ตอนที่ 109 น่าขายหน้าเหลือเกิน (1)
ถังจือเงียบ นัยน์ตาบ่งบอกถึงการครุ่นคิด
ผ่านไปสักพัก พลังวิเศษที่หมุนเป็นพายุยังไม่หายไป และในกระแสลมที่พัดแรงนั้น นางรู้สึกได้ถึงพลังวิเศษของตัวเองที่เคลื่อนไหวอย่างควบคุมไม่ได้
“ถังจือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” หลิงอวิ้นตะลึง “การบรรลุระดับตี้อู่ ทำไมถึงส่งผลกับคนที่อยู่โดยรอบได้มากขนาดนี้ กำลังความสามารถของพวกเราเข้มแข็งกว่าองค์หญิงนี่ พลังของนางจะกระทบกระเทือนพวกเราได้อย่างไร”
ถังจือเงยหน้าขึ้น “หลายปีก่อน ข้าได้เห็นผู้มีฌานระดับเสวียนอู่สองคนต่อสู้กัน กระแสลมจากการต่อสู้ของพวกเขา ก็ส่งผลต่อพลังวิเศษในตัวของข้า หลังจากนั้นก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นอีกเลย”
แต่ผู้ที่มีฌานระดับเสวียนอู่ขั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ในแคว้นหลิวอวิ๋นนี้ ผู้ที่เก่งกาจที่สุดก็อยู่แค่ระดับหลิงอู่เท่านั้น
เหตุใดการบรรลุขององค์หญิง ถึงแปลกประหลาดเช่นนี้
“อีกอย่าง ข้าจำได้ว่าเมื่อสองเดือนก่อนองค์หญิงยังเป็นเพียงผู้มีฌานระดับชูอู่ขั้นล่าง ตอนนี้กระโดดข้ามมาเป็นตี้อู่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอ”
หลิงอวิ้นเม้มปาก “งั้นเรื่องนี้…”
“เรื่องนี้ห้ามใครเอาไปพูดทั้งนั้น หากใครปากโป้งจะต้องถูกลงโทษตามวินัยทหาร!” ถังจือมองพวกทหารที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาจริงจัง น้ำเสียงเฉียบคมดุจกระบี่ “พวกเจ้าพาองค์หญิงไปส่งที่จวน ส่วนข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาท”
“ค่ะ หัวหน้า”
ทุกคนขานรับด้วยความเคารพ
ถังจือมองเหล่าทหาร นางกลับหลังแล้วหายตัวไปจากสวนหย่อมภายในพริบตา ราวกับเป็นสายลมพัดผ่าน
…
ตำหนักเจิ้งเหอ
เฟิงเทียนอวี้นั่งพิงหัวเตียง หมอหลวงที่อยู่ข้างๆ กำลังแมะชีพจรให้เขา ผ่านไปสักครู่ หมอหลวงคนนั้นยิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด สีหน้าอันแก่ชราเต็มไปด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง
เมื่อเห็นสีหน้าของหมอหลวง เฟิงเทียนอวี้ก็เข้าใจได้ทันที เขายิ้มน้อยๆ “ท่านหมอหลิว ข้ารู้สภาพร่างกายของข้าดี เดี๋ยวท่านเอาผลจางหงกั่วมาให้ข้าแล้วก็ออกไปได้”
ท่านหมอหลิวคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้จนพูดไม่เป็นคำ “ฝ่าบาท พระองค์จะเสวยผลจางหงกั่วไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ถึงมันจะช่วยให้พระองค์รู้สึกดีขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน พระอาการจะยิ่งหนักกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงเทียนอวี้ขมวดคิ้ว น้ำเสียงราบเรียบ “ช่างมันเถอะ เพื่อนางแล้วถ้าข้าอยู่ได้วันหนึ่ง ข้าก็จะอยู่ ถ้าคนข้างนอกรู้ว่าข้าป่วย จะเป็นภัยอันตรายกับแคว้นหลิวอวิ๋น ข้าไม่อยาก…ให้ชิงเอ๋อร์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
