บทที่ 153
สิ่งที่กลัว
คำพูดของหลินซีเหยียนที่ทั้งหนาวเย็นและไม่ยอมแพ้นี้ทำให้ผู้ชายยังต้องพูดไม่ออก แต่ก็มีสายตาไม่พอใจออกมาจากใจของเหล่าผู้ชาย
แล้วพอพวกเขาจ้องไปที่หลินซีเหยียนแล้วก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ได้สวมเครื่องแบบทหาร จึงได้เปลี่ยนเรื่องแล้วถาม “คุณชายท่านนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากทางกองทัพสินะ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวยอมรับอย่างใจเย็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าของนาง “ข้าเป็นหมออยู่ในกองทัพนี้”
แล้วอีกฝ่ายก็ได้หัวเราะออกมาสามหนเมื่อได้ยินที่ หลินซีเหยียนพูด แล้วจากนั้นก็ได้ตอบกลับมาอย่างโอหัง “ก็นึกว่าเป็นแม่ทัพที่ปราดเปรื่องที่ไหน ที่แท้ก็เป็นแค่หมอตัวจ้อยที่เก่งแต่ในกระดาษเท่านั้น”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้คิ้วขมวดอย่างไม่พอใจกับคำพูดถากถางที่ไร้ที่สิ้นสุดเช่นนี้ จึงได้กล่าวช่วย “สิ่งที่ข้าคิดนั้นก็เหมือนกับที่อวิ๋นเซวียนพูดนั่นแหละ”
“แม่ทัพเยี่ยจะตามใจลูกน้องมากไปแล้วนะ ถึงได้ปล่อยให้คนเป็นหมอกล้าแส่มาเสนอความคิดเห็นต่อหน้าท่านแม่ทัพเฉิงได้”
คนที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ก็เหมือนกับหมาจิ้งจอกที่ยืมบารมีเสืออย่างสุดๆ หลินซีเหยียนจึงได้ยิ้มอย่างเย็นชาไปที่เขา ก่อนจะยกมือขึ้นมาแล้วปักเข็มเงินลงไปที่คอของชายคนนั้น
“เฉาหยวน?”
เมื่อท่านแม่ทัพเฉิงเห็นลูกน้องของเขาร่วงลงไปกองที่พื้นโดยไร้ซึ่งการเตือนใดๆ ก็ได้ตะโกนเรียกชื่อออกมาอย่างตกใจ แต่คนนั้นๆก็ไม่ฟื้นขึ้นมาเลย
หลินซีเหยียนก็ได้เดินเข้าไปหาคุกเข่าแล้วดึงเอาเข็มเงินออกอย่างใจเย็น แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวอย่างหนาวเย็น “ขอท่านแม่ทัพเฉิงอย่างได้กังวลไป ลูกน้องของท่านก็แค่เหนื่อยจากการเดินทาง หลังจากที่เขาได้พักผ่อนอย่างเพียงพอก็จะตื่นขึ้นมาเอง”
“เจ้าทำเกินไปแล้วน…..”
แล้วแม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของแม่ทัพเฉิงก็ได้ไม่พอใจขึ้นมาและพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แม่ทัพเฉิงก็ได้ห้ามเขาเอาไว้ เพราะหมอนั้นคือตัวตนที่ยุ่งยากที่สุดไหนสนามรบ
แล้วเขาก็ได้มองไปที่ชายหนุ่มที่ผอมบางแต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจคุกคาม และปรากฏแววตาไตร่ตรองขึ้นมาในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็ได้ยิ้มและกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว เรามาคุยเรื่องนี้ต่อจากเมื่อสักครู่กันเถอะ!”
แล้วแม่ทัพเฉิงก็เงียบเป็นเป่าสากโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
จากนั้นเริ่มหารือกันต่อ ซึ่งแม่ทัพเฉิงก็ได้เสนอให้ใช้วิธีเผาภูเขาทั้งลูกทิ้งเสีย
ถึงแม้ว่าวิธีที่เสนอมานี้จะสามารถปราบพวกกองโจรอย่างได้ผล แต่ความสูญเสียก็มากเกินไป อย่างไรเสียภูเขาอูอวิ๋นนั้นไม่ได้จำเป็นแค่สำหรับชาวอำเภอจ้าว แต่ยังรวมไปถึงผู้คนที่อยู่รอบๆด้วย
แต่การหารือนั้นยังไม่จบ เพียงแต่พวกเขายังหาวิธีที่ดีกว่านี้กันไม่ได้
ส่วนหลินซีเหยียนที่หลับตาลงแล้วคิดอยู่พักใหญ่ แล้วสุดท้ายก็ได้กระซิบข้างหูของของเยี่ยจุนเจี๋ย แล้วแววตาของ เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้สว่างขึ้นมาหลังจากที่ได้ยิน แล้วจากนั้นก็ได้ผงกหัวด้วยความเห็นด้วย “แผนการนี้อาจจะใช้การได้”
แม่ทัพเฉิงที่มองทั้งสองคนด้วยสีหน้าที่สงสัยแล้วกล่าวออกไป “ข้าสงสัยว่าพวกท่านทั้งสองมีแผนการอะไรดีๆอย่างนั้นรึ?”
