พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1625 เบาะแสไม่แน่นอน

บทที่ 1625 เบาะแสไม่แน่นอน

คิดเป็นจริงเป็นจังไปแล้ว! เหมียวอี้โบกมือ “ในเมื่อยุ่งยากก็ช่างเถอะ ไม่กล้ารบกวนฆราวาสจริงๆ ให้เมี่ยวฉุนไปเป็นเพื่อนพวกเราสักหน่อยก็ได้…” เป็นเพราะฆราวาสผู่หลันมีฐานะโดดเด่นเกินไปจริงๆ เวลาทั้งสองเดินด้วยกันแล้วดึงดูสายตาคนเกินไป เรื่องที่เขาจะทำนั้นไม่อยากให้สะดุดตาคนมากนัก

ตอนแรกไม่รู้ว่าทำไมผู่หลันจึงจับตาดูตน จึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ แต่ตอนนี้ในเมื่อผู่หลันบอกว่าทั้งสองมีไมตรีต่อกัน เขาจึงไม่ถือสาที่จะปฏิเสธ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวผู่หลัน เพียงแต่เขาไม่ใช่หนิวโหย่วเต่อที่ผู่หลันเคยรู้จักในปีนั้นอีกแล้ว หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนในอดีต เรื่องไหนที่ป้องกันได้ก็จะพยายามป้องกันเต็มที่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อทุกอย่างที่ผู่หลันบอก และไม่เลือดร้อนไปเป็นเพื่อนตายกับเยี่ยนเป่ยหงเหมือนในเมื่อก่อนด้วย

แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องบางเรื่องสุดท้ายก็มีได้มีเสีย เขาไม่เชื่อใจคนอื่นง่ายๆ คนอื่นก็ไม่เชื่อใจเขาง่ายๆ เช่นกัน ไม่มีใครเป็นคนโง่ทั้งนั้น ทุกคนล้วนได้เสียในผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน จะให้มีสหายที่มิตรภาพเหนือชีวิตอย่างเยี่ยนเป่ยหงก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย!

เอาเป็นว่าเมื่อเขาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้ฆราวาสผู่หลันจะมีเจตนาดี แต่ก็ทำได้เพียงล้มเลิกความคิด หลังจากแลกระฆังดาราสำหรับติดต่อกับเหมียวอี้แล้ว ก็บอกอีกว่า “เรื่องเขาหลิงซาน อาตมาจะพยายามเตรียมการให้เต็มที่ หวังว่าจะไม่ทำให้แม่ทัพภาคหนิวผิดหวัง”

เป้าหมายในการมาที่นี่ของเหมียวอี้ไม่ใช่เขาหลิงซาน แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว จะไปเปิดหูเปิดตาที่เขาหลิงซานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เฝ้ารอให้เรื่องดำเนินจนสำเร็จ ย่อมกุมหมัดคารวะกล่าวขอบคุณอยู่แล้ว

หลังจากฆราวาสผู่หลันออกไปได้ไม่นาน เมี่ยวฉุนก็ปรากฏตัวอีกแล้ว ให้นางรับหน้าที่เรื่องการเดินทางต่อ

เมื่อเห็นนางอีกครั้ง เหยียนซิวก็ถามด้วยเสียงเยียบเย็นว่า “พระอาจารย์ใหญ่นี่เชิญตัวมายากจริงๆ นะ”

เมี่ยวฉุนไม่ค่อยคุ้นชินกับใบหน้าของเหยียนซิว เป็นเพราะน่ากลัวจริงๆ พยายามเลี่ยงสายตาไม่ให้มองไปทางเหยียนซิว นางตอบอย่างเก้อเขินเล็กน้อยว่า “ฆราวาสถามถึงสถานการณ์ของท่านแม่ทัพภาค คงไม่ดีหากอาตมาจะไม่ตอบ นึกไม่ถึงว่าฆราวาสก็จะออกไปท่องเที่ยวเหมือนกัน ตั้งใจจะทำหน้าที่แทนอาตมา อาตมาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง”

“นายท่านของข้ารอเจ้าท่านนานมาก ใช้ระฆังดาราติดต่อไปหลายครั้ง จะตอบสักคำยากนักรึไง?” เหยียนซิวหัวเราะหึหึ เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ตอบกลับเลย ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดในใจ

