บทที่ 100
ฉูจงฉวนมาแล้ว
“ นายน้อยกลับมาแล้ว”
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งศาลาไป่หยู่และทุกคนต่างก็ตื่นเต้น เพราะท้ายที่สุดแล้วลั่วอู๋นั้นเป็นดั่งกระดูกสันหลังของศาลาไป่หยู่
แม้ว่าศาลาไป่หยู่จะพัฒนาไปได้ด้วยดีและไม่พบปัญหาอะไร แต่ดูเหมือนว่าหากไม่มีลั่วอู๋ ลูกค้าก็คงจะสูญเสียความเชื่อใจไปบ้าง
“นายน้อย” หลิวหูและทีมคุ้มกันคมมีดเข้าไปทักทายลั่วอู๋
ลั่วอู๋ยิ้มและพยักหน้าตอบ
ในสามเดือนที่ผ่านมาจำนวนของทีมคุ้มกันคมมีดได้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50 คน โดยมีผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน 13 คนและผู้ใช้พลังวิญญาณทองแดง 44 คน พวกเขากลายเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่ง
ทีมคุ้มกันแบ่งออกได้เป็นแปดกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีหน้าที่ของตนเองแตกต่างกันไป ซึ่งพี่น้องแปดคนที่ภักดีต่อหลิวหูมากที่สุดจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมเหล่านั้นเฝ้าดูแลศาลาไป่หยู่
ธุรกิจของศาลาไป่หยู่กำลังเฟื่องฟูและสามารถจ่ายเงินให้แก่ทีมคุ้มกันได้มากมาย
แน่นอนว่าอีกไม่นานก็คงจะไม่ต้องมีการเพิ่มจำนวนคนในทีมคุ้มกันคมมีดอีก
ในขณะกันหลิวหูได้ทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณตัวที่สาม แมงป่องพิษยักษ์ เขาน่าจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งอันดับหนึ่งเมืองแห่งความพินาศ โดยถ้าหากนับในเขตป่าหวงชาทั้งหมด ก็คงมีเพียงแค่ลูหยางพิงและคงฉินเท่านั้นที่จะสามารถปราบปรามเขาได้
“ นายน้อยท่านไม่มีภาระหนี้คงเหลือแล้ว” เจ้าของร้านคนเก่าดูตื่นเต้นมากพร้อมยื่นสมุดบัญชีให้
ลั่วอู๋มองไปที่สมุดบัญชีด้วยความกลัวเล็กน้อย “กำไรสุทธิของเดือนที่แล้วอยู่ที่ 530,000 หินวิญญาณ นี่มันเยอะมาก…”
นี่เป็นกำไรที่บริสุทธิ์
ศาลาไป่หยู่ในตอนนี้มีค่าใช้จ่ายมากมาย
ทีมคุ้มกัน การบำรุงรักษา นักเล่นแร่แปรธาตุ ผู้ปรับแต่ง การซื้อหญ้าวิญญาณและสัตว์วิญญาณจำนวนมาก รวมถึงการดูแลร้านค้าต่างๆล้วนต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นหินวิญญาณจำนวนมาก
ก่อนหน้าศาลาไป่หยู่มีกำไรสุทธิในหนึ่งปีเพียงแค่ 20,000 หินวิญญาณ
“ต้องขอบคุณท่านนายน้อย ข้าเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 3 อีกทั้งยังได้รับสูตรยาซังพิงซึ่งเป็นยาใหม่ ผลมันอาจจะดูไม่ค่อยดีนักแต่ประสิทธิภาพก็พอ ๆ กับยารวบรวมพลังวิญญาณ”
“มู่เถาเองก็มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อความสำเร็จเช่นกัน เมื่อเร็ว ๆ นี้เขามักจะนึกถึงยารวบรวมพลังวิญญาณระดับ 4 ที่ท่านนำกลับมาด้วย ทำให้เขาได้ลองกลั่นเม็ดยาคูฉิน และเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 4 ได้สำเร็จ”
“ตอนนี้ธุรกิจยารวบรวมพลังวิญญาณของศาลาไป่หยู่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าหอคอยหวงชาสาขาเมืองแห่งความพินาศเลย” เจ้าของร้านคนเก่ายิ้มแย้มแจ่มใส
ลั่วอู๋ดีใจมาก
