บทที่ 204
พูดไม่ออก
เมื่อได้ยินที่พูดหลินซีเหยียนก็ถึงกับสำลักน้ำลาย เรื่องที่นางเป็นหมอผีนั้น ยังไม่ถึงเวลาที่จะเผยแพร่ออกมา นางจึงไม่สามารถบอกกับซางกวนจิ่นได้ว่าแท้จริงแล้วนางคือหลินซีเหยียนบุตรีคนที่สองของบ้านมหาเสนาบดีได้
เจียงหวายเย่ก็คิ้วขมวด ถึงแม้ว่าเขานั้นจะชื่นชอบการแกล้งเสี่ยวเหยียนเอ๋อ แต่ก็ต้องเป็นเขาเท่านั้นที่แกล้ง เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาแกล้งนาง
ดังนั้นเจียงหวายเย่จึงได้คิดที่จะช่วยเสี่ยวเหยียนเอ๋อ
“แต่ฐานะของคุณชายซางกวนจิ่นนั้นไม่ธรรมดานัก ถ้าหากท่านพ่อของท่านทราบเรื่องนี้เข้า ข้าเกรงว่าคุณชายคงจะไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนตอนนี้แน่”
ในรัฐเจียงนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าตระกูลซางกวนนั้นเป็นคนที่เห็นแก่เรื่องของมารยาทเป็นสำคัญ ดังนั้นพฤติกรรมอย่างการปีนกำแพงของซางกวนจิ่นนั้นจึงเป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้แน่นอน
หากคนอื่นทราบเรื่องนี้เข้า และซางกวนจิ่นเองก็เคยมีประสบการณ์กับบทเรียนของตระกูลซางกวนเป็นอย่างดี จึงได้ทำให้เขาสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “เจ้าช่างโหดร้ายนัก….อวิ๋นเซวียน ขุนเขาตั้งตระหง่าน สายธารไม่หวนคืน วันหน้าพบกันใหม่”
ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้ตั้งตัว ซางกวนจิ่นก็ได้หนีไปแล้วและหายลับตาไป
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังพึงพอใจกับการปกป้องกะหล่ำปลีของตัวเองอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “องค์ชายเย่ รู้สึกอย่างไรบ้างล่ะที่เป็นฝ่ายถูกพาเหาะน่ะ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้อ้ำอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินที่ หลินซีเหยียนถาม ก็ได้ตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร “ก็ดีนะ แม้จะไม่ค่อยชินสักหน่อยก็เถอะ”
“แล้วทำไมองค์ชายถึงได้ลงมาพร้อมกับอันอี้ได้? หรือจะเป็นเพราะว่าท่านใช้กำลังภายในไม่ได้?”
“ใช้ไม่ได้?” เจียงหวายเย่ก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ได้พูดอย่างประชดประชัน “ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ ไม่มีใครที่สามารถทำลายวรยุทธ์ของเปิ่นหวางได้หรอก”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียน และริมฝีปากซีดๆของเขาก็ได้กระตุกเล็กน้อย
“องค์ชายมีอะไรปิดบังข้าอยู่หรือเปล่า?”
