บทที่ 182
สัญญาทางกาย
“อย่าเพิ่งโกรธเลยน่า ในเวลานี้ข้ากำลังอารมณ์ดี เอาเป็นว่าข้าจะบอกอะไรดีๆให้เจ้าฟังอย่างหนึ่ง” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างขบขัน ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา นางก็ได้กล่าวต่อ “เจ้ารู้จักหัวหน้าตึก แต่ข้าน่ะรู้จักประมุขหอเลยนะ”
อะไรนะ? หลานหัวหน้าตึกก็ได้ตกใจ จากนั้นก็กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง แล้ววินาทีต่อมาเขาก็ได้กล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
“ก็หลานหัวหน้าตึกไง เจ้าก็พูดอยู่เมื่อกี้” หลินซีเหยียนที่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถามเช่นนั้น แต่นางก็ได้ตอบกลับไปอย่างให้ความร่วมมือ
แต่ไม่คิดว่าชายคนนั้นกลับยิ้ม แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะทันได้ตั้งตัว หญิงสาวคนนั้นก็ได้ถูกผลักมาใส่นาง เมื่อเห็นเช่นนี้เจียงหวายเย่ก็ได้คว้าตัวหญิงสาวคนนั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เข้าไปชนกับหลินซีเหยียน
พอนางสามารถยืนได้แล้ว หญิงสาวคนนั้นก็ได้ก้มหัวให้เจียงหวายเย่อย่างอายๆ “ข้าน้อยชื่อฮัวหย่าเป็นลูกสาวพ่อบ้านของหัวหน้าตึกเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้”
หลินซีเหยียนก็กะพริบตาปริบๆ นางบิดริมฝีปากของนางแล้วมองไปที่หญิงสาวคนนั้น เมื่อสักครู่นี้เป็นหลินซีเหยียนที่ช่วยพูดเพื่อช่วยเหลือนางแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นเจียงหวายเย่ที่ช่วยนางไปซะอย่างนั้น เป็นเพราะเสน่ห์ของเขาอย่างนั้นเหรอ?
มองไปที่ฮัวหย่าที่ดวงตาจับจ้องไปที่เจียงหวายเย่ในดวงตาของนางแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้เดินจากไปอย่างโมโห
เจียงหวายเย่ที่เห็นเช่นนั้นก็ได้คิดที่จะตามนางไป แต่กลับถูกหยุดโดยหญิงสาวที่ไม่ดูตาม้าตาเรือตรงหน้าเขาเสียก่อน ทันทีที่เขาก้มหน้ามา เขาก็เห็นหญิงสาวคนนั้นมีท่าทีเอียงอาย เขาจึงได้หันหน้าหนีด้วยท่าทีรังเกียจ
“ไม่ทราบว่าท่านชื่อว่าอะไรและอยู่แห่งหนตำบลไหน? แล้วแต่งงานแล้วหรือยังเจ้าค่ะ?” ฮัวหย่าก็ได้ตาจ้องเป๋งด้วยดวงตากลมโตของนางและพยายามที่จะส่งข้อความบอกไปว่านางมีความสุขที่อยู่กับท่าน แต่ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่หนาวเย็นของเจียงหวายเย่แล้ว ฮัวหย่าก็ได้รีบพูดต่อ “ถ้าคุณชายไม่รังเกียจ ข้าน้อยก็ยินดีที่จะมีสัญญาทางกายกับท่านนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องการ” เจียงหวายเย่ที่หมดความอดทน ไม่เพียงแค่คำพูดแต่ยังรวมถึงกลิ่นแป้งที่ฉุนของอีกฝ่าย ที่ทำให้เจียงหวายเย่รู้สึกไม่ดีอย่างสุดๆ
เมื่อนางได้ยินคำกล่าวปฏิเสธฮัวหย่าจึงได้ตกใจราวกับว่านางไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงมีคนที่ปฏิเสธคนที่มีรูปโฉมงดงามเช่นนางได้อย่างไร? นางจึงได้ทำราวกับว่าใจของนางนั้นกำลังแตกสลาย “ข้าก็แค่อยากจะตอบแทนท่านเท่านั้น ทำไมท่านถึงได้ทิ้งข้าอย่างไม่ไยดีราวกับรองเท้าด้วย?”
