมองไปด้านนอก
ตลาดสวรรค์วุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว
นอกตำหนักคุ้มเมือง เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กับพวกช่างไม้กำลังรออยู่ตรงตีนบันไดสูงอย่างร้อนใจ อวิ๋นจือชิวถูกพาตัวเข้าไปในตำหนักคุ้มเมือง จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะอวิ๋นจือชิวส่งข่าวมาว่าไม่เป็นอะไร เกรงว่าทางนี้คงจะโจมตีฝ่าเข้าไปแล้ว
ช่างหินมองเข้าไปในซอยที่หัวถนนเป็นระยะ ตรงนั้นมีเงาคนหลายคนเดินไปเดินมา ล้วนเป็นคนของลัทธิมาร ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็เตรียมพร้อมจะโจมตีตำหนักคุ้มเมืองได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าถ้าไม่ถึงขั้นโดนกดดันจนหมดหนทางก็จะไม่ทำ ตอนนี้ยังคงการติดต่อกับอวิ๋นจือชิวได้ตามปกติ จะเห็นได้ว่าในตำหนักคุ้มเมืองไม่ได้ปิดกั้นการติดต่อระหว่างอวิ๋นจือชิวกับภายนอก แต่ถ้าอวิ๋นจือชิวที่ติดต่อมาเป็นระยะขาดการตอบสนองเมื่อไร ทางนี้ก็จะลงมือแล้วจริงๆ
ส่วนในกระเป๋าสัตว์ของอวิ๋นจือชิวก็มีผู้เฒ่าฟ่านอยู่ข้างใน ทำแบบนี้เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดเช่นกัน
แต่ในขณะนี้เอง มีเสียงรายงานตัวดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือตำหนักคุ้มเมือง ทำให้พวกเชียนเอ๋อร์ตะลึงงันทันที
“นายท่านมาแล้ว ในที่สุดนายท่านก็มาแล้ว!” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างดีใจมาก
พวกช่างไม้ก็โล่งใจแล้วเช่นกัน ถ้ามีคนของทางการที่สามารถประสานงานกับคนของทางการได้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย ถึงอย่างไรตำแหน่งของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ตำแหน่งสูงกว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อีก มิหนำซ้ำพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเขาก็ตัดสินใจแทนอวิ๋นจือชิวไม่ได้อยู่ดี
จากนั้นสิ่งที่ทำให้พวกเขางงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ผ่านไปไม่นานตลาดสวรรค์ก็วุ่นวายมาก บ้างก็ปิดร้าน บ้างก็ปฏิเสธลูกค้า ชั่วขณะนั้นทั่วทุกหนแห่งบนหัวถนนก็มีคนวิ่งเต็มไปหมด พวกเขาได้ยินกับหูว่าร้านค้าฝั่งตรงข้ามมีคนตะโกนว่า : หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว รีบปิดร้าน!
ช่างหินเห็นคนของลัทธิมารที่อยู่ในซอยโดนกลุ่มคนพุ่งใส่จนไม่รู้จะยืนตรงไหน แต่ละคนเอาตัวติดกำแพง เขาอดไม่ได้ที่จะเกาหัวแล้วถามว่า “ตะโกนชื่อนายท่าน แล้วก็ปิดร้าน แล้วก็วิ่งพล่านไปทั่ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“เล่นใหญ่เกินไปรึเปล่า?” ช่างไม้ถามอย่างงุนงง
“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้มั้ย?” บัณฑิตกลับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองหน้ากันเลิกลั่ก นายท่านน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
หนิวโหย่วเต๋อ’ ไม่มีภัยอันตรายอะไรกับพวกเขา พวกเขาย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกที่พ่อค้าพวกนั้นยอมปลอดภัยไว้หน่อยดีกว่าไปหาเรื่องเหมียวอี้
คนที่งุนงงเหมือนกันก็คือกลุ่มคนที่อยู่ตรงฐานกำแพงเมืองด้านในประตูเมืองตะวันออก
คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกโกวเยว่ พวกจั่วเอ๋อร์ พวกถังเฮ่อเหนียน พวกต้วนหง
เม่ยเหนียงและลูกสาวสวมหมวกมุ้งแล้ว ส่วนอีกสามฝ่ายก็มีผู้หญิงอีกสามคนสวมหมวกมุ้งเช่นกัน
ทั้งสี่ฝ่ายสืบเรื่องเวลาที่เหมียวอี้จะมาถึงเรียบร้อยแล้ว ต่างก็เตรียมตัวจะมาดูว่าเหมียวอี้มีสภาพเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ใครจะคิดว่าจะพบกันโดยมิได้นัดหมายที่นี่
โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ถังเฮ่อเหนียน ต้วนหง สี่คนนี้สนิทคุ้ยเคยกันเป็นพิเศษ เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่รู้จักกันมาแล้วหลายปี ถึงแม้จะปลอมตัวแล้ว แต่เห็นครั้งแรกก็จำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ทั้งสองฝ่ายกำลังมองประเมินกัน ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนของเหมียวอี้ดังมาแล้ว จากนั้นก็พบว่าตลาดสวรรค์วุ่นวายโกลาหล ร้านค้าปิดประตูไล่แขก บนถนนทุกสายมีคนวิ่งพล่าน ราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เห็นผี
โดยเฉพาะตรงประตูเมืองตะวันออกที่พวกเขาอยู่ ผู้จัดการร้านของร้านค้าเกือบทุกร้านกำลังพาคนงานวิ่งอยู่บนถนนด้วยกัน เป็นเพราะอยู่ใกล้ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ มากที่สุด กลัวว่าจะประสบเคราะห์ก่อน จึงอยากหลบให้ไกลสักหน่อย ไม่นานก็ทำให้ข้างกายพวกเขาว่างเปล่า กลับดูสะอาดสะอ้านด้วยซ้ำ
ฉากนี้อลังการงานสร้างเกินไปจริงๆ ทำให้คนของสี่อ๋องสวรรค์คาดเดาไม่ออก โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ถังเฮ่อเหนียน ต้วนหงมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก
“ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกลจริงๆ!” จั่วเอ๋อร์พูดกึ่งแสยะยิ้ม
นางไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้สักเท่าไร จึงไม่ได้พูดจาเกรงใจอะไรขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็คงไม่มาประสมโรงกับเรื่องนี้หรอก
ส่วนอิ๋งเยว่ที่สวมหมวกมุ้งอยู่ข้างกายนาง ก็เคยเห็นเหมียวอี้มาแล้วครั้งหนึ่งในงานพิธีรับจ้านหรูอี้เข้าวังที่อุทยานหลวง นางไม่ได้รู้สึกดีกับเหมียวอี้ เป็นเพราะตระกูลอิ๋งมีความแค้นกับเหมียวอี้ฝังลึกเกินไป การตายของอิ๋งเหย้าที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางเกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งเขายังเคยกวาดล้างร้านค้าของนางที่ตลาดสวรรค์ด้วย กอปรกับเเคยทำให้ตระกูลอิ๋งเสียหน้าในงานแต่งงานของจ้านหรูอี้ จะให้รู้สึกดีด้วยได้ก็แปลกแล้ว ในกลุ่มสหายของนางก็ไม่ได้พูดถึง ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ดีสักเท่าไรนัก
ก็เพราะด้วยเหตุนี้ ตระกูลอิ๋งจึงอธิบายเหตุผลให้อิ๋งเยว่ฟังล่วงหน้าจนเข้าใจแล้ว นางไม่มีสิทธิ์ไม่ยอมรับ นี่คือสิ่งที่นางต้องเสียสละ นับว่าดำเนินรอยตามจ้านหรูอี้ก็แล้วกัน ดังนั้นจั่วเอ๋อร์จึงไม่ถือสาที่จะพูดถึงเหมียวอี้ไม่ดีต่อหน้านาง
“ครั้งนี้จะมารู้จักหน้าค่าตาสักหน่อย แต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า ก็ได้รับรู้ชื่อเสียงบารมีของเขาที่ทำให้ ‘เด็กน้อยกลัวจนหยุดร้องไห้’ ซะแล้ว ภาพเหตุการณ์แบบนี้หาพบได้ยากมาก นับว่ามาไม่เสียเที่ยว” ถังเฮ่อเหนียนมองดูปรากฏการณ์วุ่นวายบนถนนพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ ในน้ำเสียงแฝงอารมณ์หยอกล้อหลายส่วน เป้าหมายของเขาแตกต่างออกไป โค่วเหวินลวี่ที่มาพาเป็นเพียงการตบตาเท่านั้น ดังนั้นจึงพูดจาอย่างไม่กังวลสักเท่าไรนัก
โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าทางซ้ายทีทางขวาที แล้วพึมพำว่า “ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ต่อให้ปลอมใบหน้าแล้วแต่ก็ยังแก้นิสัยเก่าไม่หาย เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกน้องเก่าของตัวเองจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ที่ตลาดสวรรค์ ตัวเองเหมือนจะเคยเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์มาก่อนเหมือนกัน ทำไมถึงสัมผัสความรู้สึกนี้ไม่ได้นะ?
เมื่อได้ยินเสียงคนตะโกนอย่างตกใจว่า ‘หนิวโหย่วเต๋อมาแล้ว’ พร้อมวิ่งหนี บวกกับคำพูดของจั่วเอ๋อร์และถังเฮ่อเหนียน ก่วงเม่ยเอ๋อร์ที่สวมหมวกมุ้งก็อดไม่ได้ที่จะถามเสียงสั่น “หนิวโหย่วเต๋อนั่นน่ากลัวขนาดนี้เชียวเหรอ?”
