บทที่ 180
การเรียกคืน
“ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมศาลาไป่หยู่ถึงเปลี่ยนชื่อ ไม่สิไหงปิดตัวซะแล้วล่ะ ลั่วอู๋ดูเหมือนว่าจะดูแลจัดการร้านได้ไม่ดีเลยนะ” ฉูจงฉวนส่ายหัว
ลั่วอู๋รู้สึกหายใจไม่ออก: “ไม่ใช่แบบนั้น อีกอย่างใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะกลับมากันเล่า”
จากนั้นลั่วอู๋ก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดจนถึงล่าสุดให้ ฉูจงฉวนฟัง ซึ่งฉูจงฉวนก็เข้าใจได้ในทันที
ฉูจงฉวนปลอบประโลม”ไม่เป็นไรน่า ด้วยความสามารถของเจ้าการเปิดสำนักโล่พิทักษ์อีกรอบมันไม่ใช่เรื่องยากเลย”
“ข้าคิดว่าจะไปเปิดร้านใหม่ที่หมิงหนาน” ลั่วอู๋กล่าวว่า “เจ้าก็ได้รู้เรื่องทั้งหมดแล้วนี่นากลับไปด้วยกันเถอะ”
ใบหน้าของฉูจงฉวนเริ่มแข็งกระด้าง
“เป็นอะไรไปล่ะ?” ลั่วอู๋ไม่เข้าใจ
ใบหน้าของฉูจงฉวนค่อนข้างผิดธรรมชาติ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอย่างอธิบายไม่ถูก “เมืองหมิงหนาน จะไปมีอะไรดีเล่า เจ้าเปลี่ยนสถานที่ดีกว่านะ”
หา?
ลั่วอู๋มองไปที่ฉูจงฉวนอย่างสับสน “นั่นมันบ้านของเจ้าไม่ใช่เหรอ เมืองทางตอนใต้ที่ชื่อว่าหมิงหนานน่ะ เจ้าเป็นนายน้อยตระกูลฉูผู้ทรงอำนาจไง”
“แน่นอนสิ ข้ารู้ดีน่า” ฉูจงฉวนกลอกตาอย่างลังเล “มันก็แค่ข้าเพิ่งมีศัตรูเมื่อไม่นานมานี้”
“ ศัตรูงั้นเหรอ มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่กันล่ะ” ลั่วอู๋ถาม
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนพวกเรากลับไป นางก็น่าจะจากไปแล้ว” ฉูจงฉวนพูดกับตัวเองว่า “ตกลง! ถ้าเจ้าจะไปเปิดร้านที่เมืองหมิงหนาน เจ้าก็ควรจะได้อยู่ในเมืองหมิงหนาน”
ลั่วอู๋ยังคงอยากรู้อยากเห็น
เห็นได้ชัดว่าฉูจงฉวนนั้นเป็นคนที่ไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์
แต่แล้วทำไมจู่ ๆ
เขาก็ลังเลที่จะกลับไปยังถิ่นที่อยู่ของเขาเสียอย่างนั้น
……
……
ณ คฤหาสน์ ตระกูลลั่ว
บนห้องโถงใหญ่ ลั่วไป่เหากำลังนั่งอยู่เงียบ ๆ โดยเหล่าลูกหลานต่างก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาโดยเฉพาะลั่วฮั่นฮั๊ว ซึ่งอยู่ใกล้กับเขามากที่สุด
“ท่านบรรพบุรุษ ข้าตามหาตัวเขาไม่พบขอรับ” ฉินเฟิงรายงาน
ลั่วไป่เหากล่าวว่า “เจ้าหนุ่มนั่นเป็นเจ้าของร้านสำนักโล่พิทักษ์”
“คนที่นั่นย้ายออกหมดแล้วขอรับ เหลือเพียงแค่บ้านว่าง ๆ หลังเดียวเท่านั้น” ฉินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น
หลังจากที่ลั่วอู๋หนีไปแล้ว ตราบใดที่เขายังไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นก็จะไม่มีใครสามารถหาตัวเขาพบได้อีก
ทั้งตระกูลลั่วตกอยู่ในอาการวิตกกังวล
ดูเหมือนพวกเขาจะรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจจากท่านบรรพบุรุษของพวกเขา
ลั่วไป่เหาพ่นลมหายใจอันขุ่นเคืองออกมา “ใครสามารถบอกข้าได้บ้างว่าทำไมบุตรชายที่มีความสามารถขนาดนี้ของตระกูลลั่ว ถึงได้ถูกขับออกจากตระกูลลั่ว หา?”
เสียงดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ไปสู่ลูกหลานตระกูลลั่วทั้งหมด
“เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลลั่ว เนื่องจากเขาไม่สามารถสร้างสะพานแห่งพันธสัญญาได้ เขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณได้ขอรับ” มีคนกระซิบ
เสียงของลั่วไป่เหาเย็นลงเล็กน้อย “เจ้ากำลังหมายความว่าเขาใช้เวลาหนึ่งปีในการเติบโตจากชายธรรมดาที่ไม่มีพลังวิญญาณเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงินมิติ 6 ได้อย่างนั้นเหรอ?”
ผู้คนต่างประหลาดใจและตกตะลึง
พวกเขาไม่ได้สนใจในความแข็งแกร่งของลั่วอู๋เลย
แต่เมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องระยะเวลาในฝึกฝนของเขา มันช่างเป็นอะไรที่เหนือสามัญสำนึกยิ่ง
ความเร็วในการฝึกฝนของเขาอาจเทียบได้กับผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอดในราชวงศ์มังกรเร้นกาย
“ถึงแม้ว่าตอนแรกเขาจะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน แต่ทำไมตระกูลลั่ว ถึงไม่ได้เรียกตัวเขากลับมา ในตอนที่เขาได้ค้นพบศักยภาพทางวิญญาณของเขาล่ะ” ลั่วไป่เหาถามอีกครั้ง
เสียงหัวใจของลูกหลานตระกูลลั่วต่างเต้นระรัว
เสี่ยวเซียงพ่อบ้านคนแรกที่รับผิดชอบในการติดต่อกับลั่วอู๋ถูกโยนออกไปให้รับผิดชอบเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชน
“ข้าไม่รู้อะไรเลยขอรับ” เสี่ยวเซียงแสดงความกลัวออกมา “ข้าเสนอให้เขากลับไปที่ตระกูล แต่เขาก็ปฏิเสธ”
“ยังมีอีกไม่ใช่รึไง ?” ลั่วไป่เหาพูดเบา ๆ “เจ้าได้บอกเขาไปว่าเจ้าต้องการให้เขามอบวิชาลับของตัวเองมาใช่รึเปล่าล่ะ?”
จู่ ๆเสี่ยวเซียงก็ถูกปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็น
“แต่เขาเป็นคนของตระกูลลั่ว … ” เสียงของเสี่ยวเซียงสั่นสะท้าน
“แต่ตระกูลลั่วเป็นฝ่ายที่ไล่เขาออกไปเอง พวกเจ้าเคยเหล่ตามองสนใจธุรกิจในเขตหวงชาของเขาบ้างหรือเปล่า?”
ดวงตาของลั่วไป่เหา กวาดไปที่เหล่าลูกหลานทั้งหมด
ไม่มีใครกล้าหักล้างคำพูดของเขาในเวลานี้
“เอาตัวมันออกไป” ลั่วไป่เหาโบกมือ
เสี่ยวเซียงที่ถูกลากตัวลงไปได้แต่ร้องไห้
“อัจฉริยะในตระกูลถูกบังคับให้ต้องต่อสู้กับตระกูล โดยที่ตระกูลยังไม่ได้มีมาตรการแก้ไขใด ๆ ” ลั่วไป่เหาตบโต๊ะ “ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงในตระกูลถูกฆ่าตายไปแล้วกว่าโหล พวกเจ้าก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรช่างเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้ความจริง ๆ”
พลังอันน่ากลัวของจักรพรรดิ ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเพชร ปกคลุมฝูงชนในทันที
ทุกคนในตระกูลลั่วได้แต่จำใจคุกเข่าลงด้วยความกลัวและร้องขอความเมตตา
ลั่วไป่เหาพึมพำ “ข้าตรวจสอบมาแล้วว่าคำสั่งเกี่ยวกับลั่วอู๋ทั้งหมดถูกเซ็นรับรองโดยหัวหน้าตระกูล เพราะฉะนั้นเจ้าจะต้องออกจากตำแหน่งซะ”
ใบหน้าของลั่วฮั่นฮั๊วซีดและดวงตาของเขาก็ว่างเปล่า
คนอื่น ๆ ที่มีคุณสมบัติในการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
“ในหนึ่งปีข้างหน้า ลานเฉียนหลงจะเปิดขึ้นอีกครั้ง และข้าต้องการให้พวกเจ้าเชิญลั่วอู๋กลับมาหาข้าให้ได้ โดยเรื่องนี้ห้ามถูกแพร่งพรายต่อสาธารณะโดยเด็ดขาด” ลั่วไป่เหากล่าวช้า ๆ
เรื่องดังกล่าวนั้นจะต้องได้รับความสนใจโดยศัตรูของคนในตระกูลเป็นอย่างมาก
ตระกูลลั่วเองก็มีศัตรูเช่นกัน และถ้าหากพวกเขารู้ว่าลั่วอู๋มีความสำคัญต่อตระกูลลั่วมากขนาดไหน สิ่งนั้นจะนำตระกูลลั่วไปสู่หายนะ
คงจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้โลกภายนอก เชื่อในภาพลวงตาว่าตระกูลลั่วและลั่วอู๋เป็นศัตรูกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ดูเหมือนว่า