ศาลาไป่หยู่มีนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 4 ของตัวเองและนักเล่นแร่แปรธาตุระดับ 3 อีกสองคนซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถผลิตยาได้เพียงพอสำหรับการขายเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องเสียเงินซื้อยาจากภายนอกอีก
และการได้มาของสูตรยาซังพิงมาเพิ่มแทนยารวบรวมพลังวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นการปลดปล่อยลั่วอู๋จากงานที่เขาต้องทำมาตลอด เขาไม่ต้องใช้เวลาไปกับการสังเคราะห์ยารวบรวมพลังวิญญาณอีกต่อไปแล้ว
ปัจจุบันศาลาไป่หยู่ได้ครอบครองธุรกิจทั้งหมดของเมืองแห่งความพินาศอย่างสมบูรณ์และแม้แต่คนจำนวนมากจากเมืองอื่นก็มาที่เมืองเพื่อซื้อยา
ศาลาไป่เปาและหอคอยหวงชา ในตอนนี้จึงตกอยู่ในสภาพค่อนข้างร้าง
ลั่วอู๋อดไม่ได้ที่จะปรบมือ ” เยี่ยมมากจริง ๆ”
ตอนนี้ศาลาไป่หยู่ ไม่เหมือนกับแต่ก่อนอีกต่อไป แม้จะต้องลงทุนจ่ายหินวิญญาณจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง แต่สามารถจัดหาทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับลั่วอู๋ได้
ช่างเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวหน้า
แน่นอนว่าคุณภาพสินค้าทั้งหมดของศาลาไป่หยู่ยังไม่ดีพอ อย่างน้อยก็ในด้านอาวุธและชุดเกราะ ของเหล่านี้ยังคงห่างไกล เกินกว่าจะแข่งขันกับหอคอยหวงชา
ลั่วอู๋กล่าว “เจ้าของร้านคนเก่า ท่านคงจะเหนื่อยมากสินะ”
“ไม่หรอก ก็ไม่ขนาดนั้น” ใบหน้าเล็ก ๆ ของเจ้าของร้านคนเก่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คนที่กำลังจะเหนื่อยน่าจะเป็นอาฟูและเสี่ยวชามากกว่า พวกเขามีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าจึงคิดจะสนับสนุนพวกเขาให้เป็นหัวหน้าแผนก”
“ขึ้นอยู่กับท่านได้เลย” ลั่วอู๋หัวเราะ
เจ้าของร้านคนเก่าไม่มีพรสวรรค์ เขาได้ล้มเลิกความคิดที่จะฝึกการปรับแต่งพลังวิญญาณและได้อุทิศตัวให้กับทางด้านธุรกิจแทนแล้ว เนื่องจากเจ้าของร้านคนเก่านั้นมีประสบการณ์ในด้านธุรกิจมามาก
การที่ได้ส่งมอบเรื่องการจัดการธุรกิจให้กับเจ้าของร้านคนเก่าทำให้ลั่วอู๋รู้สึกโล่งใจมาก
“ว่าแต่นายน้อยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีเด็กหนุ่มนามสกุลฉูมาหาท่าน เขาดูดีและสง่างามมาก เขาดูไม่เหมือนกับคนธรรมดาเลย” เจ้าของร้านคนเก่าพูดกะทันหัน
ลั่วอู๋ตะลึง
นามสกุลฉู?
นั่นต้องเป็นฉูจงฉวนแน่
ครั้งสุดท้ายที่จากลากันกับอีกฝ่าย เขาบอกว่าเขาจะแวะมาเล่นกับลั่วอู๋บ้าง ซึ่งก็น่าจะเป็นแค่การพูดตามมารยาท ลั่วอู๋จึงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมาจริงๆ
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?” ลั่วอู๋ถาม
“ ข้าบอกว่าท่านกำลังเก็บตัวอยู่และไม่พร้อมจะให้ใครพบ เดิมทีข้ากำลังจะเชิญเขาให้ค้างอยู่ที่นี่ก่อนสัก 2-3 วัน แต่เขาบอกว่าศาลาไป่หยู่ของเราน่าเบื่อเกินไปที่จะให้อยู่รอ ไหน ๆ ก็มาที่เขตหวงชาแล้ว เขาอยากไปเที่ยวให้สนุก แต่ก็ไม่รู้จะไปไหนดี ” เจ้าของร้านคนเก่ากล่าว
หาความสุขเพื่อตัวเองสินะ
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉูจงฉวนพูดไว้ ลั่วอู๋ก็เดาได้ว่า เขาคงกำลังมองหาหญิงสาวไม่ก็นางบำเรออยู่
ลั่วอู๋ถอนหายใจก่อนจะถาม “ท่านรู้ไหมว่าซ่องที่ดีที่สุดในพื้นที่เขตหวงชาของเราคือที่ไหน?”
