บทที่ 224
ไต่ถามฮูหยินอินยามค่ำคืน
“นังตัวดีที่เจ้าพูดถึงคือใครมิทราบ?” หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนาง และสั่นนิ้วมือทั้งห้าของนางโดยที่ไม่รู้ตัว
ณ จุดนี้หลินเฉิงอวี้นั้นไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เขาได้เกร็งคอของเขาแล้วคำรามออกมา “นังตัวดีที่ข้าพูดถึงก็คือเจ้ายังไงล่ะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทั้งห้องนั้นต่างก็พากันเงียบกริบในทันที หลินเฉิงอวี้จึงได้รู้ตัวว่าตัวเขานั้นเสียท่าเข้าให้แล้ว เขาก็ได้จ้องไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ อย่าได้คิดว่าข้าจะกลัวเจ้านะ”
“อ้อ? จริงเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มที่ปากของนาง แล้วเดินไปหาหลินเฉิงอวี้อย่างช้าๆทีละก้าวๆ “เร็วๆนี้ข้าเพิ่งทำยาพิษตัวใหม่ขึ้นมาพอดี”
เมื่อพูดถึงพิษแล้ว หลินเฉิงอวี้ก็ได้เริ่มตัวสั่นขึ้นมา แต่ด้วยความเย่อหยิ่งไม่เข้าท่าของเขา ทำให้เขายังคงเชิดหัวสูงเอาไว้
แล้วเสียงของหลินซีเหยียนก็ได้ดังเข้ามาในหูของเขา “ไม่ต้องกลัวนะคุณชายห้า ข้าจะไม่เอาชีวิตของเจ้าหรอก”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนพากันโล่งอก พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยหลินซีเหยียนนั้นก็ยังคงเป็นห่วงเลือดเนื้อและครอบครัวของตัวเอง แต่พวกเขาไม่คิดว่าหลินซีเหยียนนั้นยังพูดต่อ “ยาตัวนี้จะทำให้ร่างกายรู้สึกยากที่จะทนรับไหวในหลายๆความหมายเท่านั้น”
หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้ถือยาขวดหนึ่งไว้ในมือของนาง
“ยาขวดนี้ไร้สีและไร้รส ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะทานยากเลย”
พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สดชื่นและผ่อนคลาย ราวกับว่าสิ่งที่นางพูดออกมานั้นไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเรื่องทั่วๆไปเท่านั้น แต่มันกลับเสียดแทงหัวใจของผู้คนทุกคำพูด
หลินเฉิงอวี้ก็ได้รีบแก้ต่างให้ตัวเองทันที และคิดหาคำแก้ต่างอย่างถี่ถ้วนมาก
“ทำไมพี่หลินซีเหยียนถึงได้พูดเช่นนั้นเล่า ข้าเองก็เป็นน้องชายของท่านเหมือนกันนะ? ท่านยังคิดที่จะทำโหดร้ายกับข้าได้ลงคออีกเหรอ?”
เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าหลินซีเหยียนนั้นหาได้กลัวใครในห้องนี้ไม่ ในเวลานี้พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่อยู่ด้วย เกรงว่าเขาจำต้องพึ่งพาความสัมพันธ์พี่น้องบางๆอย่างเดียวแล้ว
แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะพูดเช่นนั้นในเวลานี้ อย่างไรเสียเมื่อสักครู่นั้นเขาก็ตั้งใจที่จะทำร้ายคนอื่นเห็นๆอยู่แล้ว
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดโดยไม่เห็นรอยยิ้มในดวงตาของนางอีก “ข้ามีน้องชายอย่างเจ้าด้วยเหรอ?”
ด้วยคำพูดที่ดูแคลนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางกำลังเสียดสีหลินเฉิงอวี้อยู่ หลินหัวเยว่ที่ไม่อาจทนดูต่อไปได้ก็ได้ออกมายืนตรงหน้าหลินเฉิงอวี้ “หลินซีเหยียน เจ้าจะมากไปแล้วนะ”
“อย่างเจ้าน่ะยังจะมีหน้ามาห่วงเรื่องของคนอื่นอีกเหรอ? เจ้าไม่รู้หรือไงว่าตระกูลสามีที่แสนดีของเจ้าน่ะ จะมารับเจ้าไปแต่งงานเร็วๆนี้อยู่แล้วน่ะ?”