“ถ้าไฟใช้ไม่ได้ พวกเราก็ใช้อีกวิธีที่ทำให้พวกเขายอมลงมาจากเขาได้” เยี่ยจุนเจี๋ยกล่าวอย่างช้าๆด้วยสีหน้าที่มั่นใจ “พวกเราจะใช้วิธีรมควันพวกเขาแทน”
ควันที่หนาแน่นนั้นจะลอยลงต่ำกว่าอากาศ และลอยต่ำลงไปเรื่อย จึงจำเป็นที่พวกเขาจะต้องขึ้นไปยังที่สูงเพื่อจุดไฟ และยังจำเป็นต้องมีทิศทางลมที่ถูกต้องด้วย ซึ่งถ้าทั้งสองอย่างได้แผนการนี้ก็จะสัมฤทธิผล
“เป็นแผนการที่เยี่ยมมาก!” หลังจากที่แผนทัพเฉิงลองไตร่ตรองดูแล้ว แววตาของเขาก็ได้สว่างขึ้นมา ราวกับว่าเขามองเห็นรุ่งอรุณของความสำเร็จยังไงอย่างงั้น
ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมตัวกันอยู่ บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆอำเภอจ้าวก็ได้วุ่นวายขึ้นมา เมื่อผู้คนทั้งหมดในบ้านแห่งนั้นต่างก็พากันตามหานายน้อยของพวกเขา
ชิงอวี่ก็ได้ขมวดคิ้วของนาง มองหาไปรอบๆแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมา หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทียนเอ๋อแล้วล่ะก็ คงไม่จบแค่คำขอโทษแน่ๆ
“ใจเย็นๆนะ บางทีนายน้อยอาจจะแค่ออกไปเล่นข้างนอกเดี๋ยวก็กลับมาแล้วล่ะ” อั้นซานที่ยังคงอยู่ที่บ้านนั้น ก็ได้ปลอบนางอย่างใจเย็น แต่การถูมืออย่างต่อเนื่องของเขานั้นแสดงให้เห็นถึงความกังวลในใจของเขา
แผนการในปัจจุบันคือการรอดูก่อนว่านายน้อยนั้นจะกลับมาหรือไม่
ส่วนเจ้าตัวร้ายเทียนเอ๋อที่หนีออกจากบ้านและทำให้ทุกคนเป็นห่วงนั้น ก็ได้มุ่งหน้าไปยังภูเขาอูอวิ๋นด้วยสีหน้าที่รื่นเริง และเดินไปฮัมเพลงไป
“มีทองอยู่ในภูเขาอูอวิ๋นด้วย ท่านแม่ไม่ยอมบอกข้าสักคำ แต่ไม่เป็นไร ด้วยความฉลาดและไหวพริบของข้าแล้ว ทองพวกนั้นจะไปไหนเสีย”
แล้วเขาก็ได้สะบัดแขนเล็กๆของเขาแล้วสองขาสั้นๆก็ได้กระโดดขึ้นลงดูท่าทางดีใจมาก
และด้วยความตัวเล็กของเทียนเอ๋อ แล้วอาศัยช่วงที่ท้องฟ้ากำลังตกเล็ดลอดเข้าไปในภูเขาอูอวิ๋นได้อย่างราบรื่น และเริ่มมองไปรอบๆเพื่อค้นหาทองที่อยู่ที่นั่น
แต่ผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่พบอะไร ทั้งเนื้อทั้งตัวของเทียนเอ๋อนั้นก็สกปรกไปหมด จนมีสภาพไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย
ด้วยความที่เป็นเด็กอายุแค่ 5 ขวบ ไม่นานนักเทียนเอ๋อก็หมดแรงและนึ่งลงอยู่กับพื้นแล้วเอนหลังพิงต้นไม้ ด้วยสีหน้าที่ผิดหวังบนใบหน้าของเขา
“ทองอยู่ที่ไหนกันน้า ทำไมถึงหาไม่พบสักที?” เทียนเอ๋อก็ได้บิดริมฝีปากน้อยๆของเขาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง แล้วในขณะที่เขากำลังกลับบ้านอย่างผิดหวังอยู่นั้นเอง เขาก็ถูกคว้าคอเสื้อด้านหลังเอาไว้
เทียนเอ๋อก็ได้หันหน้ามาแล้วพบว่าใบหน้าของคนที่คว้าคอเขานั้นดูน่ากลัวมาก ทำให้เขาต้องหดคอลงไป
“แกมันลูกเต้าเหล่าใครกัน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ด้วยเสียงที่ดังและหยาบกร้านนี้ได้สั่นคลอนหัวใจของเทียนเอ๋อ เขานั้นถึงกับกลืนน้ำลายลงไปแล้วจากนั้นก็แกล้งทำเป็นกลัวแล้วกล่าว “ข้าเป็นเด็กที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ ข้าได้ยินมาว่ามีทองอยู่ในภูเขาลูกนี้ ข้าเลยเข้ามาหา”
“เจ้าเด็กโลภมาก เป้าหมายของเจ้าจะใหญ่เกินตัวไปแล้ว เจ้าจะเอาทองไปทำอะไร?” ผู้มาเยือนคนนั้นดูเหมือนว่าจะชอบเด็ก แล้วเขาก็ได้ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเทียนเอ๋ออีก
เทียนเอ๋อก็ได้กุมท้องของเขา ก้มหน้าแล้วกล่าว “ทองนั้นสามารถใช้ซื้ออาหารอร่อยๆได้ เทียนเอ๋อไม่อยากที่จะหิว”
แล้วอีกฝ่ายก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อด้วยความสงสาร แล้วจากนั้นก็ได้หยิบเอาหมั่นโถวแข็งๆออกมาให้เขา “เจ้าเอานี่ไปแล้วกินเสีย!”