เจียงหวายเย่ไม่สนใจที่จะพูดกับอีกฝ่าย แต่ได้เตะก้อนหินก้อนเล็กๆไปโดนตัวของฮัวหย่า ฮัวหย่าก็ได้รู้สึกกลัวขึ้นมาเมื่อพบว่าตัวนางนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่นางก็ยังคาดหวังว่าคุณชายนั้นจะทำเช่นไรกับนางต่อ
แต่โชคร้ายที่เจียงหวายเย่ก็ได้จากนางไปโดยไม่หันมาเหลียวแลเลยแม้แต่น้อย และที่แย่ที่สุดคือนางนั้นไม่สามารถเคลื่อนไหวและไล่ตามไปได้
เจียงหวายเย่ก็พบหลินซีเหยียนอยู่ในห้องนอนของนาง และพบว่าหลินซีเหยียนนั้นได้อยู่ในโลกแห่งความฝันไปแล้ว และดูเหมือนจะกำลังฝนดีเสียด้วยเพราะเห็นมุมปากของนางนั้นยกขึ้นมาเล็กน้อย
เงียบสงบและไร้ซึ่งชีวิตชีวา เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งลงข้างๆนางแล้วมองไปที่นางอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าอยากจะให้เปิ่นหวางทำเช่นไรกับเจ้ากันแน่?”
ณ เมืองหลวง เทียนเอ๋อที่พบกับชีวิตที่ลำเค็ญหลังจากที่เขาถูกนำไปเลี้ยงดูโดยสวี่ซื่อหลาง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ว่าแม่ของเขานั้นใจดีกับเขามากเพียงใด
สวี่ซื่อหลางนั้นได้มอบทั้งอาหารและเสื้อผ้าอย่างดีให้กับเทียนเอ๋อ และเป็นเพราะว่าเขานั้นทำธุรกิจที่บ้าน เขาจึงได้มอบสิ่งของแปลกๆให้กับเทียนเอ๋ออยู่ตลอด เดิมทีเข้าก็ควรที่จะมีความสุขดี แต่ทว่าสวี่ซื่อหลางนั้นได้ให้ความสำคัญด้านความสามารถและมารยาทอย่างมาก ทำให้เทียนเอ๋อต้องตื่นแต่เช้าตรู่และอ่านหนังสือแต่เช้าทุกวัน
ด้วยความสามารถของเทียนเอ๋อนั้นการจะหลบหนีไม่ใช่เรื่องยาก แต่ด้วยความเอาใจใส่ของสวี่ซื่อหลางแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถหาทางหนีได้เลยอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เป็นคืนเดือนมืดและลมแรง มันเป็นเวลาที่ดีที่เขาจะลงมือท้าทายสายลม เทียนเอ๋อก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วแต่งตัวจากนั้นก็นำจดหมายที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้ามาวางไว้บนโต๊ะแล้วจากนั้นก็หนีออกมา
เมื่อเดินออกมาท่ามกลางถนนที่ไร้ผู้คน เทียนเอ๋อก็ได้ฮัมเพลงด้วยเสียงแหลมเล็กของเขาแล้วกล่าว “รู้สึกได้ถึงอิสรภาพอีกครั้ง!”
“นายน้อยเจ้าคะ” แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังที่ทำให้เทียนเอ๋อตกใจจนน้ำตาไหล เทียนเอ๋อที่กำลังร้องไห้ก็ได้กล่าวกับชิงอวี่อย่างเศร้าๆ “น้าชิงอวี่อย่าได้จู่ๆก็โผล่มาแบบนี้สิขอรับ ได้โปรดช่วยเข้าใจหัวใจน้อยๆของข้าหน่อย ข้านั้นยังเด็กแล้วยังอ่อนแอ ถ้าเกิดเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงตกใจจนตายเพราะน้าไม่เร็วก็ช้าแน่”
ชิงอวี่ก็ได้มองไปที่นายน้อยของที่เจื้อยแจ้วเจรจาแล้วก็ยิ้ม “เมื่อใดกันที่นายน้อยกลายเป็นคนขี้ขลาดเหรอเจ้าคะ?”
เทียนเอ๋อก็ได้รีบเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินที่นางพูด “เทียนเอ๋อนั้นกล้าหาญยิ่งกว่าสวรรค์ จะเป็นคนขี้ขลาดได้อย่างไรกัน?”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็นึกถึงเพื่อนเล่นของเขาที่เพิ่งรู้จักเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ขึ้นมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้มองไปที่ชิงอวี่ “น้าชิงอวี่ขอรับ น้าพอจะรู้ไหมว่าสิบหกอยู่ที่ไหนเหรอขอรับ? ข้าไม่เจอกับเขามาตั้งหลายวันแล้ว ข้ารู้สึกคิดถึงเขาน่ะขอรับ”
ชิงอวี่ก็ได้ลูบหัวน้อยๆของเขาแล้วจากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกฝ่ายนั้นตัวตนเป็นใครหรือพื้นเพเป็นเช่นไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่คนที่ท่านควรจะไปยุ่งด้วยหรอกนะเจ้าคะ!”
