ผ่านไปไม่นาน เอ๋อเหมยก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาแล้ว
ไม่ทันรอให้นางทำความเคารพ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เข้ามาจับมือนางแล้ว ถามอย่างร้อนใจว่า “สถานการณ์ในการประชุมเป็นยังไงบ้าง?”
เอ๋อเหมยรู้ว่านางสนใจเรื่องนี้ขนาดไหน รีบบอกสถานการณ์ให้รู้ทันที
พอได้ยินว่าตระกูลโค่วออกแรงช่วยในที่ประชุมจริงๆ ทั้งยังออกแรงช่วยไม่ได้น้อยด้วย ค่อนข้างดุดัน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เรียกได้ว่าดีใจมาก จนกระทั่งได้ยินว่าตระกูลอิ๋งมาหยุดยั้ง เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็แค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีก “คิดเพ้อฝันเกินไปแล้ว อาศัยนางตัวดีนั่น ยังคิดจะมีทายาทให้ฝ่าบาทอีกเหรอ!”
พอได้ยินว่าโพ่จวินออกมาป่วนแผนการ ทั้งยังต้องการจะปลดราชินีสวรรค์จนทำให้เรื่องวุ่นวาย ก็ยิ่งทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่แค้นจนตาแทบถลน “โจรเฒ่าโพ่จวิน! ต้องมีสักวันที่ข้าจะทำให้เขาทรมานร้องขอชีวิต!”
เอ๋อเหมยรีบปลอบทนัที “เหนียงเหนียง ไม่ต้องร้อนใจเพคะ เมื่อครู่นี้นายท่านกำชับมาแล้ว ว่าให้ท่านข่มอารมณ์ไว้ ท่านบอกว่าเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในครั้งเดียวอยู่แล้ว ตอนหลังตระกูลโค่วจะช่วยต่อไป ถึงแม้ฝ่าบาทจะหลบเลี่ยงได้หนึ่งครั้ง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีพ้นทุกครั้ง จะต้องมีสักครั้งที่ยอมตอบตกลง!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เอามือลูบหน้าอก รู้เช่นกันว่าตัวเองใจร้อนเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วมีอำนาจอ่อนแอเกินไปในการประชุมราชสำนัก พูดอะไรไม่ได้เท่าไรเลย อาศัยแรงจากตระกูลโค่วฝ่ายเดียวกอปรกับมีตระกูลอิ๋งขัดขวาง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นขนาดนั้น
ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีนางในคนหนึ่งเข้ามารายงาน “เหนียงเหนียง สนมเซียว สนมอวี้และสนมคนอื่นๆ มาแล้วเพคะ ต้องการจะมาเข้าเยี่ยมคำนับเหนียงเหนียง”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กระปรี้กระเปร่าทันที ผู้นำอำนาจในวังของเครือข่ายอ๋องสวรรค์โค่วมาแล้ว ก่อนหน้านี้ทั้งหมดล้วนยืนอยู่ฝ่ายจ้านหรูอี้ หลายตระกูลต่อสู้กับนางคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีฐานะสูงสุดในวังหลัง ก็คงต้านไว้ไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้คนพวกนี้มาหาแล้ว เห็นได้ชัดว่าตระกูลโค่วต้องการจะสนับสนุนตน
นางกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจทันที “รีบเชิญเข้ามา!”
ผ่านไปครู่เดียว ยอดหญิงงามเจ็ดแปดคนก็เดินเนิบนาบเข้ามา พอเข้ามาในตำหนักแล้วก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน “คำนับราชินีสวรรค์เหนียงเหนียง!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รีบก้าวขึ้นไปประคองพวกนาง แล้วยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ถึงแม้ที่นี่จะเป็นในวัง แต่ที่จริงก็เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันที่คอยปรนนิบัติฝ่าบาททั้งนั้น ไม่ต้องมากพิธี”
สนมเซียวกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าเหนียงเหนียงกำลังจะมีฝ่าบาทให้ทายาทหรือเพคะ พวกเรามาแสดงความยินดีกับเหนียงเหนียงล่วงหน้า”
“ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างทอดถอนใจ
สนมอวี้หัวเราะออกเสียงแล้ววบอกว่า “จะไม่มีเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรเพคะ ข้าได้ยินว่าอ๋องสวรรค์โค่วพยายามสนับสนุนเหนียงเหนียง ในการประชุมราชสำนักวันนี้เสียงดังคึกครื้นมาก อ๋องสวรรค์โค่วเป็นใครล่ะ มีอิทธิพลในราชสำนักมาก ขอเพียงอ๋องสวรรค์โค่วไม่เลิกรา สุดท้ายฝ่าบาทก็ยังต้องเผชิญหน้าอยู่ดี การตอบตกลงคงจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว พวกเรามาแสดงความยินดีล่วงหน้าก็ถูกต้องแล้วเพคะ”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พยายามทำให้ตัวเองสงบนิ่ง แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยากจะปิดบังได้ โบกมือสั่งว่า “รีบนำน้ำชามา!”
