บทที่ 124
ตั๊กแตนจับจิ้งหรีด
หนทางเดียวที่จะล้างออกได้นั่นคือการใช้น้ำด่าง แต่คนส่วนใหญ่ย่อมไม่รู้ความลับข้อนี้
ในขณะที่เจ้าลูกชิ้นขาวจัดการเสร็จเรียบร้อยก็ได้เตรียมที่จะหนีไป แต่แล้วเขาก็ถูกพบเข้าแล้วเสียงกรีดร้องของคนคนนั้นก็ดังลั่นทำให้ผู้คนแห่มากันทันที เจ้าลูกชิ้นขาวจึงได้รู้สึกผิดขึ้นมา
แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะให้เขาอยู่เฉยๆแล้วรอความตายมาเยือน เจ้าลูกชิ้นหยกขาวไปมองไปรอบๆ แต่เขาก็พบหนทางที่จะหนี
ในขณะที่เหล่าข้ารับใช้จำนวนมากกำลังเดินเข้าหาเทียนเอ๋ออยู่นั้นเอง ก็ได้มีเงาดำโผล่ออกมาแล้วอุ้มเอาเทียนเอ๋อไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วบินจากไปทันที
“พี่จี๋เฟิง ทำไมพี่ถึงรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ได้?” เจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้ทำตัวดีขึ้นมา ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้ทำอะไรผิดลงไป
จี๋เฟิงก็ได้คิ้วขมวด “นายน้อย ข้าควรจะเป็นที่จะเป็นคนถามท่านมากกว่าว่ามาทำอะไรที่จวนท่านราชครู”
เจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการแกล้งทำเป็นน่าสงสารและไร้เดียงสาแล้วกล่าว “พี่จี๋เฟิง เทียนเอ๋อหลงทางน่ะ เทียนเอ๋อไม่รู้เลยว่าเมื่อสักครู่คือที่ไหน?”
จี๋เฟิงนั้นรู้จักนายน้อยของเขาดี เขานั้นเหมือนกับหมาป่าตัวใหญ่ที่สวมหนังนายน้อยของเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้ไม่เชื่อเทียนเอ๋อแม้แต่น้อย
“นายน้อย ถ้าท่านไม่ยอมสารภาพความจริงออกมา แล้วพระชายารู้เข้าทีหลัง ข้าจะช่วยท่านไม่ได้นะขอรับ” จี๋เฟิงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
เทียนเอ๋อก็ได้คิดอยู่พักหนึ่ง ถ้าหาว่าเขามีพรรคพวกแล้วล่ะก็โอกาสที่เขาจะโดนลงโทษก็จะลดลงไป เขาจึงได้ยอมตกลง
“พี่จี๋เฟิง เทียนเอ๋อมาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับคนพวกนั้น” เทียนเอ๋อนั้นคิดที่จะล้างแค้นให้ท่านแม่ของเขา แล้วคิดที่จะลงมือด้วยตัวเอง เขากล่าวเหมือนจะฉลาดแต่จริงๆกลับว่างเปล่า
แล้วเขาก็ได้พูดอย่างภาคภูมิใจ “มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะต้องล้างแค้นให้แม่ของตัวเอง แต่พี่จี๋เฟิงต้องอย่าไปบอกท่านแม่นะ เทียนเอ๋อกลัวว่าท่านแม่จะต้องตื้นตันใจและร้องไห้แน่ๆ”
ที่มุมปากของจี๋เฟิงกระตุกขึ้นมา แล้วมองไปที่เจ้าลูกชิ้นขาวที่อยู่หน้าเขาที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าหากเรื่องนี้ถูกรู้โดยพระชายาเข้าผลที่จะตามมาคงได้เป็นหายนะแน่ แล้วจึงได้พูดออกมาอย่างแถๆอีก
แต่ก็มีเหตุผลอยู่
ในเมื่อสิ่งที่ไม่ดีนั้นได้ลงมือทำไปแล้ว ไม่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก็ไม่ช่วยทั้งนั้น ในเวลานี้เขาจึงได้แต่หวังว่าเรื่องนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ไป ไม่อย่างนั้นนายน้อยคงได้ถูกองค์หญิงลงโทษแน่นอน
แล้วทั้งสองคนก็ได้กลับมาถึงพระราชวังราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหลินซีเหยียนที่เห็นเทียนเอ๋อกลับมาพร้อมกับจี๋เฟิงก็รู้สึกวางใจอย่างมาก จึงไม่ได้ถามทั้งสองคนว่าทำไมถึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้
“อาหารเย็นพร้อมแล้วนะ มาทานได้แล้ว!” หลินซีเหยียนกล่าวและนั่งลงที่โต๊ะ สีหน้าของนางนั้นยังคงซีดมากอยู่
เจียงหวายเย่นั้นนั่งอยู่ข้างๆนาง ใบหน้าของเขารู้สึกคิดผิดมาก เขานั้นรู้สึกคิดผิดที่ไม่ได้ห้ามเสี่ยวเหยียนเอ๋อแล้วปล่อยให้นางทานในห้อง มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเขาโกรธตัวเองมากเพียงใดยามที่เห็นนางเดินออกมาพร้อมกับกัดฟันแน่น แล้วเขาก็โกรธราชครูซูมากขึ้นไปอีกที่กล้าลงมืออย่างรุนแรงเช่นนี้
เจียงหวายเย่ได้เพ่งความสนใจทั้งหมดของเขาไปที่ หลินซีเหยียน โดยที่เขาไม่ทันรู้สึกตัวหลินซีเหยียนก็ได้วางตะเกียบลงแล้วทำสีหน้าจริงจัง
“เจ้าตัวแสบ เจ้าได้ไปทำอะไรมาที่ต้องขอโทษแม่แล้วหรือยัง?”
ดวงตาของเจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้เลิ่กลั่กขึ้นมา แล้วเขาก็ได้กล่าวอย่างประจบ “ท่านแม่ วันนี้เทียนเอ๋อเป็นเด็กดีมาก”
หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้าไปมองจี๋เฟิง และก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมา ก็ได้ยินเสียงของเจียงหวายเย่ที่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็น “มันเป็นความจริงเขาไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีเลย”
“ท่านรู้งั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วแล้วมองไปที่เจียงหวายเย่
เจียงหวายเย่นั้นเป็นเหมือนกับผู้ช่วยชีวิตของเทียนเอ๋อ ที่มาช่วยเขาได้ถูกเวลาพอดี “วันนี้เทียนเอ๋อได้ไปสั่งสอนชายชราคนหนึ่งที่รังแกสาวน้อยไร้เดียงสาน่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะทำสีหน้ากลัวไปทำไม?” หลินซีเหยียนก็พูดอะไรไม่ออก นางเป็นคนน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
แล้วก็ได้มีแววตาเปล่งประกายออกมาในดวงตาของเทียนเอ๋อ แล้วมือเล็กๆของเขาก็ได้ชูนิ้วโป้งให้กับเจียงหวายเย่ โดยที่หลินซีเหยียนไม่ทันได้มองเห็น
ในขณะที่ทั้งสองคนได้ทำสายตาส่งสัญญาณกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่อยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้มองมาที่ทั้งคู่ด้วยสายตาที่แหลมคม แล้วเทียนเอ๋อก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“ทั้งสองคนกำลังปิดบังอะไรข้าอยู่หรือเปล่า?” สายตาของนางได้ย้ายไปมาระหว่างเจ้าลูกชิ้นขาวและเจียงหวายเย่
หลินซีเหยียนก็ได้มีสีหน้าที่น่ากลัวและกล่าวอย่างสงสัย “ยังไม่รีบคายออกมาอีก”
“เหยียนเอ๋อ เจ้าก็แค่ยังพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะ เจ้าจึงได้รู้สึกสงสัยโน่นนี่ไปหมด” เจียงหวายเย่กระแอมออกมาสองครั้ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กลบเกลื่อน “ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีเรื่องที่สำคัญบางอย่างจะบอกเจ้า”
หากเป็นเรื่องที่เจียงหวายเย่บอกว่าสำคัญแล้ว ก็จะต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่และรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร
“ซูอวิ๋นโยวลูกสาวท่านราชครูซูนั้น จะได้กลายเป็นนางสนมอวิ๋นผิงของฮ่องเต้ และจากที่เปิ่นหวางทราบมาอวิ๋นผิงนั้นดูเหมือนวางแผนที่จะจ้องทำลายจวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อด้วย”
อะไรนะ? ซูอวิ๋นโยวนั้นโหดร้ายได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? เดิมทีนางก็แค่ปรารถนาอย่างเหนือเหตุผลเท่านั้น แต่ตอนนี้นางได้กลายเป็นปีศาจร้ายไปเสียแล้ว แทนที่นางจะมองดูตัวเองแต่นางกลับโทษความเคราะห์ร้ายของนางทั้งหมดไปที่จวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อแทน
ช่างโหดร้ายอะไรอย่างนี้ ดูเหมือนว่าต่อจากนี้ไปนางไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งกับลูกท้อให้มากเกินไป ไม่อย่างนั้นจะโดนลูกท้อเน่าเปื้อนเสื้อผ้าได้และมันจะล้างไม่ออกไปตลอด