“ นายน้อย ท่าน … ” เจ้าของร้านคนเก่าดูแปลกใจ
ลั่วอู๋แตะหน้าผากของเขาอย่างช่วยไม่ได้ “อย่ามองข้าแบบนั้นสิ ข้ากำลังตามหาฉูจงฉวน”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าแบบนั้นก็น่าเป็นที่หอราตรีนิรันดร์ในเมืองหวู่หลัว” เจ้าของร้านคนเก่าแสดงรอยยิ้มที่ผู้ชายทุกคนรู้จักดี “นายน้อยถ้าท่านต้องการจะไปที่นั่นก็อย่าลืมเอาหินวิญญาณติดตัวไปให้มากกว่านี้ด้วยล่ะ”
ลั่วอู๋หัวเราะไม่ออก
หลังจากตรวจสอบสถานการณ์ของศาลาไป่หยู่โดยรวมแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นลั่วอู๋จึงวางแผนที่จะไปยังเมืองหวู่หลัวเพื่อตามหาฉูจงฉวน
หลี่หยินผู้กำลังซ้อมอยู่ในห้องนั้นดูจริงจังมาก ลั่วอู๋จึงไม่ต้องการจะรบกวนนาง เขาจึงเรียกไร้หน้าให้ตามมาด้วยแทนแล้วออกเดินทาง
……
……
เมืองหวู่หลัวนั้นอยู่ไม่ไกลจากเมืองแห่งความพินาศ สามารถนั่งรถม้ามาถึงได้ภายในครึ่งชั่วโมง
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองหวู่หลัวก็คือโคมไฟสีแดงริมฝั่งแม่น้ำชมพู โคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่ทั่วเมืองจะสว่างขึ้นเมื่อตกดึกจนสว่างไปทั่วทั้งเมือง
ในบรรดาทั้ง 23 เมืองของเขตหวงชา หวู่หลัวเป็นเมืองที่หรูหราที่สุด ซึ่งเป็นเมืองที่ไม่เหมือนเมืองอื่น ๆ ในเขตหวงชามากที่สุดด้วยเช่นกัน
การบริโภคและความเพลิดเพลิน
สองคำนี้เป็นสัญลักษณ์อันสมบูรณ์แบบสำหรับเมืองแห่งการเต้นรำเมืองนี้
ว่ากันว่าเมืองนี้ถูกก่อตั้งขึ้นที่นี่โดยบุคคลสำคัญในเมืองหลวงที่เป็นคนสนิทของจักรพรรดิ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า
หอราตรีนิรันดร์ มีพื้นที่ทั้งหมดกว่า 1 ใน 5 ของพื้นที่ของเมืองหวู่หลัว มันดึงดูดลูกค้าจากพื้นที่หวงชาทั้งหมดมา
“มันคงสนุกเพลิดเพลินมากสำหรับฉูจงฉวน” ลั่วอู๋นั่งรถม้าเข้าไปในเมืองแห่งการเต้นรำอย่างช้า ๆ และได้เห็นความหรูหราและความสวยงามของหอราตรีนิรันดร์
ผู้หญิงอวบและผู้หญิงสวยงดงามหลายคนกำลังให้บริการความสนุกจากเสียงต่าง ๆ ในห้องรับรอง เปรียบได้กับนกกินปลีและนกนางแอ่นที่มีรูปร่างอ้วนและผอม แต่ละคนต่างก็มีรสชาติของตัวเอง ในบางครั้งพวกนางจะเผยผิวอันขาวนวลเล็กน้อยและความอวบอิ่มดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
พ่อครัวคนหนึ่งผลักรถเข็นอาหารมา แต่เขากลับถูกดึงดูดด้วยเสน่ห์และความลุ่มหลงของหญิงสาว ทำให้ดวงตาของเขาเหม่อลอยและบังเอิญชนเข้ากับเสาด้านหนึ่ง ซึ่งดึงดูดรอยยิ้มไม่หยุดยั้งและน่าพอใจของเหล่าผู้หญิง
ลั่วอู๋หายใจลึก ๆ และทำให้ความโกรธของเขาลดน้อยลง
ตั้งแต่ในสมัยโบราณสถานที่แบบนี้แหละที่เป็นสุสานของเหล่าวีรบุรุษ ซึ่งมันก็เป็นความจริง
ห่างออกไปไม่ไกลคือประตูของหอราตรีนิรันดร์
“ ถ้าเจ้าไม่มีเงิน แล้วทำไมเจ้าจึงกล้าเข้ามาที่หอราตรีนิรันดร์ของพวกเราเที่ยวเล่นตลอดทั้งคืนได้ล่ะ อยากตายนักรึไง” คนคุ้มกันหลายคนกำลังทุบตีชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดขาว ชายคนนั้นเมาและนั่งยอง ๆ กุมศีรษะ
เสื้อผ้าสีขาวสะอาดของเขาปกคลุมไปด้วยรอยเท้าและโคลน
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
บางคนที่ขี้อาย แต่กลับมีความปรารถนาเกินกว่าเงินในกระเป๋าของพวกเขา ก็อาจจะอยากจะถูกฆ่าเสียมากกว่าที่จะมีความบันเทิงในยามค่ำคืน หากพวกเขาโชคดีพอที่จะไม่ถูกฆ่าพวกเขาก็จะได้อะไรกลับไปบ้าง
ทุก ๆ ปีจะมีคนถูกฆ่าตายที่หอราตรีนิรันดร์ เป็นจำนวนหนึ่งบ้างอยู่แล้ว
ลั่วอู๋จึงไม่ได้สนใจ
หากเขาดื่มสุราดอกไม้หรือเที่ยวเล่นใช้บริการโดยไม่ได้จ่ายเงิน เขาก็สมควรแล้วที่จะถูกทุบตี หากเปิดประตูเข้าไปในสถานที่ของการทำธุรกิจแล้วก็ไม่สามารถติดหนี้หรือเบี้ยวเงินได้
ทว่า
ยิ่งลั่วอู๋จ้องมองชายไปที่ชายในชุดขาวที่ถูกทุบตีจนมุม
ทำไมคนคนนี้เริ่มจะดูเหมือนฉูจงฉวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กันนะ?