หลังจากพวกนางนั่งลงแล้ว สนมเซียวก็กะพริบตาแล้วบอกอีกว่า “เหนียงเหนียง ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยคนนั้นของอ๋องสวรรค์โค่วไปที่ตลาดผีในสังกัดของเหนียงเหนียงแล้วหรือเพคะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มเจื่อน แล้วตอบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าสนใจ พวกเจ้ารู้อยู่แล้วทำไมต้องถามอีก”
สนมอวี้ตอบว่า “ถึงอย่างไรก็อยู่สังกัดของเหนียงเหนียง แล้วหนิวโหย่วเต๋อก็เป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเหนียงเหนียงกดดันมากเกินไป เกรงว่าลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วจะรับไม่ไหวเพคะ”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสายตาลอกแล่ก เข้าใจจุดประสงค์ที่พวกนางมาที่นี่แล้ว นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ แล้วบอกว่า “ในเมื่อตำหนักสวรรค์อนุญาตให้หนิวโหย่วเต๋อนั้งตำแหน่งแม่ทัพภาคตลาดผีแล้ว นี่ก็คือคำขอที่สมเหตุสมผล ข้าย่อมพยายามสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว”
สนมเซียวบอกอีกว่า “ว่ากันว่าอยู่ที่ตลาดผีไม่มีอนาคตอะไร เป็นเรื่องยากที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง พอมีเหนียงเหนียงสนับสนุนแบบนี้ เกรงว่าหนิวโหย่วเต๋อคงจะมีอนาคตไกลแล้ว”
สนมคนอื่นก็กล่าวสนับสนุนเช่นกัน
ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นฉากนี้ ก็เกรงว่าจะต้องสะท้อนใจในอำนาจของตระกูลโค่ว เพราะเมื่อตระกูลโค่วออกแรงสนับสนุน พลังทั้งข้างนอกและข้างในของตำหนักสวรรค์ก็จะเริ่มเคลื่อนไหวทันที ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ…
ที่ด้านหลังตำหนักฟ้าดินกลับมีฉากอีกอย่างหนึ่ง ประมุขชิงชี้หน้าด่าโพ่จวินอย่างโมโห “ตาแก่ปัญหาทึบ นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าเข้าข้างใครกันแน่?”
โพ่จวินกลับกะพริบตาขบคิดอย่างละเอียด “เกรงว่าฝ่าบาทจะขอบคุณข้าน้อยไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าน้อยป่วนสถานการณ์ให้ฝ่าบาทมีข้ออ้างหนีออกมา เกรงว่าฝ่าบาทคงยังอยู่ฟังพวกเขาเถียงในราชสำนัก”
ประมุขชิงอึ้งทันที คิ้วขยับเล็กน้อย สายตามองประเมินโพ่จวินครู่หนึ่ง นึกไม่ถึงว่าตาแก่ปัญญาทึบจะตามีแววแบบนี้ ไฟโกรธเบาบางลงแล้วไม่น้อย เอาสองมือไขว้หลังแล้วบอกว่า “เกรงว่าตาแก่โค่วคงบีบเรื่องนี้ไม่ปล่อยแน่ ในการประชุมราชสำนักกลังจากนี้ ถ้าตระกูลโค่วยังวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก เจ้าก็ทำแบบวันนี้ เข้าใจรึยัง?”
แต่ใครจะคิดว่าโพ่จวินจะทำสีหน้าเคร่งขรึม “เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่ข้าน้อยยังมีบางอย่างอยากจะพูดอีก ฝ่าบาทได้โปรดจัดระเบียบวังหลังใหม่ ปลดตำแหน่งราชินีสวรรค์”
“เจ้า…” ประมุขชิงกระชากคอเสื้อโพ่จวิน
ใครจะคิดว่าอู๋ฉวี่ ซือหม่าเวิ่นเทียนและเกาก้วนจะรีบมายืนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทรีบมีทายาทเร็วๆ!”
