บทที่ 205
แผนร้ายแดงออกมา
เรื่องในครั้งนี้เป็นปัญหาที่ยุ่งยากจริงๆ เพราะมีเส้นทางอยู่แค่สองเส้นให้ตระกูลเยี่ยเลือกเดิน หนึ่งคือยอมยกกำลังทหารทั้งหมดให้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่หากไร้ซึ่งกำลังทหารแล้ว ตระกูลเยี่ยก็ถึงคราวตกต่ำเสียแล้ว
แต่ถ้าไม่อยากที่จะยอมยกกำลังทหารให้ ก็มีอีกวิธีคือแกล้งป่วย ซึ่งท่านแม่ทัพเฒ่าก็ใช้วิธีนี้มาโดยตลอด แต่ทว่าดันมีผู้ชายอยู่ในตระกูลเยี่ยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องยากนักที่จะหาข้ออ้างมาแกล้งป่วย
หลินซีเหยียนก็ได้ลองชั่งน้ำหนักถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งสองแผนนี้อย่างต่อเนื่อง
เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆนาง ก็ได้กล่าวขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “ฮ่องเต้นั้นมักจะชอบรักษาสมดุลของแต่ละฝ่ายอยู่เสมอ หากว่าตระกูลเยี่ยต้องการที่จะคงเสถียรภาพเช่นนี้ไว้ไปอีกสักระยะหนึ่งแล้ว ก็ควรที่จะหาเป้าหมายใหม่ให้ฮ่องเต้”
หาใครสักคนมาเป็นเป้าหมายเพื่อให้ฮ่องเต้มองเห็นประโยชน์ของการขยายอำนาจของตระกูลเยี่ย!
เมื่อชายชราได้ยินเช่นนี้ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น เขามองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยดวงตาที่ลุกโชน และกล่าวชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “นี่เป็นวิธีการที่ดี แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น ใครกันที่จะมีอำนาจมากพอจะเป็นเป้าหมายและบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันกับตระกูลเยี่ยได้?”
เพราะฮ่องเต้เจียงนั้นเป็นคนใจคอคับแคบ จึงมีน้อยคนนักที่จะเติบใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ถึงจะมีการแบ่งฝ่ายเกิดขึ้นในพระราชสำนัก แต่ก็มีอำนาจไม่มากพอที่จะสั่นคลอนบัลลังก์ได้
จึงไม่มีใครเลยที่จะมีอำนาจทัดเทียมกับตระกูลเยี่ยที่กำลังทหารเป็นจำนวนมากได้
“ท่านปู่ ท่านคงลืมไปแล้วว่านอกจากตระกูลเยี่ยของเราแล้ว ก็ยังมีองค์ชายผู้หนึ่งที่มีอำนาจทางการทหารเหนือกว่าตระกูลเยี่ยของพวกเราเสียอีก” หากพูดถึงเรื่องของกำลังทหารแล้ว เยี่ยจุนเจี๋ยนึกถึงวีรบุรุษหนุ่มองค์ชายรัตติกาลขึ้นมา แต่ก็น่าเสียดายที่องค์ชายรัตติกาลนั้นป่วยหนักมา แต่ทว่าหากนึกถึงความกลัวของฮ่องเต้ที่มีต่อองค์ชายรัตติกาลแล้ว ฮ่องเต้จะต้องปล่อยตระกูลเยี่ยไปชั่วคราวแน่ๆ
แม่ทัพเฒ่าก็ได้ครุ่นคิดขึ้นมาเมื่อได้ยินที่เยี่ยจุนเจี๋ยกล่าว เขานั้นเคยนำทัพต่อสู้มาแล้วหลายปีนักแต่ก็ไม่เคยมีใครที่ทัดเทียมกับเขาได้มาก่อนเลย จนกระทั่งองค์ชายเย่ได้นำทัพรบชนะและสร้างปาฏิหาริย์มามากมาย เขาจึงได้เริ่มคำนึงถึงตัวตนของเทพสงครามขึ้นมา ซึ่งช่างเหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ด้วยเสียจริงๆ
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างเงียบๆ เพราะข้อเสนอของเขาทำให้ปลายหอกของตระกูลเยี่ยนั้นได้พุ่งเป้าไปที่เขา ซึ่งไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา
แต่เจียงหวายเย่ก็ได้ทำสีหน้าปลอบหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ข้าเองก็คิดว่าองค์ชายรัตติกาลนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว องค์ชายรัตติกาลนั้นเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้เจียงนั้นหวาดกลัวเสมอมา หากว่าพวกท่านทั้งสองสามารถเล่นละครตบตาฮ่องเต้ได้สำเร็จ ต่างก็จะได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวเขาเองก็จะได้ลดปัญหาลงไปเช่นกัน ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้ก็จะคอยหลอกล่อเขาอยู่เป็นเนืองๆ หรือไม่ก็ส่งคนมาตอดเล็กตอดน้อยอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมาก
“แต่องค์ชายรัตติกาลนั้นชอบอาศัยอยู่อย่างสันโดษ แล้วพวกเราจะติดต่อกับองค์ชายรัตติกาลได้อย่างไร?” ท่านลุงของหลินซีเหยียนก็ได้ถามอย่างปวดหัว