หลายปีมานี้ สุขภาพของเขาแย่ลงทุกวัน เรื่องนี้เขารู้ดี
คนทั้งหลายต่างคิดว่าเขาสุขภาพแข็งแรง นั่นเป็นเพราะการกินผลจางหงกั่วต่างหาก
ถึงอย่างไร…เขาก็อยู่ต่อได้อีกไม่นาน หากประคับประคองตัวเองเพื่อทำเรื่องอะไรได้บ้าง เขาอาจแก้แค้นให้เยียนเอ๋อร์ได้บ้าง ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร เขาก็คิดว่าคุ้มค่า
“ฝ่าบาท”
ขณะนั้นเอง องครักษ์นายหนึ่งเดินเข้าประตูมา กราบทูลด้วยท่าทีนอบน้อม “ถังจือหัวหน้าทัพเลือดเหล็กมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงเทียนอวี้แปลกใจ ปกติถังจือไม่ค่อยออกมาจากสวน เว้นเสียแต่จะมีเรื่องสำคัญ
หรือว่า…เป็นเรื่องชิงเอ๋อร์?
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ แล้วบอกให้ถังจือเข้ามา”
เขาประคองตัวเองลุกจากเตียง และไอแห้งๆ ผลจางหงกั่วที่กินเข้าไปไม่เป็นผล เขาดูไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ครู่หนึ่ง พวกหมอหลวงก็หลีกออกไป และมีหญิงรูปร่างงามสง่ามีราศีเดินเข้ามาจากนอกตำหนัก
นางประสานมือถวายความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่ต้องมากพิธี” เฟิงเทียนอวี้กวักมือให้ลุกขึ้น “เจ้ามาหาข้า มีเรื่องอะไรจะรายงาน”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อสักครู่…องค์หญิงบรรลุฌานขั้นตี้อู่เพคะ อีกอย่าง…หม่อมฉันคิดว่าการบรรลุของนางมีบางอย่างไม่ปกติ จึงมากราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ ขอทรงพิจารณา”
……………………………….
ตอนที่ 110 น่าขายหน้าเหลือเกิน (2)
จากนั้นถังจือก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฟิงหรูชิงออกมาเป็นลำดับ โดยเฉพาะการที่นางกระโดดข้ามจากระดับชูอู่มาระดับตี้อู่ด้วยระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน
พรสวรรค์ที่พิเศษนี้ ไม่มีใครจะมาเทียบได้!
เฟิงเทียนอวี้หัวเราะ “อย่างนี้นี่เอง ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมการบรรลุระดับตี้อู่จะมีผลได้ขนาดนี้ คงเป็นเพราะชิงเอ๋อร์มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก ที่จริงสมัยนางเด็กๆ ข้าเคยให้คนมาทดสอบพรสวรรค์ของนาง ก็พบว่า…เป็นพรสวรรค์ที่น้อยคนนักจะมี แต่น่าเสียดาย…”
น่าเสียดายที่เมื่อเฟิงหรูชิงเข้าสู่วัยที่เริ่มฝึกตบะได้ กลับได้พบกับหรงกุ้ยเฟยที่ครอบงำนางเป็นเวลาถึงสิบกว่าปี