ท่าทีที่ดูระวังตัวเช่นนี้หาได้ทำให้หลินซีเหยียนคลายความสงสัยลงไม่ ในฐานะหมอแล้วสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือ คนไข้ที่ปิดบังอาการของตัวเอง
เจียงหวายเย่นั้นรู้ว่าไม่อาจที่จะปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงคิดที่จะสารภาพออกมาก่อน โดยหวังว่าหากสารภาพออกมาเองแล้วโทษจะได้ลดลง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางนั้นไม่ได้บาดเจ็บอะไร ก็แค่กำลังภายในของเราหายไปเพราะยาที่เราเผลอทานเข้าไปเท่านั้น”
หลินซีเหยียนจึงได้จับชีพจรของเจียงหวายเย่ ซึ่งในเวลานี้เขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร แล้วปล่อยให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อกุมชีวิตของเขา
หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆ หลินซีเหยียนก็ได้คลายคิ้วของนาง ร่างกายของเจียงหวายเย่นั้นเป็นอย่างที่เขาบอกจริงๆ และไม่พบผิดปกติอะไร
“แล้วจากนี้ก็อย่าได้คิดโกหกข้าอีกล่ะ” หลังจากที่ปล่อยมือเจียงหวายเย่ หลินซีเหยียนก็ได้พูดประโยคนี้แล้วเตรียมที่จะกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี
ปกตินางนั้นจะเก่งกาจเรื่องการปีนข้ามกำแพง แต่นางไม่นึกว่าจะมีวันที่นางต้องมาปีนกำแพงต่อหน้าเจียงหวายเย่ ทำให้หัวใจภายในหน้าอกข้างซ้ายของนางนั้นเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนางไม่รู้ว่าเต้นเร็วเพราะความอายหรือว่าอะไรกันแน่
เนื่องจากไม่มีสมาธิในการปีน หลินซีเหยียนจึงได้ปีนกำแพงพลาดถึง 2 หนในวันเดียว ซึ่งคราวนี้เป็นเจียงหวายเย่ที่มารองรับนางเอาไว้ เมื่อนางมองไปที่ดวงตาที่ยิ้มแฉ่งของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้เอาหัวซุกเข้ากับหน้าอกของเจียงหวายเย่ด้วยความอายจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
ในเวลานี้เจียงหวายเย่นั้นไม่มีกำลังภายในทำให้เขาไม่สามารถปีกกำแพงขณะที่มีเสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่ในอ้อมแขนของเขาได้ และไม่คิดที่จะให้อันอี้ทำหน้าที่แทนเขาด้วย จึงได้หันหลังกลับแล้วพาหลินซีเหยียนไปที่ถนนแทน
เมื่อได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจมาจากรอบๆแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้เงยหน้าขึ้นมา “นี่ท่านคิดจะพาข้าไปที่ไหน?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา กลับกันเขาได้เดินเข้าไปในฝูงคน หลินซีเหยียนที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่นางแล้วจึงได้ดีดดิ้นขัดขืนขึ้นมา “วางข้าลงเดี๋ยวนี้”
เจียงหวายเย่ก็ได้ทำตามที่นางพูดแล้วกล่าว “เปิ่นหวางได้ยินมาว่ามีร้านขายขนมใหม่มาเปิดอยู่ในเมืองหลวง ขนมที่ร้านนั้นแพงมาก ในเมื่อเจ้ายังไม่สามารถกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีได้ ทำไมเจ้าไม่มากับเปิ่นหวางแล้วไปชมร้านนั้นกับเปิ่นหวางเสียหน่อยล่ะ?”
หลินซีเหยียนจึงได้ผงกหัวแล้วทั้งสองคนก็ได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปตามถนนคนเดิน ในขณะที่พวกเขากำลังจะไปถึงที่หมายนั้นเองก็ได้ไปพบกับเยี่ยจุนเจี๋ยที่กำลังเร่งรีบเข้าพอดี
“อวิ๋นเซวียน ช่างบังเอิญอะไรแบบนี้ ข้ากำลังจะไปที่หอคว้าจันทร์เพื่อไปหาเจ้าพอดี”
หลังจากที่ไม่พบกันนาน ร่างกายของเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นก็ได้ดูสูงและบึกบึนมากขึ้น และลมหายใจของเขาก็ดูสงบนิ่งมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกราวกับมองดูเด็กที่กำลังเจริญเติบโต
แต่เมื่อเห็นสายตาที่ดูรีบร้อนของอีกฝ่ายแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง “มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่จวนท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋องั้นเหรอ?”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้จ้องไปที่คนที่อยู่ข้างๆหลินซีเหยียน แล้วค่อยหันกลับมามองหลินซีเหยียนอย่างมีความหมาย เขานั้นไม่สามารถที่จะบอกปัญหาภายในจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อให้คนภายนอกทราบได้ง่ายๆ หากว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่ไว้วางใจได้
“เขาคืออาจารย์ของเทียนเอ๋อ เป็นคนที่ซื่อตรงและพึ่งพาได้ เขาไว้ใจได้” พูดเพียงแค่ไม่กี่คำ หลินซีเหยียนก็ทำให้ เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นคลายความระแวงเจียงหวายเย่ลง
เยี่ยจุนเจี๋ยจึงได้กล่าว “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านปู่ได้ขอให้ข้ามาเชิญเจ้าไปที่บ้านน่ะ”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว นางนั้นก็ได้คิดว่าอดกินขนมร้านนั้นเสียแล้วขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เดินทางไปที่จวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อพร้อมกับเยี่ยจุนเจี๋ย การตกแต่งจวนของแม่ทัพ เจิ้นกว๋อนั้นจะดูเรียบง่ายแต่ก็ดูมีเอกลักษณ์
ด้วยการนำทางของเยี่ยจุนเจี๋ย หลินซีเหยียนกับ เจียงหวายเย่ก็ได้เข้าห้องมาด้วยกัน แล้วในขณะที่ทั้งคู่ได้เปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น พวกเขาก็พบท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองอยู่ในห้องทั้งคู่ด้วย
เจียงหวายเย่นั้นรู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินซีเหยียนและจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อดี เขาจึงรู้สึกราวกับมาพบญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายผู้หญิงขึ้นมาทันที เขาจึงได้พยายามทำให้ดูดีที่สุด
แล้วเขาก็ได้เปลี่ยนท่าทางขึ้นมาอย่างมาก ทำให้เขาดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาจนเยี่ยจุนเจี๋ยรู้สึกได้ว่าเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน ในขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่างออกมานั้น ชายชราก็ได้พูดขึ้นมาก่อน”
“เจ้าเด็กตัวแสบ คนคนนี้คือใครอย่างนั้นรึ?”
