บทที่ 210
ไม่ใช่เรื่องของเจ้า
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
กลุ่มคนในชุดสีฟ้าขาวทั้งสี่คนต่างลุกลี้ลุกลนพยายามกระตุ้นพลังวิญญาณในร่างเพื่อปราบปรามพลังวิญญาณที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ในร่าง เพราะหากเป็นแบบนี้ต่อไปเส้นวงจรพลังวิญญาณของพวกเขาจะต้องถูกทำลายลงด้วยพลังวิญญาณที่คลุ้มคลั่งนี้เป็นแน่
ลั่วอู๋เหลือบมองไปที่พวกเขา “ข้าแนะนำว่าอย่าทำแบบนั้นจะดีกว่านะ”
“ทำไมกันล่ะ ?” ชายในชุดสีฟ้าขาวถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เพราะยิ่งพวกเจ้าใช้พลังวิญญาณมากเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็จะยิ่งคลุ้มคลั่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุดพลังวิญญาณของพวกเจ้าก็จะระเบิดออกมา ทำให้เส้นวงจรพลังวิญญาณทั้งหมดระเบิดออกมา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้กลุ่มในชุดสีฟ้าขาวทั้งสี่คนก็ตื่นตระหนก พวกเขาหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ลงในทันทีและไม่กล้ากระตุ้นพลังวิญญาณอีก
แน่นอนว่าเมื่อพวกเขาไม่ได้กระตุ้นพลังวิญญาณแล้ว พลังวิญญาณที่เดือดพล่านวุ่นวายก็ค่อย ๆ ลดลงกลับมาเป็นปกติ
“เร็ว รีบกินยาแก้พิษเข้าไป” เมื่อวิกฤตถูกหยุดลงชั่วคราว ชายในชุดสีฟ้าขาวก็สั่งการให้พรรคพวกกินยาต้านพิษอย่างรวดเร็ว
พวกเขารีบหยิบยาแก้พิษออกมาและกลืนลงไป
อาจจะเป็นด้วยผลทางจิตวิทยา สีหน้าของพวกเขาจึงดูดีขึ้นเล็กน้อย
“นายน้อย!” หลี่หยินเดินเข้ามาหาลั่วอู๋ด้วยความประหลาดใจ
ลั่วอู๋ลูบหัวหลี่หยินและพูดด้วยรอยยิ้ม “หลบไปข้างหลังข้าซะ ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายเจ้าแน่”
หลี่หยินพยักหน้า
ชายในชุดสีฟ้าขาวจ้องมองมาที่ลั่วอู๋ “เจ้าเป็นใครกัน ? ลั่วอู๋งั้นเหรอ ? ผู้หญิงคนนี้เป็นสาวใช้ของเจ้าใช่รึเปล่า ? เจ้ากล้าวางยาพวกเราแบบนี้คิดจะหาเรื่องตายรึยังไง ?”
พวกเขาต่างก็ได้รู้ความจริงเรื่องหนึ่งในทันที
ความจริงที่ว่าลั่วอู๋เป็นเพียงแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติ 7เท่านั้น
พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวล แต่อย่างใด
“ทำไมพวกเจ้าดูจะไม่เกรงกลัวพิษของข้าเลย ?” ลั่วอู๋มองไปที่ชายในชุดสีฟ้าขาวอย่างติดตลก
ชายในชุดสีฟ้าขาวหัวเราะเบา ๆ “ยาแก้พิษสากลของทีมฮันซานของข้า เป็นยาระดับเจ็ดซึ่งสามารถล้างพิษได้ถึงหมื่นรูปแบบ พิษของเจ้าซึ่งเป็นเพียงแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน จะมีความแข็งแกร่งไปกว่ามันได้อย่างไร?”