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน?” ประมุขชิงผลักโพ่จวินออกไป แล้วชี้หน้าตะคอกถามพวกเขาอย่างโมโห
พอเขาหันไปด้านข้าง กลับพบว่าซ่างกวนชิงก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและยืนเงียบอยู่อย่างนั้น การไม่พูดอะไรก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีแล้ว
“ใสหัวออกไปให้หมด!” ประมุขชิงโบกมือตะโกน แล้วพุ่งเข้าไปอย่างโมโห
เขาไม่มีทางทำอะไรคนพวกนี้ได้เลย และรู้เช่นกันว่าคนพวกนี้ร้องขออย่างสมเหตุสมผล อยู่กับเขามาหลายปีขนาดนี้แล้ว ล้วนต้องพิจารณาทางหนีทีไล่ของตัวเอง คนที่ไม่ไตร่ตรองทางหนีทีไล่ตัวเองเลยก็คือคนตายเท่านั้นแหละ โพ่จวินกับอู๋ฉวี่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ในภายหลังต่อให้เขาจะไม่อยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ยังพอระรับมือไหว แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนล่ะ? ล่วงเกินคนไปมากขนาดนั้น กำลังเล็กน้อยที่มีอยู่ในมือก็ไม่พอให้ปกป้องชีวิตตัวเอง พวกเขาต้องการให้ประมุขชิงเลี้ยงดูอบรมโอรสสวรรค์สักคนในตอนที่ตัวเองยังแข็งแกร่งและไม่มีศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ จะได้รับถ่ายทอดวิชาจากเขาและเติบโตขึ้นมาโดยเร็ว ถ้าสายเกินไป ในอนาคตโอรสสวรรค์ที่เยาว์วัยก็จะคุมสถานการณ์ไม่ไหว ตอนนั้นใต้หล้าก็จะวุ่นวาย เหตุการณ์แย่งชิงความเป็นใหญ่ก็จะเกิดขึ้นอีกแน่นอน
เขาเข้าใจความคิดของกลุ่มขุนนางในราชสำนักเช่นกัน ถ้าโอรสสวรรค์ในอนาคตอ่อนแอเยาว์วัย ไม่มีกำลังพอที่จะสยบใต้หล้า พวกเขาก็กังวลว่าประมุขชิงจะทำการล้างเลือดอำนาจที่แข็งแกร่งฝ่ายต่างๆ เพื่อช่วยให้โอรสสวรรค์คุมสถานการณ์ในใต้หล้าให้สงบมั่นคง ไม่ให้ใครสร้างภัยคุกคามต่อตำแหน่งของโอรสสวรรค์ได้ ที่จริงประมุขชิงก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ถ้าตัวเองก้าวผ่านประตูผีได้อย่างราบรื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าตัวเองผ่านด่านประตูผีนั่นไม่ได้ ก็จะต้องเลี้ยงและอบรมทายาท พวกอ๋องสวรรค์หรือเทพประจำดาวอะไรพวกนั้น อย่าไปมองนะว่าตอนนี้กำลังกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน เขายังต้องให้คนเหล่านั้นปกครองใต้หล้าเพื่อนำทรัพยากรส่งมาให้เขาเรื่อยๆ อย่างไม่ขาดสาย เมื่อเวลานั้นมาถึงจริงๆ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเนื้อบนเขียง เขาก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาคุกคามตำแหน่งราชันของทายาทตัวเองเด็ดขาด
ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของทุกคน ดังนั้นในเรื่องนี้เขาจึงหัวเดียวกระเทียมลีบ แม้แต่ลูกน้องคนสนิทของเขาก็ไม่กล้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลเช่นกัน ถ้าคล้อยตามอย่างไร้เหตุผลจริงๆ เช่นนั้นก็แปลว่ามีใจเป็นอื่นแน่นอน ดังนั้นถ้าประมุขชิงไม่ประนีประนอม ก็จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้…
บนท้องฟ้ามีฝนตกไม่ขาดสายราวกับมีเถาวัลย์ย้อยลงมา เงาคนคนหนึ่งลอยลงมาบนหน้าผา พอถึงกลางทางก็ดึงเถาวัลย์ลอยเข้ามาในถ้ำกลางหน้าผา