“ขอบคุณขอรับ” หลังจากที่มองดูอยู่พักใหญ่ๆ คงไม่ดีแน่หากเขาบอกไปว่าเขานั้นไม่เหนื่อยหรือหิว เทียนเอ๋อจึงได้รับมาอย่างไม่เต็มใจเท่าไรแล้วกินเข้าไป
“ท่านลุงขอรับ ท่านรู้ไหมว่าทองอยู่ที่ไหน?”
หลังจากที่ทานเสร็จ เทียนเอ๋อก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วจ้องไปที่ฝ่ายตรงข้าม ด้วยดวงตาที่ใสซื่อของเขา แล้วหวังให้อีกฝ่ายนั้นช่วยเขาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องกลับไปมือเปล่า
แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้บอกเขาแต่ลูบหัวของเทียนเอ๋อด้วยสีหน้าที่จริงจังแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “ที่นี่อันตรายมาก เจ้าหนูอย่าได้มาที่นี่อีกเลย เจ้าลงเขาไปขณะที่ตะวันยังไม่ลับฟ้าเสีย”
หลังจากที่กล่าวจบ อีกฝ่ายก็ได้จากไปโดยไม่เหลียวมองกลับมา
เทียนเอ๋อก็ยังไม่ยอมง่ายๆ เขาได้สะกดรอยตามลุงคนนั้นไปราวกับแมวตาบอดมองหาหนูตาย แล้วในที่สุดเขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อเขาได้สะกดรอยตามลุงคนนั้นจนลึกเข้ามาในภูเขาอูอวิ๋น เขานั้นไม่พบทองเลย พบแต่ผู้คนกลุ่มคนที่ดูสกปรกแทน
“คนเหล่านี้คงมาค้นหาทองเป็นแน่ ไม่ได้การเราต้องพยายามให้มากแล้ว ไม่ยอมแบ่งทองให้ใครง่ายๆหรอก” เทียนเอ๋อก็ได้กำหมัดเล็กๆของเขาแน่นและคิดถึงทองคำมากมายในใจของเขา แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังขึ้นมาในทันที
หลินซีเหยียนที่อยู่ในอำเภอจ้าวนั้น หลังจากที่ได้รับข้อความจากพิราบส่งสารของชิงอวี่แล้ว นางก็รู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที เจ้าเด็กตัวแสบหนีออกจากบ้านอีกแล้ว ถ้าไปที่อื่นก็คงจะดีและหวังว่าคงไม่ได้ไปที่ภูเขาอูอวิ๋น
แต่สวรรค์ชอบกลั่นแกล้งผู้คนเสมอ สิ่งที่ผู้คนหวังให้ไม่เกิดก็มักจะเกิดขึ้นมาเสมอ
ในตอนเช้าตรู่ เมื่อพวกเขาได้เตรียมการแล้วพวกเขาก็ได้เริ่มทำการจุดควันไฟ แล้วควันสีเทาก็ได้ลอยขึ้นมา ซึ่งไม่นานนักก็ได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งภูเขาอูอวิ๋น
“บ้าเอ๊ย คนพวกนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ พวกเขาคิดที่จะจุดไฟเผาภูเขาอย่างนั้นเหรอ?” อู๋จื้อเฟิงก็ได้เอามือปิดปากและจมูกด้วยผ้าชุบน้ำในมือของเขา แล้วมองไปที่คนของเขาที่พากันตื่นตระหนก