“โอ๊ย มันมีพลังมากน่า เชื่อข้าเถอะ” ลั่วอู๋พูดแล้วก็เงียบไป
ชายในชุดสีฟ้าขาวดูเหมือนจะหงุดหงิดกับท่าทีของลั่วอู๋ “ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติ 7 อย่างเจ้าเอาความกล้าบ้าบิ่นหยิ่งยโสมาจากที่ไหนกัน ถ้าเจ้าวางยาข้าแบบลับ ๆ ละก็ข้าก็อาจจะกลัวพิษของเจ้าอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเจ้ากล้าปรากฏตัวอย่างเปิดเผยตัวท้าทายต่อหน้าข้าแบบนี้ อย่าตำหนิข้าว่าโหดร้ายเลยนะ ต่อให้เจ้าจะมอบแผ่นหยกให้ข้า ข้าก็คงจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่ ”
“ถ้าเจ้าต้องการแผ่นหยกหรือชีวิตของข้า เจ้าก็สามารถเขามาชิงไปได้เลย ถ้าเจ้ามีความสามารถมากพอที่จะช่วงชิงมันไปละก็นะ” ลั่วอู๋หยิบแผ่นหยกแปดใบออกมาแสดงเย้ยหยัน
ดวงตาของทั้งสี่คนในชุดสีฟ้าขาวฉายแววประหลาดใจ
แม้ว่าพวกเขาจะทำงานร่วมกันและประสบความสำเร็จในการช่วงชิงแผ่นหยกมาได้ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องแบ่งปันแผ่นหยกเหล่านั้นที่พวกเขาได้มาอย่างเท่าเทียม ดังนั้นความคืบหน้าของพวกเขาจึงช้ากว่าคนที่มาเดี่ยว ๆ มาก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเลือกโจมตีคนที่ไม่แข็งแกร่งและครอบครองแผ่นหยกหลายใบ
แต่พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้มาพบกับเด็กชายคนนี้ ที่เป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับกลางแต่กลับมีแผ่นหยกอยู่มากมายถึง 8 ใบ นี่มันเป็นเป้าหมายในการล่าที่ดีที่สุด
ชายในชุดสีฟ้าขาวบางคนมองอย่างระแวดระวังไปทางหนานกงหยิงเอ๋อ “สหายจากพระราชวังหยู่หวังดูเหมือนว่าแผ่นหยกแปดชิ้นนี้จะต้องตกเป็นของพวกเราทีมฮันซานแล้วละนะ”
หนานกงหยิงเอ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะนางต้องการหยก แต่เป็นเพราะนางผิดหวังกับลั่วอู๋
เดิมทีนางต้องการเอาชนะลั่วอู๋ด้วยมือของนางเองเพื่อล้างความอัปยศในอดีต แต่ใครจะไปคิดว่าลั่วอู๋นั้นจะปัญญาอ่อนไปท้าสู้สุ่มสี่สุ่มห้า คิดจะสู้แบบ 4-1 กับศัตรู
อีกทั้งสี่คนนั้นยังเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงอีกด้วย
แม้แต่ตัวนางในตอนนี้ก็คงตึงมือหากต้องจัดการกับทั้งสี่คนนี้พร้อม ๆ กัน
“บางทีผู้ชายคนนั้น อาจไม่รู้ว่าข้าให้ความสำคัญกับมันมาก” หนานกงหยิงเอ๋อหัวเราะกับตัวเองแล้วส่ายหัว “พวกเจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำตามใจเลย ข้าจะไม่เข้าไปขัด”
เหล่าผู้คนจากทีมฮันซานรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากหนานกงหยิงเอ๋อต้องการที่จะร่วมด้วยในการต่อสู้ครั้งนี้ เรื่องมันจะยุ่งยากขึ้นเสียเปล่า ๆ
เนื่องจากอีกฝ่ายมีแผ่นหยกถึงแปดชิ้นอยู่ในกำมือ
“ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน มิติ 7 อย่างเจ้าจงพ่ายแพ้ลงไปแล้วส่งหยกพวกนั้นให้แก่พวกข้าเสียเถอะ” ชายในชุดสีฟ้าขาวใช้พลังความสัมพันธ์ร่วมมือของมนุษย์และสัตว์วิญญาณ
สิงโตย่อมต่อสู้กับกระต่ายอย่างสุดกำลัง ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่ามีหลายคนที่แข็งแกร่งแม้จะเป็นเพียงผู้ใช้พลังวิญญาณระดับกลาง เขาจึงเลือกที่จะสู้สุดกำลัง
เงาของวิญญาณไม้น้ำแข็งสว่างขึ้นมา
เถาวัลย์บาง ๆ สิบเจ็ดต้นพุ่งออกมาจากพื้นและแทงไปที่ลั่วอู๋
ลั่วอู๋ไม่ได้ลนลานเขาแค่ตวัดดาบเบา ๆ และเสียงตัดที่ชัดเจนก็ดังขึ้น
เสียงดาบดังสลับไปมากับเสียงฟัน หลังจากได้ยินเสียงเหล่านี้ชายในชุดสีฟ้าขาวก็คุกเข่าลงกับพื้นในทันที มีเหงื่อเย็นไหลลงมาและสีหน้าของเขาก็ดูเจ็บปวดทรมาน
“พี่ชาย เป็นอะไรไปขอรับ?” อีกสามคนแปลกใจ “พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน?”