ในถ้ำที่มืดมิด เยว่เหยาใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองและเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง พร้อมตะโกนหยั่งเชิง “พี่ใหญ่เจียง”
ในถ้ำมีเสียงสะท้อนเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ยินใครตอบ พอเลี้ยวเข้ามาในห้องถ้ำห้องหนึ่ง ก็มีเพียงโต๊ะหิน ม้านั่งหิน เตียงหิน แต่กลับไม่เห็นเงาคน
ตรวจสภาพภายในถ้ำอย่างละเอียด เยว่เหยายื่นมือไปคลำบนโต๊ะหิน พบว่ามีฝุ่นขี้เถ้าเล็กน้อย ทำให้รู้ว่าที่นี่ไม่มีคนอาศัยอยู่มาสักระยะแล้ว
พอโบกมือร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดฝุ่นแล้ว เยว่เหยาก็นั่งลงบนเตียงหินอย่างหดหู่เล็กน้อย พลางพึมพำกับตัวเองว่า “ไปแล้วเหรอ…”
ตั้งแต่ในปีนั้นที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจียงหลาง เขาก็แทบจะไม่เคยติดต่อกับนางอีกเลย ถึงขั้นลบตราอิทธิฤทธิ์ในระฆังดาราที่ทั้งสองใช้ติดต่อกันทิ้งไปด้วย แต่นางก็รู้ถึงความเคยชินในชีวิตประจำวันของเขา ในวันที่ฝนโปรยปรายเขามักจะสวมชุดฟางข้าวมาตกปลาริมแม่น้ำ ดังนั้นนางจึงมัก ‘บังเอิญ’ เขาบ่อยๆ
ทีละเล็กทีละน้อย นางเริ่มจะเชื่อแล้วว่าคำพูดของเขาคือเรื่องจริง เชื่อแล้วว่าเขาถูกคนใส่ร้าย นางมีความมั่นใจในความสวยของตัวเองอยู่บ้าง ถ้าเจียงอีอีเป็นโจรราคะจริงๆ แล้วทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่หวังอะไรจากนางสักนิดเลยล่ะ?
ในช่วงเวลานี้ วันที่ฝนโปรยปรายติดต่อกันหลายวัน นางเดินผ่านริมแม่น้ำนับครั้งไม่ถ้วน แต่กลับไม่เห็นเจียงอีอีอีก หลังจากหลังเลอยู่หลายครั้ง ในที่สุดนางก็หาข้ออ้างได้แล้ว นางอดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายมาหาเขาก่อน แต่ใครจะคิดว่าจะมาพบกับความว่างเปล่า ไปโดยไม่บอกลากันสักคำ
ความรักระหว่างชายหญิงเกิดขึ้นแล้ว แต่กลับคิดไปเองฝ่ายเดียว ทำให้นางมีสีหน้าเศร้าสลดหดหู่…
ตลาดผี เห็นตลาดผีอีกแล้ง
ด้วยการคุ้มกันจากยอดฝีมือของจวนอ๋องสวรรค์โค่ว ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงตลาดผีแล้ว เขาเข้าไปในจวนแม่ทัพภาคตลาดผีผ่านทางใต้ดิน
เรียกว่าเป็นจวน แต่ความจริงแล้วเป็นวังใต้ดินแห่งหนึ่งเท่านั้น มีเพียงลานบ้านด้านนอกแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนสิ่งปลูกสร้างอื่นล้วนรวมอยู่ในกำแพงหินหนา
แม่ทัพภาคตลาดผีคนเก่าเป็นมิตรมาร เข้ามาส่งต่องานโดยไม่ลังเลเลยสักนิด คาดว่าในที่สุดคงหาทางออกจากที่นี่ได้แล้ว รู้สึกใจร้อนจนทนไม่ไหว พอส่งมอบงานทั้งหมดให้จนเสร็จ ได้รับใบลงนามยืนยันจากเหมียวอี้ ก็ขอตัวลาแล้วหนีไปทันที
หลังจากจัดแจงข้าวของเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ส่งงานในตลาดผีให้หยางชิ่งจัดการ หลังจากปลอมตัวแล้วก็นำเหยียนซิวออกไป ไปตึกศาลาสัตยพรตเพื่อเยี่ยมคารวะเจ้าถิ่นที่นี่ ถ้าอยากจะยืนอยู่ที่นี่ให้ได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตึกศาลาสัตยพรตก็เกรงว่าจะเหนื่อยพอสมควร ถึงแม้ตระกูลโค่วจะช่วยพูดให้ทางสะดวกแล้ว แต่เขาก็ยังต้องมายืนยันด้วยตัวเอง
ไม่ต้องร้อนใจขนาดนั้น ตระกูลโค่วได้กำชับไว้แล้ว ว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ คนนอกไม่สามารถเข้ามาแทรกเรื่องในตลาดผีได้ แม่ทัพภาคมีไว้ประดับตำแหน่งเฉยๆ ไม่ต้องยุ่งกับอะไรทั้งนั้น รอโอกาสดีเพื่อย้ายออกไปอย่างเงียบๆ เป้าหมายหลักของเจ้าคือรีบเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นโดยเร็ว และตระกูลโค่วก็จัดหาทรัพยากรฝึกตนไว้ให้อย่างเพียงพอแล้วด้วย