คำพูดนี้ได้กระตุ้นอารมณ์หลินหัวเยว่อย่างมาก ดวงตาของนางที่เพิ่งกลับมาแจ่มใส่ได้ก็ได้กลับมาพร่ามัวอีกครั้ง นางจับหัวของนางแน่นแล้วตะโกน “ไม่เอา ข้าไม่อยากแต่งงาน ต่อให้ตายข้าก็ไม่อยากแต่ง!”
คุณชายของตระกูลนั้นกลายเป็นคนตัดแขนเสื้อ (ชายรักชาย)ไปแล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่หลินหัวเยว่นั้นจะไม่อยากแต่งด้วย
ส่วนหลินเฉิงอวี้ที่เห็นว่าพี่สาวคนโตที่ออกมาปกป้องเขาได้เสียสติไปอีกแล้ว เขาก็ได้รู้สึกหนาวสั่นในใจขึ้นมาทันที
หลินซีเหยียนก็ได้เดินมาหาอย่างช้าๆ “ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า จนกว่าพี่ใหญ่จะทำพิธียอมรับจากบรรพชนแล้วกลับเข้าตระกูลเสร็จ ก็ขอให้เจ้าอยู่เงียบๆและให้ความร่วมมือดีๆ แล้วข้าจะยกโทษให้เจ้าก็ได้”
พิธียอมรับโดยบรรพชนและกลับเข้าสู่ตระกูลเป็นพิธีที่สำคัญมาก เป็นกฎที่สืบทอดต่อกันจากบรรพบุรุษ
ในวันนั้นทายาทคนอื่นๆจะต้องเป็นผู้นำพิธีด้วยตัวเอง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสจะเป็นผู้ที่คอยเฝ้าดู แล้วผู้เป็นพ่อก็จะทำการเขียนลำดับญาติ แล้วถึงจะเป็นอันเสร็จพิธี
แล้วก็ได้มีแสงปรากฏในดวงตาของหลินเฉิงอวี้ ถ้าเกิดว่าเขาไม่ให้ความร่วมมือในวันนั้น ในสายตาของคนอื่นๆแล้วต่อให้เขาได้เข้าไปในห้องบรรพชน หลินหนานเฟิงก็จะเป็นจุดด่างพร้อยของตระกูลไป
แต่โชคร้ายที่ธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก ต่อให้เขาฉลาดพอจะคิดแผนการร้ายได้แต่ก็ไม่อาจที่จะรอดพ้นสายตาของหลินซีเหยียนไปได้
หลินซีเหยียนก็ได้ก้มหน้าแล้วพูดด้วยเสียงเบาๆข้างๆหูของหลินเฉิงอวี้ “ถ้าหากว่าเจ้ากลับคำพูดหรือมีความคิดเป็นอื่นล่ะก็ ข้ามีหลายวิธีเลยล่ะที่จะลงโทษเจ้า”
แผ่นหลังของหลินเฉิงอวี้ก็ได้หนาวเย็นขึ้นมา แล้วลูกกระเดือกของเขาก็ได้สั่นขึ้นลงอย่างอดไม่ได้
สุดท้าย เขาก็ได้ตอบกลับไป “ก็ได้ ข้าสัญญา”
เพียงเท่านี้ ก็จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนก่อกวนในวันนั้น
เหล่าอาวุโสของตระกูลต่างก็เป็นมนุษย์ หลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อหลินซีเหยียนก็ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก
หากมีผู้หญิงเช่นนี้อยู่เบื้องหลังแล้ว หลินหนานเฟิงนั้นจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างราบรื่นแน่
หลังจากเหตุการณ์นี้ ในห้องโถงใหญ่ก็ได้เงียบสงบ ไม่มีใครที่กล้าลำเส้นและมาก่อกวนอะไรอีกเลย
ส่วนหลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆหลินหนานเฟิงนั้น ในขณะที่กำลังเล่นกับนิ้วของนางโดยไม่ได้สนใจอยู่นั้น แต่ทว่าดวงตาของนางก็ได้มองเห็นสายตาของหลินรั่วจิ่งเข้าพอดี
แต่ก่อนที่นางจะได้คิดอะไร หลินรั่วจิ่งก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหา นางมายืนอยู่ตรงหน้าหลินหนานเฟิงและกล่าวอย่างให้ความเคารพ “ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพี่ใหญ่กับพี่สามจะดีมาก แต่ท่านก็ไม่ควรที่จะชื่นชอบคนใดคนหนึ่งมากกว่าอีกคนนะ”
หลินหนานเฟิงก็ได้จ้องไปที่นางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชั่วขณะหนึ่งที่หลินรั่วจิ่งนั้นก็ไม่ได้ถอยหรือรุกไปข้างหน้า ได้แต่ยึกยักอยู่เช่นนั้น