“น้าชิงอวี่ก็ สิบหกน่ะมาเล่นกับเทียนเอ๋อทันทีที่เจอกันเลยนะ ข้าว่าเขาต้องไม่ใช่คนไม่ดีแน่ๆ” เทียนเอ๋อก็ได้จ้องหน้าไปที่ชิงอวี่ แล้วยืนกรานที่จะออกไปตามหาสิบหกมากขึ้นเรื่อยๆในใจ
เทียนเอ๋อนั้นยังเล็กเรี่ยวแรงของเขายังไม่มากพอที่จะไปที่นั่นได้ เขาจึงได้รู้สึกเหนื่อยหลังจากที่เดินโต๋เต๋อยู่สักพักบนถนนเปลี่ยวเส้นนั้น แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี เขาไม่สามารถกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีได้ เพราะมันน่าเบื่อมากเพราะไม่มีท่านอาจารย์กับท่านแม่อยู่ หลังจากที่คิดอยู่พักใหญ่ๆ เทียนเอ๋อก็คิดถึงที่ดีๆไม่ออก
สุดท้ายชิงอวี่ก็ได้พาเขากลับไปที่พระราชวังรัตติกาล
ผู้คนในพระราชวังนั้นคุ้นเคยกับเทียนเอ๋อดีอยู่แล้ว พวกเขาจึงได้ดูแลเทียนเอ๋อเป็นอย่างดี แต่ก็มีสาวใช้บางคนที่ไม่ได้ใจดีเช่นนั้น
“เจ้าเด็กบ้านั่น ไม่รู้ตัวรึยังไงว่าตัวเองเป็นถึงลูกชายของบุตรีคนที่สองของจวนมหาเสนาบดี? แต่กลับทำตัวไร้มารยาทหนีมาที่พระราชวังกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้”
นอกจากในตำหนักของเจียงหวายเย่แล้ว ก็ยังมีที่อื่นๆในพระราชวังรัตติกาลซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนที่ไม่รู้จักผิดจักถูกอาศัยอยู่ ซึ่งข่าวการมาของเทียนเอ๋อนั้นก็ได้เข้ามาถึงหูของทุกคนด้วย
มีบางคนที่บอกเอาไว้ว่าในเวลานี้องค์ชายได้ออกไปข้างนอกเพื่อตามหาหมอเทวดาอยู่ พวกเขาจึงได้คิดที่จะอาศัยโอกาสนี้สั่งสอนบทเรียนให้เจ้าเด็กตัวแสบได้รู้ว่าใครที่เป็นเจ้าของพระราชวังแห่งนี้
เทียนเอ๋อที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรนั้นก็กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่มๆ และนอนหลับฝันหวานอย่างที่เขาถวิลหา
ณ หอพันกล เจียงหวายเย่ก็ได้สั่งรวมพลให้มารวมกันตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วจากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้วก็ถามว่ามีหัวหน้าตึกคนไหนที่มีหลานเช่นนี้อยู่ในหอพันกลบ้าง
แต่แล้วเหล่าหัวหน้าตึกก็ไม่มีใครตอบ ตอนแรก เจียงหวายเย่คิดว่าพวกเขาคงกำลังพยายามปิดบังเพื่อปกป้อง แต่หลังจากที่ถามอยู่หลายครั้งเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
“มันจะต้องเป็นคนที่ชอบอวดอ้างโดยใช้ชื่อของหัวหน้าตึกแน่ๆ พวกเจ้าจะต้องไปค้นหาเรื่องนี้ให้ได้”
แล้วสีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้ไม่ดีขึ้นมา ในขณะที่ หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นก็ได้บิดริมฝีปากของนาง ในเวลานี้นางก็รู้แล้วว่าชายคนนั้นถามย้ำนางว่านางรู้จักเขาหรือไม่ทำไม
หลังจากที่เจียงหวายเย่จัดการเรื่องจิปาถะภายในหอพันกลเรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว หลังจากที่ทานอาหารเสร็จเจียงหวายเย่กับหลินซีเหยียนก็ได้เตรียมที่จะออกเดินทาง แต่ทั้งคู่ก็ได้ถูกขัดโดยหัวหน้าตึกคนหนึ่งเสียก่อน
แล้วหัวหน้าตึกคนนั้นก็ได้พูดออกมาว่า “ท่านประมุขหอขอรับ ลูกสาวของพ่อบ้านฮัวนั้นได้ถึงวัยที่จะต้องออกเรือนแล้ว และข้าน้อยเองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ข้าน้อยจึงได้หวังให้ท่านได้พานางไปที่เมืองหลวงเพื่อให้นางหาคู่ชีวิตด้วยขอรับ”