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ทรัพยากรที่ตระกูลโค่วให้นั้นมีจำกัด สามารถใช้ดูแลเขากับอวิ๋นจือชิวได้ แต่กลับดูแลได้ไม่เยอะ เขามีค่าใช้จ่ายเยอะแต่กลับบอกตระกูลโค่วไม่ได้ ต้องหาช่องทางทำงานทางอื่นอีก และเขาก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายต้องจัดการด้วย
แน่นอน เหมียวอี้ก็เห็นตลาดผีเป็นแค่สิ่งที่มีไว้แต่ในนามจริงๆ เขายังไม่สำคัญตัวเองผิดถึงขั้นคิดว่าตัวเองสามารถยื่นเท้าเข้าไปในอาณาเขตของตระกูลเซี่ยโห้วได้ ถ้าทำแบบนี้จริงๆ คาดว่าต่อให้เป็นตระกูลโค่วก็ปกป้องตนไม่ได้
การพบกันที่ตึกศาลาสัตยพรตเป็นไปอย่างราบรื่นมาก ชีเจวี๋ย พ่อบ้านของตึกศาลาสัตยพรตออกมาต้อนรับข้างนอกด้วยตนเอง เป็นชายชราชุดเขียวคนหนึ่งที่หน้าตาอัปลักษณ์ และได้พบกับเฉาหม่าน เถ้าแก่ของตึกศาลาสัตยพรตอันลือชื่ออย่างราบรื่นเช่นกัน เหมียวอี้ไม่กล้าประเมินท่านนี้ต่ำเลย อย่าไปมองว่าภายนอกอีกฝ่ายเป็นแค่เถ้าแก่ของตึกศาลาสัตยพรต เพราะที่จริงแล้วเขาเป็นคนถือหางเรือใหญ่ของทั้งโลกใต้ดิน ว่ากันว่าเป็นลูกชายของเซี่ยโห้วท่า ฐานะของเขาที่ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นรองแค่เซี่ยโห้วท่าเท่านั้น
ท่าทีของเฉาหม่านโอนอ่อนและเป็นมิตรมาก ให้คำตอบที่เหมียวอี้ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ความปลอดภัยของเหมียวอี้ตอนอยู่ที่ตลาดผีหลังจากนี้ไป เขาสามารถรับประกันให้ได้ ขณะเดียวกันก็รับประกันด้วยว่าไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีของตลาดผี ทางนี้จะช่วยเก็บมาส่งให้ถึงที่ แน่นอนว่ายังอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่บอกใบกันไว้ นั่นก็คือต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และหวังว่าเหมียวอี้จะไม่ก่อเรื่องที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉาหม่านก็จะไม่แน่ใจกับสิ่งที่รับประกันไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน
คำขู่ที่อ่อนนอกแข็งในแบบนี้ เหมียวอี้ทำได้เพียงแข็งใจกล้ำกลืนยอมรับไว้ สิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่สุดก็คือการที่มีคนใต้ปกครองกล้ามาขู่คุกคามเขา เวลามีผู้ใต้บังคับบัญชามารังแกผู้บังคับบัญชา นี่คือเรื่องที่เขารับไม่ได้ แต่พอลองคิดดูอีกที ก็สงสัยว่าใครกำลังปกครองใครกันแน่? ตัวเองมาขอข้าวกินอยู่ใต้หนังตาของอีกฝ่ายนะ
ตอนที่ออกไป พ่อบ้านชีเจวี๋ยของตึกศาลาสัตยพรตก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนเหมียวอี้ว่า “แม่ทัพภาคหนิว ที่ตลาดผียังมีสถานที่อีกแห่งที่ดีที่สุดและอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ถ้าเจ้าไปก่อเรื่องที่นั่น ตึกศาลาสัตยพรตก็ปกป้องความปลอดภัยของเจ้าได้ยาก”
เหมียวอี้ที่กำลังจะขึ้นเรืองงงทันที หันกลับมาถามว่า “เป็นสถานที่แบบไหนเหรอ?”
“วัดพระกษิติครรภ์ นั่นคือถิ่นของแดนพุทธ” ชีเจวี๋ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
…………………………