ชายในชุดสีฟ้าขาวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามที่จะพูด “อาการนั้นมันกลับมาอีกครั้งแล้ว พลังวิญญาณของข้ามันเริ่มแปรปรวน”
ยาพิษยังไม่ได้รับการหักล้างหรือระงับอีกอย่างนั้นเหรอ?
นี่มันเป็นพิษชนิดใดกันแน่ ?
“ตายซะเถอะ” หญิงสาวในทีมฮันซานพึมพำอย่างโกรธเกรี้ยวและเรียกสัตว์วิญญาณของนางออกมาเพื่อโจมตีลั่วอู๋
แต่ในวินาทีต่อมานางก็ส่งเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดแล้วล้มนอนลงบนพื้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“พวกเจ้ายังอยากจะสู้กันต่อไปอีกรึเปล่า ?” ลั่วอู๋กล่าวเบา ๆ
เหล่าสมาชิกทั้งสี่จากทีมฮันซาน นั้นดูทรมานกันมาก
จะให้สู้ต่อไปได้ยังไงกัน
คำพูดของอีกฝ่ายยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลง และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะสู้ต่อไป
เสียงของลั่วอู๋เย็นชาขึ้น “ข้าไม่ใช่คนกระหายเลือด ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้มีความคิดตั้งใจจะฆ่าพวกเรา ดังนั้นข้าก็จะไม่ฆ่าพวกเจ้าเช่นกัน จงทิ้งแผ่นหยกของพวกเจ้าไว้ที่นี่แล้วไสหัวไปซะ”
ใบหน้าของชายในชุดสีฟ้าขาวขุ่นมัวหงุดหงิด แต่ในที่สุดเขาก็หยิบแผ่นหยกออกมาแล้วโยนมันลงบนพื้นอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นพลังวิญญาณของเขาก็กลับมาเสถียรอีกครั้ง
“ลั่วอู๋ ข้าจะจำเจ้าไว้ ถ้าพวกเราผ่านการทดสอบรอบนี้ไปได้ พวกเราจะมาหาเจ้าเพื่อแก้มือในภายหลัง”
อีกสามคนเองก็โยนแผ่นหยกออกไปให้อย่างไม่เต็มใจเช่นกัน
จริง ๆ แล้วพวกเขามีแผ่นหยกอยู่รวมกันถึง 13 ใบ ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
“เอายาแก้พิษมาให้ข้า” ชายในชุดสีฟ้าขาวกล่าวด้วยความโกรธ
ลั่วอู๋กล่าวตอบ “ข้าไม่ได้ใช้ยาพิษแต่อย่างใด จะให้ข้าไปเอายาแก้พิษมาให้พวกเจ้าได้จากที่ไหนกันเล่า แต่ไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่พวกเจ้าไม่มายั่วโมโหข้าอีก พวกเจ้าก็จะปลอดภัยจากมัน”
ชายในชุดสีฟ้าขาวมีสีหน้าที่บิดเบี้ยว
ที่แท้ก็เป็นเพราะมันไม่ใช่ยาพิษนี่เอง ไม่น่าแปลกใจที่ว่าทำไมยาสากลของพวกเขาถึงไม่มีผล
“ฝากไว้ก่อนเถอะ” กลุ่มคนในชุดสีฟ้าขาวเดินจากไปอย่างโกรธแค้น
ในขณะที่นั่งอยู่บนนกกระเรียนแห่งการจุติใหม่ หนานกงหยิงเอ๋อผู้ซึ่งภาคภูมิใจในพลังของตนเองได้ส่อแววแห่งความระมัดระวังขึ้นมาในนัยน์ตาอันสวยงามของนาง
ลั่วอู๋นั้นสามารถปราบผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูงทั้งสี่คนได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามนางไม่เข้าใจว่าเขาใช้วิชาใด และไม่แน่ใจว่านางจะสามารถป้องกันตัวเองจากมันได้รึเปล่า
นางไม่คาดคิดว่าสองเดือนที่แล้วลั่วอู๋คนนั้นที่ยังคงค่อนข้างเสียเปรียบตัวเองในการต่อสู้ จะกลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวและอันตรายได้มากขนาดนี้
ลั่วอู๋เก็บแผ่นหยกสิบสามใบกลับไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางหนานกงหยิงเอ๋อ “ดูเหมือนเจ้าจะพยายามมาหาเรื่องข้าอีกแล้วสินะ?”