แล้วในช่วงเวลานั้นเองหลินซีเหยียนก็ได้พูดขึ้นมาแล้ว แล้วให้เหตุผลกับนางอย่างใจดี “พี่ใหญ่นั้นเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด แต่พวกเราต่างก็เป็นทายาทตระกูลหลิน ดังนั้นพี่ใหญ่ย่อมปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันอยู่แล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี”
กว่าจะตกลงกันได้ ตะวันก็ลับขอบฟ้าแล้ว ส่วนเรื่องของเรือนของหลินหนานเฟิงนั้น เพราะว่าเรือนในจวนมหาเสนาบดีที่เหลืออยู่คือเรือนที่ชำรุดใกล้กับเรือนเชียนเหยียนเท่านั้น
แต่ทว่าหลังจากที่ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็จะลงตัว
ซึ่งหลินหนานเฟิงก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ในใจของเขานั้นเขาคิดแค่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้คอยดูแลน้องสาวของเขาด้วย
เมื่อเรื่องนี้ได้เข้าหูของจงซู่เฟิงก็ได้พบว่ามันสายไปเสียแล้ว หากเขารู้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในวันนี้ เขาก็คงจะหนักแน่นไม่ขอที่จะย้ายเรือน
แล้วทีนี้เขาก็จะได้อยู่ห่างจากแม่นางหลินไปตลอด เพราะแม้แต่การรักษาก็ยังหมอคนใหม่มารักษาเขา
หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตากันแน่นะ?
หลินหนานเฟิงกับป้าเฉินก็ได้มากินอาหารร่วมกันในเรือนเชียนเหยียน ต่อมาหลินซีเหยียนกับหลินหนานเฟิงก็ได้พูดถึงตัวตนของผู้คนในจวนมหาเสนาบดี
หลังจากที่หลินหนานเฟิงจากไป หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ท้องฟ้านอกหน้าต่างแล้วดวงตาของนางก็ได้มืดมนขึ้นมา
“ชิงอวี่” แล้วชิงอวี่ก็ได้มาปรากฏตัวตรงหน้าของ หลินซีเหยียน นางได้คุกเข่าลงกับพื้นด้วยท่าทีที่เคารพอย่างมาก “คุณหนูมีอะไรให้ข้ารับใช้เจ้าคะ?”
“เจ้าไปทักทายฮูหยินอินกับข้าหน่อย”
แล้วเจ้านายกับข้ารับใช้สองคน ก็ได้อาศัยความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ไปยังเตียงของฮูหยินอินโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
ชิงอวี่ที่เห็นสายตาของหลินซีเหยียน ก็ได้ทำการสะกิด ฮูหยินอินด้วยด้ามมีดของนาง “ตื่น”
“ใครน่ะ!” เมื่อถูกรบกวนโดยคนอื่นเช่นนี้ ฮูหยินอินก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่หมดความอดทนและโมโห จนกระทั่งนางลืมตาที่งัวเงียของนางขึ้นมาแล้วมองเห็นทุกสิ่งรอบๆตัวนาง
นางจึงได้กรีดร้องขึ้นมาทันที “ช่วยด้วย มีนักฆ่าโผล่มา!”
แล้วเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูคนก็ได้ดังขึ้นมา หลินซีเหยียนก็ได้อุดหูของนางแล้วกล่าวอย่างหมดความอดทน “ฮูหยินอินเจ้าจำข้าไม่ได้แล้วรึไง?”
“คุณหนูสอ…สามเองเหรอ?” ฮูหยินอินก็ได้รีบลุกขึ้นมานั่ง แล้วใบหน้าของนางก็ได้ซีดเผือดขึ้นมา
ปากของหลินซีเหยียนก็ได้ขยับเล็กน้อยแล้วกล่าว “ฮูหยินอินน่าจะรู้ใช่ไหมว่าข้ามาที่นี่วันนี้ทำไม?”
ฮูหยินอินก็ได้รีบก้มขอขมาหลินซีเหยียนบนเตียงเมื่อนางได้ยินที่ถาม “คุณหนูสาม ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
นางพูดร้องขอชีวิตด้วยเสียงอันดัง แต่หลินซีเหยียนก็รู้ถึงความตั้งใจของนาง จึงได้พูดออกมาอย่างไม่ปรานี “ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้หรอก ข้าแนะนำให้เจ้าทำตัวดีๆจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น….”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ก็ได้มีกระบี่ยาวๆเย็นๆวางอยู่บนคอของฮูหยินอิน