บทที่ 185
บ้านผู้ว่าการ
การจากไปของผู้บริหารตู้ไม่ได้ช่วยลดความกระอักกระอ่วนของสำนักโล่พิทักษ์ลงแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องดีที่ทางคฤหาสน์ชวนเทียนและเหล่าผู้บริหารไม่มายุ่งกับที่นี่อีก เพราะเห็นแก่ลั่วอู๋
“ เรียกลั่วอู๋ออกมาเดี๋ยวนี้” ทูตจากสำนักมณฑลกล่าวด้วยเสียงอันแหลมคม
ผู้คนในทีมคุ้มกันคมมีดต่างก็ไม่กล้าขยับตัว
เนื่องจากจี๋กุยเองก็อยู่ฝั่งเดียวกับเขา ชายคนนี้เป็นถึงรองผู้บัญชาการของหน่วยสยบมังกร เขามีพลังมากเสียจนเหมือนกับไดโนเสาร์ในร่างมนุษย์ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถต่อต้านได้
มีร่องรอยของความเห็นอกเห็นใจบนใบหน้าของลูกค้าในร้าน
เจ้าของร้านเบื้องหลังสำนักโล่พิทักษ์ทำสิ่งชั่วร้ายแบบไหนกันถึงได้ยั่วยุชายเหล่านี้ได้
“ทำไมที่นี่ดูวุ่นวายจังเนี่ย”
เสียงที่ดูเรียบสงบดังขึ้นมา
เจ้าของเสียงเป็นชายในฉลองพระองค์หรูหรา ผู้มีคิ้วสีซีดและให้อารมณ์เหมือนผู้หญิงเล็กน้อย เขามีท่าทางที่ดูภาคภูมิใจในตนเองมาก โดยเดินมาพร้อมกับสาวน้อยน่ารักที่มีผมสั้น
ข้างหลังชายคนนั้นตามมาด้วยผู้คุ้มกันที่ทรงพลังสองสามคน พวกเขามีลมปราณอันเข้มข้น ในดวงตามีแก่นแท้ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
“เจ้าเป็นใครกัน?” ทูตจากสำนักมณฑลดูโกรธเล็กน้อย
กล้าดียังไงมาตัดบทในขณะที่เขากำลังพูด?
หนึ่งในผู้คุ้มกันชายชราในชุดสีเขียวบ่นพึมพำ เสียงของเขาดังอึกทึก “เป็นแค่ทูตจากสำนักมณฑล แท้ ๆ เจ้ากล้าดียังไงถึงมาพูดจาหยาบคายกับ ลูก ๆ ของผู้ว่าการ 5 มณฑล?”
ทุกคนประหลาดใจกันอีกครั้ง
ทำไม จู่ ๆ บุตรของผู้ว่าการ 5 มณฑลถึงมาที่นี่ พวกเขามาที่นี่ทำไม
วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน ?
“บุตรของผู้ว่าการ 5 มณฑล?” ทูตจากสำนักมณฑลดูอ่อนแอลงไปในทันใด “ลูกชายของผู้ว่าคนไหนกล้าถาม?”
“พ่อของข้าชื่อเจิ้งเทียนหยุน เป็นผู้ว่าการมณฑล 5 แห่งในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ ข้าชื่อเจิ้งซีและนี่คือเจิ้งเว่ย น้องสาวของข้า”
ทูตจากสำนักมณฑลน้ำลายแทบจะฟูมปาก
เจิ้งเทียนหยุน.
เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาผู้ว่าการทั้งสิบคน ยิ่งไปกว่านั้นเจิ้งเทียนหยุนและภรรยาของเขาก็มีความสัมพันธ์อันดี ไม่เคยคบใครเป็นนางสนมอีก
ทำให้เขามีเพียงลูกชายและลูกสาวอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น
แม้สถานะของผู้ว่าการทางตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิจะไม่ดีเท่ากับองค์ชายรัชทายาทแห่งพิงหนานในแง่ของสถานะ แต่ยังไง ๆ เขาก็ถือเป็นสายเลือดราชวงศ์
ในแง่ของอำนาจ เขาจำเป็นที่จะต้องรักษาเสถียรภาพเอาไว้และรักษาหน้าของทางผู้ว่าการมณฑล
ที่สำคัญที่สุด ตัวเขาเป็นเพียงทูตจากสำนักมณฑล บ้านของผู้ว่าการซึ่งถือเป็นคู่ค้าที่ดีที่สุดของพวกเขาได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง
“ท่านเจิ้งซี ท่านมาทำอะไรที่นี่” ทูตจากสำนักมณฑลหัวเราะ
เจิ้งซีกล่าวอย่างเป็นกันเอง “ข้าติดหนี้บุญคุณลั่วอู๋อยู่มาก ดังนั้นข้าจึงถือโอกาสมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับการเปิดตัวร้านอันประสบความสำเร็จของเขา แต่ข้าไม่คาดคิดว่าจะมาในตอนที่สำนักโล่พิทักษ์กำลังมีปัญหาพอดี”
ติดหนี้บุญคุณ
คำพูดเหล่านี้ สื่อให้เห็นได้ว่านายน้อยเจิ้งซีแห่งบ้านผู้ว่าการมณฑลพร้อมที่จะยืนข้างสำนักโล่พิทักษ์
เหล่าฝูงชนที่มุงดูอยู่ต่างก็จ้องตาไม่กะพริบ
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตื่นเต้นที่ได้จะเห็นคนใหญ่คนโตเหล่านี้ต่อสู้กันเอง
“คือว่า … ” ครู่หนึ่งทูตจากสำนักมณฑลดูเหมือนจะสูญเสีย
ชายชราในชุดเสื้อสีเขียวด้านหลังเจิ้งซีพึมพำ “เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึไง! ถ้านายของเจ้าต้องการจะจัดการกับลั่วอู๋ ก็ให้เจ้านายของเขามาด้วยตัวเองสิ เจ้านะมันไม่มีสิทธิ์”
ใบหน้าของทูตจากสำนักมณฑลเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแดง เขาโกรธมากที่ถูกทำให้อับอาย แต่ก็ไม่กล้าพูดโจมตีทำอะไรอีกฝ่าย เขาได้แต่ลังเลอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็ถอยออกไป
เขารู้ดีว่าต่อให้เจ้านายและบุตรชายของเขาจะมาด้วยตัวเอง ก็อาจจะยังไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้
ฉูจงฉวนรู้สึกดีใจมาก “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
ในตอนแรกแม้เขาจะไม่ค่อยมีความสุขที่ต้องเจอหน้า เจิ้งซี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีที่จะพูดออกตัวแทนสำนักโล่พิทักษ์ เขาก็ถือว่าเป็นพี่ชายที่แสนดีในทันที
เจิ้งซีก้าวถอยหลังไปในทันที เขาไม่ค่อยลงรอยกับ ฉูจงฉวนเท่าไหร่ “ลั่วอู๋ส่งจดหมายมาให้ข้า บอกว่าขอให้ช่วย ถือว่าหนี้บุญคุณจะได้หาย ๆ กันไป”
คนในสำนักโล่พิทักษ์พูดไม่ออก
มันเรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก
ฉูจงฉวนไม่สนใจการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของ เจิ้งซี เขามองไปที่เจิ้งเว่ยด้วยสายตาอันอ่อนโยน เขายื่นมือออกมาราวกับจะแตะจมูกอันบอบบางของนาง “ได้เจอกันอีกแล้วสินะ สาวน้อย”
เจิ้งซีรีบเข้าไปปกป้องน้องสาวของเขา
“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรน่ะ?” เจิ้งซีกล่าวอย่างโกรธเคือง
ฉูจงฉวน เอามือกลับอย่างเชื่องช้า”ข้าแค่ทักทายเฉย ๆ แค่ทักทาย”
เจิ้งเว่ยปิดปากของนางและไม่สามารถหยุดหัวเราะได้
“ เล่นกันพอใจแล้วหรือยัง” จี๋กุยกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าอันเย็นชา “เรียกลั่วอู๋ออกมาเร็ว ข้าไม่มีเวลาให้เสียมากนักหรอกนะ”
บรรยากาศของสำนักโล่พิทักษ์กำลังถูกครอบงำ
แม้ทูตจากสำนักมณฑลจะจากไปแล้ว
แต่ก็ยังคงเหลือรองผู้บัญชาการของหน่วยสยบมังกรอยู่ที่นี่
“เจ้าเป็นใคร?” เจิ้งซีขมวดคิ้วแน่นและลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะจำชุดเกราะของอีกฝ่ายได้ “เจ้าเป็นคนจากหน่วยสยบมังกรใช่ รึเปล่า?”