นกกระเรียนแห่งการจุติใหม่ส่งเสียงร้องต่ำออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
มันเป็นเสียงอันดุดันและสูงซึ่งสามารถทำให้คนเสียสติได้เลยทีเดียว
“แล้วจะทำไม ? เจ้ามันก็แค่คนที่ปลูกฝังความคิดของคนรับใช้ให้กับหลี่หยินมากเกินไป ไม่อย่างนั้นนางจะยึดติดในการเป็นสาวใช้ของเจ้าขนาดนี้ได้ยังไง?” แววตาของหนานกงหยิงเอ๋อดูเย็นชา
ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ “เจ้าถามหลี่หยินใช่ไหมว่าข้าอยู่ที่ไหนในตอนที่นางตกอยู่ในอันตราย งั้นข้าขอตอบแทนนางเลยก็แล้วกัน ว่าข้าจะยืนอยู่ข้างหน้าหลี่หยิน และข้าจะยืนอยู่ข้างหน้าคอยปกป้องนางแบบนี้ตลอดไป แล้วเจ้าล่ะจะอยู่ตรงไหน เป็นคนใจดีที่คอยห่วงใยผู้อื่นรึยังไง?”
หน้าอกของหนานกงหยิงเอ๋อขยับขึ้นเล็กน้อย และอารมณ์ของนางดูเหมือนจะกระสับกระส่ายขึ้นมาในทันที
“ใช่สิ ที่เจ้าทำก็เพียงแค่มองดูอยู่ห่าง ๆ” ลั่วอู๋พูดขณะจ้องมองไปที่หนานกงหยิงเอ๋อ “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะมองดูอยู่ห่าง ๆ ก็โปรดหุบปากและอย่าแสดงความคิดเห็นใด ๆ เกี่ยวกับข้าและ หลี่หยินอีก เพราะข้าไม่ได้มีความสนใจที่จะฟังเจ้า”
มันเป็นการบอกว่าพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก
แม้ว่าหลี่หยินจะเป็นสาวใช้ แต่นางก็เป็นดั่งคนในครอบครัวสำหรับลั่วอู๋ นี่เป็นความสัมพันธ์ที่สามารถเปรียบเทียบได้เท่ากับการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ที่คนนอกไม่อาจทำความเข้าใจได้
“ไปกันเถอะ หลี่หยิน” ลั่วอู๋เก็บดาบระบำแห่งความตายแล้วเดินจากไป
หลี่หยิน ไม่ได้มองกลับไปที่ หนานกง หยิงเอ๋อเลยแม้แต่น้อย นางยังคงอยู่ใกล้ ๆ กับ ลั่วอู๋ดังเดิม
หนานกงหยิงเอ๋อได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่กับที่ ไฟในแววตาของนางหายไปและนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน สุดท้ายนางก็นั่งนกกระเรียนแห่งการจุติใหม่บินออกไป
ในที่สุดอารมณ์อันเย็นของนางดูเหมือนจะถูกละลายลงไปแล้ว