นางถูกหรงกุ้ยเฟยทำให้เสียนิสัย อาจารย์สอนฝึกตบะที่เขาส่งไปให้ล้วนถูกนางไล่ตะเพิดไปหมด ทำให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางไม่เคยฝึกฝนจริงๆ สักที ผู้คนต่างคิดว่านางเป็นพวกไม่เอาถ่านโดยกำเนิด ไม่มีใครรู้ว่า นางเฉลียวฉลาดที่พันปีจะมีสักหน เพียงแค่ไม่เคยฝึกฝนอย่างจริงจังเท่านั้นเอง
“ลูกสาวของข้า ไม่ด้อยกว่าใครทั้งนั้น” ประโยคนี้ เฟิงเทียนอวี้พูดอย่างภาคภูมิใจและดีอกดีใจ
ถังจือไม่ได้พูดอะไรอีก
หากเฟิงหรูชิงอยู่ตรงนี้ด้วย นางต้องเข้าใจว่าเหตุใดการเปลี่ยนแปลงที่หญิงใหญ่ของนางจึงไม่ถูกสงสัย เพราะมันตรงกับคำพูดที่กั๋วซือเคยทำนายไว้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจทูลถาม กั๋วซือ…เป็นใครมาจากไหนหรือเพคะ”
“กั๋วซือ? ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด เขาอาจเป็น…คนจากตระกูลที่มีอิทธิพลพวกนั้น แต่นี่ก็เป็นแค่การคาดเดา หลายปีก่อน เขามาที่นี่โดยไม่รู้สาเหตุ” อาจเป็นเพราะเฟิงเทียนอวี้ไว้วางใจถังจือมาก จึงไม่คิดปิดบัง “แต่ข้าคิดว่า เขาคงมาเพราะชิงเอ๋อร์”
ถังจือเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ “เพราะองค์หญิงหรือเพคะ?”
“มันก็แค่ความรู้สึกน่ะ ข้าคิดว่าที่เขามาก็เพราะชิงเอ๋อร์ หลายปีที่ผ่านมา เขากลับไม่พูดจากับชิงเอ๋อร์ ข้าเกือบคิดว่าตัวเองคิดผิดไปเสียแล้ว จนเมื่อไม่นานนี้กั๋วซือจึงรับชิงเอ๋อร์ไว้เป็นศิษย์”
เขาจึงรู้ทันทีว่าเป้าหมายของกั๋วซือก็คือชิงเอ๋อร์
เพื่อชิงเอ๋อร์ที่ตื่นขึ้นมาหลังเกิดเหตุไม่คาดคิดตอนอายุสิบแปด
“ฝ่าบาท เรื่องนี้…องค์หญิงทราบไหมเพคะ”
“อย่าให้ชิงเอ๋อร์รู้ ข้าเชื่อว่ากั๋วซือไม่ได้มีเจตนาร้าย” เฟิงเทียนอวี้ยิ้มและส่ายหน้า “แต่กั๋วซือเคยพูดไว้ ร่างกายของชิงเอ๋อร์มีความพิเศษ ปกติไม่เป็นอะไร แต่พอดื่มเหล้าก็จะเกิดเรื่องใหญ่ ดังนั้นไม่ว่าข้าจะตามใจนางอย่างไร ก็ไม่อนุญาตให้นางดื่มเหล้าเด็ดขาด!”
“…”
ถังจือหน้าซีด
หากองค์หญิงดื่มเหล้า…จะเป็นเรื่องใหญ่?
แย่แล้ว นางต้องไปที่จวนองค์หญิง องค์หญิงต้องไม่เป็นอะไร!
“ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องกลับไปฝึกฝนต่อ หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
“ไปเถอะ”
เฟิงเทียนอวี้โบกมือ แต่ว่าภาพที่เขาเห็นถังจือรีบเดินออกไป นัยน์ตาของเขาบ่งบอกถึงการคิดใคร่ครวญบางอย่าง
…
ตลอดทางที่เดินไป ถังจือเร่งรีบมากชุดของนางชุ่มด้วยเหงื่อ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเรื่องนี้นางไม่กล้าทูลฝ่าบาท วันนี้พระวรกายของฝ่าบาทดูไม่สู้ดีนัก ไม่อาจทำให้พระองค์ต้องเป็นกังวลอีก นางหวังว่าตัวเองจะไปถึงจวนองค์หญิงได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้องค์หญิงต้องเกิดอันตรายขึ้น
………………………………………………..