บทที่ 230
มิติเหนือเมฆ
อาณาเขตการปกครองของราชวงศ์มังกรเร้นกายนั้นมีมากถึง 36 มณฑล โดยรวมถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิด้วย
เมืองหลวงของจักรวรรดิครองพื้นที่หนึ่งในห้าของพื้นที่ทั้งหมดในอาณาเขตการปกครองของราชวงศ์มังกรเร้นกาย มันตั้งอยู่ในสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของทั้งทวีป จึงทำให้เกิดผู้คนที่มีความสามารถจำนวนมาก
อัจฉริยะที่สามารถสร้างชื่อในเมืองหลวงของจักรวรรดิได้คืออัจฉริยะที่แท้จริง
นี่คือความเห็นพ้องต้องกันของหลาย ๆ คน
“เฉินหวู่จี้เจ้ายังชอบใช้วิธีการยั่วยุที่น่าเบื่อแบบนี้อยู่อีกอย่างนั้นเหรอ ?”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยมาจากด้านหลัง
มันเป็นเสียงของชายที่สวมหน้ากากมังกรแดง เขาเดินมาโดยมีชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ 50 คนเดินตามมาด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็เป็นทูตเฉียนหลง ผู้รับผิดชอบเขตอื่น ๆ
จู่ ๆ ใบหน้าของเฉินหวู่จี้ก็มืดมนลง “ฟังเต๋าเจ้าจะไม่แซะคนอื่นสักวันได้รึเปล่า ?”
คำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ทูตเฉียนหลงที่ชื่อฟังเต๋ารำคาญเลยแม้แต่น้อย “ข้าก็แค่ไม่สามารถทนดูวิธีไร้สาระของเจ้าได้เท่านั้นแหละ ว่าแต่ทำไมถึงมีคนผ่านการทดสอบเพียงแค่ 49 คน ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเจ้ากัน มีใครกลัวจนไม่ได้มารึไง?”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เฉินหวู่จี้หัวเราะเยาะและกล่าว “ในการทดสอบรอบที่สอง คนอื่น ๆ นั้นถูกสังหารจนหมดเหลือเพียงแค่ 49 คนนี้ที่รอดมาได้ ข้าก็เลยนำมาแค่พวกเขาทั้ง 49 คนเท่านั้น”
ฟังเต๋ารู้สึกประหลาดใจ สายตาของเขากวาดดูผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดของเฉินหวู่จี้ เด็กพวกนี้นั้นโหดร้ายมาก
“อย่าส่งเสียงดังไปน่าพวกเจ้า การทดสอบรอบที่สามกำลังจะเริ่มแล้ว” ทันใดชายที่สวมหน้ากากมังกรสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเองก็เป็นทูตเฉียนหลงเช่นกัน
“ฮึ่ม”
เฉินวู่จี้และฟังเต๋าจ้องมองหน้าของกันและกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ชายผู้สวมหน้ากากมังกรขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ผู้มีพรสวรรค์ย่อมได้รับสิทธิพิเศษ เพราะฉะนั้นการแข่งขันของพวกเขาจึงรุนแรงมาก มันไม่มีความไม่สมดุลอยู่หรอกนะ”
“แต่ ” มีคนถามขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่ามีบางคนในเมืองหลวงของจักรวรรดิ ถูกพาไปโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบใด ๆ ”
ทูตเฉียนหลงที่สวมหน้ากากขาวตอบเขาไปว่า “นั่นเป็นสิทธิพิเศษของตระกูลที่มีส่วนร่วมอย่างมากในสงครามครั้งใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อน”
มีการแสดงออกอันว่างเปล่าบนใบหน้าของฝูงชน
สงครามเมื่อหลายร้อยปีก่อน?
พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้และไม่เคยได้ยินแนว ๆ นี้จากผู้อาวุโสในตระกูลเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นความลับสุดยอด ถ้าเจ้าเข้าร่วมสำนักเฉียนหลง เจ้าจะมีโอกาสได้รู้เกี่ยวกับมัน” ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรสีขาวกล่าว “ทีนี้จงหยุดซุบซิบนินทาซะ การทดสอบรอบที่สามนั้นกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
เมื่อเขาพูดจบ หมู่เมฆอันทรงพลังก็เข้ามาล้อมรอบตัวของเขา และจับร่างของผู้คนทั้งหมดอย่างนุ่มนวล ทำให้เกิดเสียงอุทานจากการตกใจเบา ๆ หลายครั้ง
ร่างของผู้คนทั้งหมดลอยไปพร้อมกับเมฆอย่างช้า ๆ
ลั่วอู๋มองดูด้วยความประหลาดใจ
นี่ไม่ใช่การบินครั้งแรกของเขา แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะมีวิธีแบบนี้อยู่ด้วย
หมู่เมฆหมอกขดตัว ทะเลสีครามเริ่มห่างออกไปและเล็กลงไปเรื่อย ๆ ผู้คนต่างเดินไปบนเมฆ แต่บนเมฆนั้นไม่ได้ว่างเปล่าแต่อย่างใด
ข้างบนนั้นมีวิหารขนาดใหญ่บรรยากาศโอ่อ่า อยู่บนยอดโดมล้อมรอบด้วยแสงหลากสีที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณให้ความรู้สึกอันน่ากลัว
ใครจะไปคิดว่าจะมีวิหารที่งดงามเช่นนี้อยู่เหนือเมฆ
“นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย ?” ลั่วอู๋ตกใจมาก
“ยินดีต้อนรับสู่มิติเหนือเมฆ มันเป็นพื้นที่พิเศษ มันไม่ได้เป็นของพื้นที่มิติที่แยกออกหรือพื้นที่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันถูกสร้างขึ้นมาโดยเพื่อนของท่านเจ้าสำนัก ซึ่งพวกเจ้าน่าจะสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นโลกแห่งจินตนาการที่แท้จริง”
ไม่มีใครเข้าใจที่เขาพูดเลยแม้แต่น้อย
แต่พวกเขาทุกคนต่างก็รู้ดีว่า หากใครต้องการจะเปิดพื้นที่มิติดังกล่าว เขาจะต้องก็มีความเข้าใจในเรื่องมิติถึงระดับที่รู้แจ้งแล้ว
“นี่คือจุดที่เจ้าจะทำการทดสอบในรอบที่สาม” เฉินวู่จี้และฟังเต๋าต่างสวมหน้ากากมังกรของพวกเขา
ทูตเฉียนหลงหน้ากากดำ ทูตเฉียนหลงหน้ากากแดง และทูตเฉียนหลงหน้ากากขาว ทั้งสามคนยืนอยู่ด้วยกันในความว่างเปล่าราวกับแสงที่กำลังจะสลายไป
“จงทำตามจิตใจอันมุ่งมั่น พวกเจ้าจึงจะสามารถผ่านจินตนาการนี้ไปได้” เสียงที่ไม่มีตัวตนดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
ลั่วอู๋เกาหัว “นี่มันลึกลับมาก หลี่หยินมาอยู่ใกล้ ๆ ข้าสิ ฉูจงฉวนเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน?”
เมื่อลั่วอู๋แสดงปฏิกิริยาคนรอบข้างเขาก็หายตัวไปอย่างปริศนา
ทุกอย่างตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย ท้องฟ้าเริ่มมีฝนตกเป็นสีแดงและพื้นดินก็ถล่มลงมา โลกเต็มไปด้วยลมปราณแห่งความตาย
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ
นี่เป็นการทดสอบรอบที่สามอย่างนั้นเหรอ
ฉากวันโลกาวินาศแบบนี้มันแย่มากเลยจริง ๆ
ดวงตาของลั่วอู๋แสดงถึงความแน่วแน่ ข้าต้องเข้าร่วมสำนักเฉียนหลงเพื่อค้นหาภูตไหให้ได้ ไม่มีอะไรจะสามารถหยุดข้าได้ นี่มันก็เป็นเพียงแค่การทดสอบ
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าและทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาก็หายไป เขากลับมาที่มิติเหนือเมฆได้ในที่สุด
ลั่วอู๋ได้แต่สับสน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น.