“ไม่ใช่ว่าซูอวิ๋นโยวนั้นไม่บริสุทธิ์แล้วไม่ใช่เหรอ? ข้าเกรงว่านางไม่น่าจะผ่านการตรวจก่อนเข้าไปในวังหลังได้นะ” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“วังหลังน่ะไม่เป็นเข้มงวดอย่างที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อคิดหรอก แต่ก็ไม่ได้ง่ายจนเกินไปเช่นกัน”
กระแสน้ำในวังหลังนั้นไหลลึกมาก โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เจียงหวายเย่ก็รู้สึกไม่ค่อยยินดีนักที่หลินซีเหยียนนั้นจะมายุ่งกับเรื่องของวังหลังมากจนเกินไป แต่บางเรื่องก็มักจะไม่เป็นไปตามที่คนคนหนึ่งต้องการ
“ก็หมายความว่า ซูอวิ๋นโยวมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในพระราชวังได้สินะ?” ปล่อยให้ซูอวิ๋นโยวเข้าไปในวังหลังได้เมื่อไรก็เหมือนกับปล่อยเสือเข้าไปในป่า ซึ่งเป็นอะไรที่อันตราย
“มีโอกาสที่จะสามารถขัดขวางนางไม่ให้เข้าไปในวังหลังได้หรือไม่?” สายตาของหลินซีเหยียนนั้นหนักแน่นมาก ราวกับว่านางได้ตัดสินใจลงไปแล้ว
“การป้องกันของวังหลังนั้นแน่นหนามาก ข้าเองก็ไม่อาจลงมือได้”
คำพูดของเจียงหวายเย่นั้นราวกับเอาน้ำเย็นสาดรดตัวของหลินซีเหยียนโดยไม่ปรานี แต่ก็ยังไม่อาจทำให้นางยอมแพ้ได้ เพราะอันตรายนั้นกำลังจะคืบคลานมาแล้ว
“ในวันที่ทำการตรวจร่างกายก่อนที่จะเข้าวังหลังนั้น พวกเราก็อาจจะสามารถลงมือทำอะไรบางอย่างได้ก่อนที่นางจะได้เข้าไปในวังหลัง” แผนการนี้เป็นไปได้มากที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นหลินซีเหยียนที่ดูเหมือนจะกังวล เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “อันตรายนี้ได้เบนเข็มไปที่จวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ซึ่งองค์ชายจะแจ้งข่าวไปยังพวกเขาแล้วให้พวกเขาได้เตรียมตัว!”
“ดี” อย่างไรเสียจวนแม่ทำเจิ้นกว๋อนั้นก็มีเบื้องหลังอยู่บ้าง หลินซีเหยียนจึงได้เห็นด้วย
สองวันต่อมา ก็ได้มีรถม้าคันหนึ่งที่ดูหรูหรามาได้แล่นเข้ามาในเมืองหลวงอย่างช้าๆ แล้วผู้คนมากมายที่ซุ่มซ่อนอยู่ในมุมมืดก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว แล้วพวกเขาก็ได้รีบนำข่าวนี้ไปแจ้งให้กับหัวหน้าของพวกเขาได้ทราบ
ซึ่งต้นตอของความวุ่นวายทั้งหมดนี้เนื่องมาจาก หลินรั่วจิงบุตรีคนที่ห้าของมหาเสนาบดีหลิน
นางนั้นได้กลับมาแล้ว
“ใครก็ได้รีบไปเตรียมหาของขวัญมาให้เปิ่นหวางที ข้าจะไปที่จวนมหาเสนาบดีหลิน” องค์ชายสี่เจียงช่างเฉินกล่าวอย่างตื่นเต้น
ในเวลานี้ ถ้าหากทำได้เขาก็คิดที่จะเหาะไปหาที่หน้าประตูเมืองเพื่อไปหานางแล้ว แต่ด้วยศักดิ์ที่เป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว ทำให้เขาต้องระงับความตื่นเต้นของเขาเอาไว้
แต่ทว่าองค์ชายสองนั้นกลับนำหน้าองค์ชายสี่ไปหนึ่งก้าว เขาได้ไปที่เส้นทางระหว่างหน้าประตูเมืองกับจวนมหาเสนาบดี เผื่อเขาจะได้พบกับคุณหนูห้าโดยบังเอิญ
ในขณะที่ทั้งคู่นั้นรู้สึกว่าแผนการของตัวเองนั้นช่างเยี่ยมยอด แต่พวกเขากลับหารู้ไม่ว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกล่วงรู้โดยคนของหอพันกลหมดแล้ว ซึ่งคนของหอพันกลได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในสมุดรายงานแล้วอันอี้ก็ได้นำมาส่งให้ที่พระราชวังรัตติกาล
เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบขึ้นมาแล้วเปิดอ่านทีละหน้าอย่างขบขัน