นางเองก็มาเที่ยวเล่นที่ตลาดสวรรค์บ่อยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้มาที่ตลาดสวรรค์ของดาวนี้ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นตลาดสวรรค์ปั่นป่วนขนาดนี้มาก่อน ต่อให้จะตามท่านพ่อมาที่ตลาดสวรรค์ แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครกลัวขนาดนี้เลย! ไม่น่าเชื่อว่าท่านแม่จะให้นางแต่งงานกับคนที่น่ากลัวขนาดนี้…
“ใช่เม่ยเอ๋อร์รึเปล่า?” เมื่อได้ยินเสียงของเม่ยเอ๋อร์ ผู้หญิงสวมหมวกมุ้งที่อยู่ข้างกายถังเฮ่อเหนียนก็ถามหยั่งเชิง นางก็คือโค่วเหวินลวี่ พี่สาวของโค่วเหวินหลานที่ติดตามมาด้วยนั่นเอง
“พี่หญิงลวี่!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ดีใจทันที ใช้สองมือเปิดม่านของหมวกมุ้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
โค่วเหวินลวี่ก็เปิดม่านมุ้งเช่นกัน เผยใบหน้าที่สวยละเอียดอ่อนออกมา นางยิ้มบางๆ อย่างสง่างามมาก
“พี่หญิงลวี่ ท่านมาได้ยังไงคะ?” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ก้าวเข้าไปจับมือนางอย่างตื่นเต้นทันที
ใครจะคิดว่าผู้หญิงสวมหมวกมุ้งข้างกายต้วนหงจะเปิดม่านมุ้งออกมาเช่นกัน เผยใบหน้าที่ขาวนวลดุจแสงจันทร์ ดวงตาสวยดุจบ่อน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ริมฝีปากแดงโค้งยิ้มเล็กน้อย “พี่หญิงลวี่ น้องเม่ยเอ๋อร์”
ผู้หญิงสองคนหันมามองแวบหนึ่ง ก่วงเม่ยเอ๋อร์อุทานอย่างตื่นเต้นประหลาดใจอีกว่า “พี่หญิงเยี่ยนจื่อ!”
พอผู้หญิงทั้งสามคนมาเจอหน้ากัน จิตใต้สำนึกก็สั่งให้มองไปที่อิ๋งเยว่ เดิมทีอิ๋งเยว่ไม่อยากเปิดเผยใบหน้า แต่สุดท้ายก็ยังเปิดม่านมุ้งออกมาช้าๆ โดยไม่รู้ตัว เผยใบหน้าสวยอ่อนโยนดุจบุปผาวสันต์จันทร์สารท เผยฟันเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ว่า “พี่หญิงลวี่ พี่หญิงเยี่ยนจื่อ น้องเม่ยเอ๋อร์” นางพอจะเดาออกถึงเจตนาของอีกสามคนแล้ว
พวกนางมีฐานะใกล้เคียงกัน มักจะเที่ยวเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ การต่อสู้แข่งขันระหว่างตระกูลไม่ได้มีผลกระทบอะไร ถ้าตระกูลไหนโดนโจมตีจนล้ม ก็ย่อมตัดขาดการไปมาหาสู่กัน
แต่ไม่นานทั้งสี่ก็มองไปยังเม่ยเหนียงที่สวมหมวกมุ้งอีก ก่วงเม่ยเอ๋อร์แอบแลบลิ้นออกมา ฮ่าวชิงเยี่ยนจึงถามเม่ยเหนียงอย่างไม่แน่ใจว่า “ท่านคือ?”
ต้วนหงพูดตัดบทว่า “คุณหนู อย่าเอะอะก่อกวนสิ” ในน้ำเสียงเจือการตำหนิ
ฐานะของคนบางคน แค่รู้อยู่แก่ใจก็พอแล้ว ถ้าเปิดเผยออกมา ทุกคนก็จะต้องก้มหัวทำความเคารพกันหมด ไม่เป็นประโยชน์ต่องานที่ตัวเองกำลังจะทำ
โกวเยว่เองก็ไม่อยากให้เม่ยเหนียงเปิดเผยตัวในโอกาสและสถานที่แบบนี้เช่นกัน จึงหันตัวกระโดดขึ้นไปบนกำแพงก่อน แล้วคนที่เหลือก็ทยอยกันตามไป ทหารยามไม่ได้ขัดขวางพวกเขา กลับพาพวกเขาขึ้นไปบนตึกกำแพงเมืองด้วยซ้ำ เพราะมีคนบอกข่าวให้รู้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นรองผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์อย่างฟางลี่เหิงก็คงไม่มีทางขึ้นมาเฝ้าบนกำแพงเมืองนี้เองหรอก
เพียงแต่ฟางลี่เหิงในตอนนี้กำลังตกตะลึงอ้าปากค้าง ใช้สองมือประคองบนกำแพง เบิกตากว้างจ้องมองกำลังพลนอกเมืองอย่างหวาดกลัว หนิวโหย่วเต๋อเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้าเวรที่น่ากลัวเหมือนผีนี่เอง! จะนำกำลังพลมาที่นี่พร้อมกลิ่นอายสังหารทำไม? เขาพอจะเดาออะไรออกแล้ว พอนึกขึ้นได้ว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง เขาใจสั่นเล็กน้อย แผ่นหลังมีเหงื่อกาฬซึมแล้ว ขนาดฉู่จื่อซานหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงยังโดนกำจัดทิ้งไปแล้วเลย! ยังจะมีอะไรที่เจ้าบ้านี่ยังไม่กล้าทำอีกล่ะ?
…………………………