……
……
รอบนอกมิติเหนือเมฆ
ทูตเฉียนหลงสามคนกำลังนั่งรออยู่ด้วยกัน
“มันดีมากเลยนะ ปีกของนกกระเรียนตัวนั้นน่ะ มันเป็นปีกที่ดีที่สุดเลยล่ะ นอกจากนี้พวกเขายังมีสัตว์วิญญาณหลายตัวที่มีศักยภาพสูงด้วย” เฉินหวู่จี้กล่าว
ฟังเต๋ากล่าวอย่างเหยียดหยาม “แล้วมันจะทำไม ฝั่งข้ามีผู้ปรับแต่งระดับอาวุโสที่มีอายุเพียงแค่ 20 ปี จากทั่วทั้งสิบสองมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีสี่คนมาจากตระกูลจี๋อี้”
“ตระกูลจี๋อี๋นั้นสุดยอดมากเลยสินะ” เฉินหวู่จี้กลัวว่าจะพูดชมมากเกินไป แม้ว่าเขาจะรู้อยู่ในใจว่าตระกูลจี๋อี๋ทรงพลังมาก
ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรขาวตะโกนออกมาด้วยเสียงต่ำ “นั่นมันเสียงอะไรน่ะ มีคนผ่านการทดสอบรอบที่สามแล้วอย่างนั้นเหรอ ? นี่เป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายของสำนักเฉียนหลงเลยนะเป็นไปได้ยังไงกัน? ไม่หรอกมั้ง”
ดูเหมือนเขาจะมีตำแหน่งสูงที่สุดในทั้งสามคนฟังเต๋าและเฉินหวู่จี้ปิดปากลงในทันที
จากนั้นเฉินหวู่จี้ก็เปิดปากถาม “เจ้ามังกรขาว มิติเหนือเมฆคราวนี้มันเพ้อฝันมากขนาดไหนกัน? เจ้าสร้างเป็นดินแดนคนเถื่อน ทุ่งน้ำแข็งแห่งความตาย หรือรังแร้งมรณะล่ะ ?”
เขากล่าวถึงภาพลวงตาสามแบบ ซึ่งอยู่ในระดับที่ยากมากกว่าจะผ่านไปได้
ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรขาวส่ายหัวและพูดอย่างแผ่วเบา “ข้าสร้างเป็นสถานการณ์ตอนที่ปีศาจหยวนเข้าบุกรุก”
พวกเขาตกใจมาก “เจ้าบ้าไปแล้วรึไง ? เจ้ารู้ไหมว่าการใช้ภาพลวงตานี้มันเป็นบททดสอบที่ยากแค่ไหน?
“แน่นอนว่าข้ารู้ดี” “มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมาน แต่ก็เป็นโลกที่เหมาะสมแล้ว เนื่องจากมีอัจฉริยะจำนวนมากกว่าปกติ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่ข้าจะต้องปรับระดับความยากเพิ่มขึ้นเล็กน้อย” ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรขาวกล่าวเบา ๆ
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว บางคนต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการผ่านภาพจินตนาการนี้เลยนะ มีหลายคนที่ไม่สามารถทนต่อไปได้จนจิตวิญญาณของพวกเขาพังทลายลงเลยด้วยซ้ำ” เฉินหวู่จี้คำราม
“แน่นอนว่าข้ารู้เรื่องนั้นดี และข้าก็รู้ว่าพวกเจ้าไม่เคยได้สัมผัสมันด้วยซ้ำ เจ้ารู้ไหมว่าแม้แต่เจ้าสำนักยังเคยหายตัวไปกว่า 20 ปีในนั้น”
ร่างกายของพวกเขาสั่นไหว และดวงตาของพวกเขาก็กระวนกระวาย
มันบ้าไปแล้ว
“เราไม่ต้องการอัจฉริยะผู้มีความสามารถระดับ ธรรมดา ๆ อีกต่อไป เราต้องการผู้ที่มีพรสวรรค์ชั้นยอดที่สุด” ทูตเฉียนหลงผู้สวมหน้ากากมังกรขาวกะพริบตาที่หย่อนยานของเขาช้า ๆ
เฉินหวู่จี้และฟังเต๋าถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทันใดนั้นลั่วอู๋ก็ปรากฏตัวขึ้น
“ขออนุญาตขอรับ” ลั่วอู๋เกาหัวด้วยความเขินอาย “ข้าผ่านการทดสอบแล้ว ใช่หรือเปล่า?”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบ
ทั้งสามมองไปที่ลั่วอู๋ และตกอยู่ในความเงียบสงัด!
สถานการณ์นี่มันอะไรกัน?
ทำไมถึงมีคนออกมาได้กัน?
นี่มันต้องเป็นการล้อเล่นกันแน่ ๆ! การสอบคัดเลือกเพิ่งเริ่มต้นไปได้ไม่นานเอง ความท้าทายและทางเลือกยังไม่ปรากฏออกมาให้เห็นด้วยซ้ำ ทำไมเจ้าถึงออกมาได้กัน?