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้น้อยเอง ข้านั้นสามารถช่วยนำคำของพวกท่านไปมอบให้กับองค์ชายรัตติกาลได้” ริมฝีปากของเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย และด้วยสีหน้าบนใบหน้าของเขานั้นทำให้ผู้คนนั้นไม่สามารถคาดเดาตัวตนของเขาได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ว่ากันตามตรง ตอนแรกเขาคิดที่จะให้คำแนะนำกับท่านแม่ทัพเฒ่าไปว่า จะไม่ใช่เรื่องยากเลยหากเขาทำให้ เสี่ยวเหยียนเอ๋อยอมแต่งงานกับเจียงหวายเย่ได้ แต่แน่นอนว่าเขาทำได้แค่คิดอย่างเดียวเท่านั้น
แต่สุดท้ายเจียงหวายเย่ก็ได้บอกให้ทุกคนในจวนท่านแม่ทัพรอคอยฟังข่าวจากเขาในวันหลัง
หลังจากที่เดินออกจากจวนท่านแม่ทัพ เจียงหวายเย่ก็ได้พาหลินซีเหยียนไปที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลและไร้ซึ่งผู้คน ซึ่งภายในร้านนั้นดูเงียบเหงายิ่งนัก
ในขณะที่หลินซีเหยียนเดินเข้าไปข้างใน นางก็พบกับหญิงสาวที่ดูงดงามมากที่แผ่ความน่าหลงใหลออกมาจางๆ ผู้หญิงคนนี้ให้บรรยากาศของความสวยงามมาก ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกดีทุกครั้งที่มอง
“หรือว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกกันนะ? เจ้าถึงได้นึกถึงข้าได้เนี่ย” เจ้าของร้านก็ได้ตกใจไปชั่วขณะเมื่อนางพบเจียงหวายเย่ แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวอย่างติดตลก
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มตอบ แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนม “ท่านน้าฉาง นี่คือว่าที่พระชายาของเปิ่นหวางเอง ท่านพอจะมีชุดที่เข้ากับนางบ้างหรือไม่?”
เมื่อได้ยินที่กล่าว น้าฉางก็ได้มองดูหลินซีเหยียนอย่างพินิจพิจารณาอยู่สักพักหนึ่ง แล้วจากนั้นนางก็ได้ยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าว “มีสิ แม่หนูตามข้ามานี่ ข้าจะจัดการแปลงโฉมเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายเรียกนางแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ตกใจ ที่อีกฝ่ายนั้นสามารถมองการปลอมตัวของนางออกได้ แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะคิดหากว่านึกถึงหน้ากากของเจียงหวายเย่ก็ยังมองออกได้นั้น ก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับนางที่จะมองออก
นางจึงได้ผงกหัวแล้วเดินตามน้าฉางไปยังห้องด้านในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
น้าฉางก็ได้เลือกเสื้อผ้าสีเขียวอ่อนให้หลินซีเหยียน และเนื้อผ้าของชุดนี้ก็ดูอ่อนนุ่มและเรียบมากด้วยราวกับผิวของมนุษย์ ทำให้หลินซีเหยียนไม่อาจวางลงได้
และไม่เพียงแค่นั้น ชุดนี้ไม่เพียงแค่ดูไม่ธรรมดา และยังรับเข้ากับสะโพกของนางได้ดีอีกด้วย ซึ่งช่วยเน้นสัดส่วนของ หลินซีเหยียนได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่เปลี่ยนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หยิบปิ่นปักผมไม้ขึ้นมาแล้วผูกติดเข้ากับผมของนางอย่างง่ายๆแล้วก็ผลักประตูเปิดออกมา
“ตายจริง เจ้านี่ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุดที่ข้าเคยพบมาเลยนะ” หลินซีเหยียนก็รู้สึกอายกับคำชมอย่างตรงๆของนาง ซึ่งในขณะที่นางกำลังจะออกจากด้านในร้าน นางก็ถูกหยุดโดยน้าฉางเสียก่อนแล้วก็หยิบเอากำไลของนางมามอบให้กับมือของหลินซีเหยียน
“น้าฉาง ข้าไม่อาจรับของที่มีค่าเช่นนี้ได้หรอกเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนนั้นก็ได้ปฏิเสธฝั่งตรงข้ามอย่างแน่วแน่
แต่น้าฉางก็ยังไม่หลีกทางให้ “แม่หนู ข้ารู้ว่าเจ้านั้นคงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเสี่ยวเย่ และเสี่ยวเย่นั้นมีชีวิตที่ยากลำบากนักหลังจากที่เสียแม่ไป ในฐานะที่ข้าเป็นน้าของเขาแล้ว ข้าก็อยากที่จะให้ของบางอย่างกับเจ้า”
ในตอนนั้นเองที่หลินซีเหยียนรู้ถึงตัวตนของน้าฉาง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมรับคำพูดของน้าฉางได้ อย่างไรเสียนางกับเจียงหวายเย่นั้นยังไม่ได้ลงเอยกันเลยนะ!