“สังเกตได้ไม่เลวนี่” จี๋กุยตอบด้วยเสียงลึก
เจิ้งซีรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
หน่วยสยบมังกรนั้นปฏิบัติตามคำสั่งเสมอ โดยพวกเขาจะฟังเพียงแค่ผู้นำของหน่วยสยบมังกรเท่านั้น ไม่มีใครอื่น นอกจากนี้พลังในการต่อสู้ของพวกเขาน่ากลัวมาเสียจน ไม่เคยมีใครกล้าท้าทายพวกเขา
เจิ้งซีก้าวถอยหลังอย่างไม่เต็มใจ “ดูเหมือนข้าคงจะช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะ พวกเจ้าควรเรียกให้ลั่วอู๋ออกมาน่าจะดีกว่านะ”
แม้แต่เขาก็ไม่กล้าสู้กับหน่วยสยบมังกร
มิฉะนั้นแม้ว่าพ่อของเขาคงจะฆ่าเขา ไม่ก็กักขังบริเวณเขาไว้สักสามเดือน
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ผิดหวัง
แม้แต่บุตรชายของผู้ว่าการ 5 มณฑลก็ไม่อาจต่อต้านหน่วยสยบมังกรได้
“เจ้านั่นกล้าเอามังกรกระดูกผีออกมาได้ แต่กลับไม่มีความกล้าที่จะมาพบข้าอย่างงั้นเหรอ?” จี๋กุย ใจร้อนและทุบมือลงบนโต๊ะข้างๆเขา
โต๊ะไม้แกะสลักจากไม้จันทน์แดงระเบิดแตกเป็นผงไปในทันที
มันทำให้ผู้คนตื่นกลัวและกลับออกไปเยอะมาก
การทุบโต๊ะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะทุบโต๊ะให้ระเบิดเป็นผงแป้งได้แบบนี้
ผู้คนในสำนักโล่พิทักษ์ต่างก็กำลังเสียขวัญ
ขณะนั้นก็มีเงาดำจาง ๆ ปรากฏขึ้นจากด้านบนป้ายร้าน
“เจ้ามาจากไหน กล้าดียังไงมาซ่อนตัวต่อหน้าข้า” จี๋กุยเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเยาะ
เขาเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นถึงเงานั้น เห็นได้ชัดว่าการรับรู้ของเขาเหนือชั้นมาก
ไร้หน้าปรากฏตัวขึ้นอย่างช้า ๆ เสียงของเขาเบาและแหบ “สมแล้วที่เป็นถึงรองผู้บัญชาการของหน่วยสยบมังกร สามารถมองการพรางตัวของข้าออกได้ด้วยเพียงสัญชาตญาณ นับว่าแข็งแกร่ง”
“เอาล่ะ เจ้ามือสังหารที่น่ารำคาญ จงไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ” จี๋กุยตะคอกอย่างเย็นชาและคว้าอากาศที่ว่างเปล่ามา
อากาศและมิติดูเหมือนจะถูกจับโดยมือใหญ่คู่นั้น แรงดึงดูดอันน่ากลัวเกิดขึ้นราวกับว่าจะลากร่างของไร้หน้าลงมา
ไร้หน้าไม่ได้ขยับ เพียงแต่มีเหรียญเปื้อนเลือดตกหล่นลงมา
แกร๊ง
เหรียญของไร้หน้าตกลงมาอยู่ที่พื้น
“อืม ดูเหมือนเจ้าเองก็เป็นนักรบสินะ ถึงพลังกายแทบจะไม่ผ่านเกณฑ์ก็ตามที” จี๋กุยหัวเราะเยาะ แต่แล้วสายตาของเขาก็ถูก เหรียญนั้นดึงดูดให้หันไปมอง
เมื่อเขาเห็นลวดลายบนเหรียญที่สลักอักษร “มังกร” ตัวเล็ก ๆ อยู่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“เจ้าได้เหรียญนี่มาจากที่ไหน” จี๋กุยคำราม
เสียงของเขาดังเหมือนฟ้าร้องระเบิดออกมา
หลายคนรีบปิดหูและเกือบจะหูหนวก
ไร้หน้าเงียบไปครู่หนึ่ง “นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของข้าให้ข้ามา”
“อาจารย์ของเจ้างั้นเหรอ?” จี๋กุย กะพริบตาจากนั้นใบหน้าของเขาก็แดงและดูตื่นเต้น เขาถามออกไปอย่างระมัดระวัง “นี่เจ้ารู้จักกับอดีตผู้บัญชาการอย่างงั้นเหรอ ?”
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนี้
ทุกคนในห้องก็สะดุ้ง