คำเรียกชื่อเช่นนี้คงไม่มีวันเปลี่ยนได้ง่ายๆไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี ซึ่งทำให้ผู้คนนั้นรู้ว่าท่านแม่ทัพเฒ่าผู้นี้ชื่นชอบ หลินซีเหยียนมากขนาดไหน หลินซีเหยียนก็ได้แนะนำเจียงหวายเย่อย่างใจเย็น
แล้วชายชราก็ได้ผงกหัวแล้วกล่าว “ข้าชายชราผู้นี้จะเชื่อในสายตาการดูคนของเจ้าเด็กตัวแสบก็แล้วกัน ส่วนเจ้าหนุ่มข้าหวังว่าเจ้านั้นไม่ว่าสิ่งใดที่เจ้าจะได้ฟังหลังจากนี้ห้ามนำไปแพร่งพรายให้คนภายนอกรู้เด็ดขาด”
เจียงหวายเย่ก็ได้ทำท่าคารวะให้ท่านแม่ทัพเฒ่าแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่ให้ความเคารพ “ได้โปรดวางใจได้ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่ทำให้จวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อต้องผิดหวัง”
“ถ้าเช่นนั้นชายชราผู้นี้ก็จะเข้าเรื่องล่ะ หลายชายของข้านั้นเพิ่งจะได้รับพระราชทานตำแหน่งในกองทัพเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในช่วงนี้ข้าทราบมาว่าเริ่มที่จะมีหลายฝ่ายในพระราชสำนักที่พยายามจะฆ่าคนของบ้านแม่ทัพเจิ้นกว๋อของข้า”
หลินซีเหยียนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ได้มีแววตาเย็นชาขึ้นมา ในเวลานี้รัฐเจียงนั้นมีปัญหาเรื่องของศัตรูภายนอกให้กังวลพออยู่แล้ว แล้วในเวลานี้ยังจะคิดเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลอีกเหรอ?
เจียงหวายเย่นั้นรู้จักฮ่องเต้เจียงเป็นอย่างดีอยู่แล้ว และรู้ว่าฮ่องเต้เจียงนั้นมีสายตาคับแคบมากเพียงใด เขามองเห็นแต่อันตรายใกล้ตัวแต่ไม่เคยนึกถึงหายนะที่อยู่ห่างไกลออกไปเลย ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยที่จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
แล้วแม่ทัพเฒ่าเจิ๋นกว๋อที่หยุดนิ่งพักหนึ่งแล้วจากนั้นก็กล่าวต่อ “ต่อหน้าฮ่องเต้พวกเขาก็ได้กล่าวชื่นชมตระกูลเยี่ย แม้แต่ลูกชายสองคนของข้าก็ยังได้เลื่อนขั้นแบบกะทันหัน ฮ่องเต้เองนั้นก็ทำตัวน่าสงสัยตลอด ข้าเกรงว่ามันถึงเวลาแล้วที่ตระกูลเยี่ยจะต้องตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อจัดการกับเรื่องภายในในครั้งนี้”