เจ้าหนุ่มลั่วอู๋คนนี้จะรังเกียจตระกูลลั่วเอาเสียมาก
……
……
ณ เมืองหลวงของจักรวรรดิ ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่มีเพียงลานกว้างเล็ก ๆ
วู่บูยงหลบซ่อนอยู่ที่นี่เหมือนกับนกที่หวาดกลัว เขาซ่อนตัวอยู่ที่มุมเตียงแล้วห่อร่างกายด้วยผ้านวม พยายามสงบสติอารมณ์บังคับตัวเองให้นอนหลับ
เขาไม่ได้นอนหลับสบายมาหลายวันแล้ว
ทันทีที่เขาหลับตาข้าฝันถึงท่านลุงหยู่ที่ตายไป
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ตระกูลวู่เองก็ถูกทำลายสิ้น จนมีผู้เหลือรอดออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนึ่งในนั้นก็คือเขาผู้เป็นนายน้อยของตระกูลลั่ว ซึ่งท่านลุงหยู่เคยดูแล
เขารู้สึกกลัว
เขาเกรงกลัวต่อการแก้แค้น
เพราะเขารู้ดีว่าตัวเองก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทำให้ท่านลุงหยู่ดับชีวิตของตัวเขาลง
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะได้ซื้อคฤหาสน์อันกว้างขวางในเมืองหลวงไว้แล้ว แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะอาศัยอยู่ในนั้น แต่กลับเลือกอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่มีลานเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความกลัวเช่นนี้
“ตึง ตึง ตึง … ”
มีเสียงเคาะประตูดังกรอบ ๆ
วู่บูยงตกใจจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ใครกันน่ะ?” เสียงของวู่บูยงสั่น
ข้างนอกไม่มีคำตอบใด ๆ ตอบกลับมา มันเงียบมาก
ดวงตาของวู่บูยง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาอยากจะเปิดประตูออกไปดู แต่ก็ไม่กล้าขยับ เขานอนไม่หลับ และก็ยังคงกังวลเมื่อเขาตื่น
ความรู้สึกนี้มันช่างน่ากลัวจริง ๆ
สายลมพัดผ่านไป
กลอนล็อคประตูเองก็ยังคงอยู่ เพียงแต่มีเงาจาง ๆ ในห้องเหมือนกับผี ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเมื่อมีแสงสลัวจากดวงจันทร์ยามค่ำคืน
“อา!” วู่บูยงแทบจะกลิ้งออกจากเตียง
“เจ้าคือวู่บูยงงั้นเหรอ?”
เสียงของเงานั้นทั้งแหบและทุ้ม
“ใช่มันเป็นความผิดของข้าเอง ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้า” วู่บูยงกลัวจนแทบจะฉี่รดกางเกง เขาได้แต่ก้มหน้าเพื่อขอความเมตตา
ไร้หน้าได้แต่มองเขาด้วยสายตาดูถูก
นี่น่ะเหรอคือหลานชายของเจ้าของร้านคนเก่า?
“ไม่ได้หรอก ร่างของวู่หยู่พักอยู่ในสำนักโล่พิทักษ์ที่เขตหวงชา เจ้าจะต้องรับผิดชอบต่อความอกตัญญูของเจ้า ถ้าข้าพบว่าเจ้ามีความสุขเมื่อไหร่ล่ะก็ แม้ว่าเจ้าจะวิ่งหนีไปสุดขอบโลก ข้าจะตามหาเจ้าให้เจอและฆ่าเจ้าทิ้งซะ เข้าใจแล้วใช่ไหม ? “ไร้หน้าพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
วู่บูยงกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อเขามองกลับไปอีกครั้ง เงานั้นก็หายไป
วู่บูยงแตะหน้าผากของเขา ปาดให้เหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผาก เขาถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เขาก็ได้นั่งลงและนอนหลับอย่างสบายได้ในที่สุด
ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เนื่องจากเขาได้ยินเสียงชั้นวางของที่เขาซ่อนเงินเอาถูกงัดออกไป เขานั้นได้เก็บหินวิญญาณกว่า 800,000 ก้อนเอาไว้ในนั้น
วู่บูยงรีบขึ้นไปตรวจสอบในทันที
เงินเหล่านั้นต้องถูกยึดไปแล้วแน่ ๆ
ใบหน้าของวู่บูยงแสดงให้เห็นถึงโกรธ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นความขมขื่น เขาควรจะลืมเกี่ยวกับมันไปซะ อย่างน้อยก็ยังดีที่เขายังสามารถรักษาชีวิตของตัวเขาเองเอาไว้ได้