ในขณะที่นางกำลังขัดขืนอยู่นั้น เสียงของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังมาจากด้านหลังของนาง “ท่านน้ามอบให้เจ้าแล้ว เจ้าก็รับเอาไว้เถอะ!”
หลังจากที่พูดจบ ก่อนที่หลินซีเหยียนจะได้ทันตั้งตัว เจียงหวายเย่ก็ได้หยิบเอากำไลมาใส่ที่แขนของหลินซีเหยียนเอง แล้วจากนั้นก็ยิ้มและกล่าวกับน้าฉาง “ขอบคุณมาก ท่านน้าฉาง พวกเรายังมีธุระอื่นต้องรีบไปทำ แล้วเปิ่นหวางจะพานางกลับมาหาท่านคราวหลัง”
“เจ้าเด็กตัวแสบ จำคำพูดของเจ้าเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน” น้าฉางก็ได้ยิ้มแล้วกล่าวดุเขา “ถ้าหากเจ้าลืมล่ะก็ ข้าจะลงโทษเจ้าแน่”
“ขอรับ”
ในขณะที่หลินซีเหยียนได้ถูกเจียงหวายเย่พากลับมาที่จวนมหาเสนาบดีอย่างงงๆนั้น เชียนอู่ก็ได้ปรากฏตัวออกมาแล้วคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของเจียงหวายเย่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้หลบเลี่ยง หลินซีเหยียนและรายงานออกมาตรงๆ “นายท่านขอรับ มหาเสนาบดีหลินนั้นสามารถจัดการกับเรื่องของการยักยอกเงินได้สำเร็จขอรับ”
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มที่เหี้ยมโหดออกมาจากมุมปากของนาง “ไม่นึกเลยว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะรวดเร็วมากขนาดนี้”
จากนั้นเหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่างออกได้ นางจึงได้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น “การแท้งลูกของฮูหยินอินไม่ใช่อุบัติเหตุ ข้าจะต้องตรวจสอบดู เผื่อจะเจออะไรที่ไม่คาดคิดก็ได้”
“คุณหนูรองเจ้าคะ นายท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนฮูหยินในเวลานี้เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทของ ฮูหยินอินก็ได้ห้ามหลินซีเหยียนแล้วกล่าว ซึ่งนางนั้นหวังว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่ทำอะไรให้นางต้องลำบากใจ
แต่น่าเสียดายที่หลินซีเหยียนนั้นไม่กลัวมหาเสนาบดีหลินแม้แต่น้อย จึงย่อมที่จะไม่สนใจฟังที่มหาเสนาบดีหลินบอก ซึ่งในขณะที่นางกำลังจะเดินเข้าไปก็ได้บอก “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบกับฮูหยินอิน แต่ข้ามีอะไรบางอย่างจะบอกกับนาง”
ซิ่งเอ๋อสาวใช้คนสนิทของฮูหยินอินก็ได้ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ แล้วจากนั้นนางก็เข้าใจว่าหลินซีเหยียนนั้นอยากจะพูดอะไรจึงได้กล่าว “ท่านอยากที่จะช่วยฮูหยินตามหาว่าใครเป็นคนทำร้ายนางสินะเจ้าคะ?”