“พอแล้ว!” เหมียวอี้หันกลับมาตำหนิเขา บอกใบ้ไม่ให้เขาพูดล่วงเกินคนอื่นโดยไม่มีประโยชน์ ในจุดนี้หยางชิ่งฉลาดกว่าเหยียนซิว

เหยียนซิวโค้งตัวเล็กน้อย หุบปากแล้ว

ในศาลาเล็กริมหน้าผา พระอรหันต์ตัวลี่ไม่ได้รีบออกไป กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับพระอรหันต์หวยอวี้ ศิษย์ของพระโพธิสัตว์หลันเย่ หวยอวี้เป็นพระอรหันต์หญิงศีรษะล้าน นับว่ารู้จักและคุ้นเคยกับพระอรหันต์ตัวลี่

“ถ้าข้าจำไม่ผิด นั่นคือลูกศิษย์ของเจ้าใช่มั้ย”

ขณะมองตามเมี่ยวฉุนเหาะไปยังขอบฟ้าพร้อมกับพวกเหมียวอี้ พระอรหันต์ตัวลี่ที่วางถ้วยน้ำชาลงก็เอ่ยถามเสียงเรียบ

พระอรหันต์หวยอวี้พยักหน้า “เมี่ยวฉุนศิษย์คนเล็กของข้าเอง มีปัญหาอะไรเหรอ?”

“ทำไมไปเกลือกกลั้วอยู่กับหนิวโหย่วเต๋อลูกเขยโค่วหลิงซวีนั่นได้?” ตัวลี่ส่ายหน้า

“ผู้ที่ม้าล้วนเป็นแขก ก็ต้องมีคนคอยดูแลต้อนรับสิ” หวยอวี้กล่าว

“นี่กำลังจะส่งแขกกลับกันแล้วใช่มั้ย?” ตัวลี่ถาม

หวยอวี้ตอบว่า “หนิวโหย่วเต๋อนั่นมาที่แดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อย ศิษย์คนเล็กก็เลยไปเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง”

“อ้อ!” ตัวลี่ถามอีกว่า “มีอารมณ์สุนทรีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนนะ”

หวยอวี้ยกแขนเสื้อรินน้ำชา “ศิษย์น้อยก็ไม่รู้เหมือนกัน เขามาเป็นครั้งแรก ควรจะไปที่ไหนก็คงจะไปที่นั่นกระมัง”

“ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้อยู่ไม่สุข ชอบก่อเรื่อง เจ้าต้องระวังตัวไว้นะ” ตัวลี่กล่าว

หวยอวี้จึงบอกว่า “ถึงยังไงที่นี่ก็ไม่ใช่ตำหนักสวรรค์ คงจะไม่ถึงขั้นนั้น ระหว่างทางถ้าเจอเหตุการณ์อะไร ศิษย์น้อยก็จะรายงานมาทุกเมื่อ”

ตัวลี่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ยกถ้วยน้ำชาคาระไกลๆ แล้วสองฝ่ายที่นั่งตรงข้ามกันก็ดื่มลิ้มรสอย่างช้าๆ

เพียงแต่วันต่อมาตอนที่ทั้งสองสนทนาธรรมกันอีกครั้ง พอตัวลี่เอ่ยปากก็อดไม่ได้ที่จะถามมากขึ้นหน่อย “หนิวโหย่วเต๋อนั่นไม่ได้ก่อเรื่องใช่มั้ย?”

เดินทางในดาราจักรอันกว้างใหญ่เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน เมี่ยวฉุนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้อยากจะเห็นอะไรกันแน่ สรุปก็คือเหมียวอี้หยิบแผนที่ดาวขึ้นมาชี้นิดหน่อย แล้วทุกคนก็ไปตามนั้น หลังจากไปถึงที่หมายแล้ว ก็เดินดูนิดหน่อยเหมือนเหมือนขี่ม้าชมสวน เสร็จแล้วก็เปลี่ยนสถานที่ทันที เหมือนกำลังเที่ยวเล่นทัศนาจรจริงๆ

แต่ในความเป็นจริง เป้าหมายในการมาที่นี่ของเหมียวอี้ก็ไม่ซับซ้อนเลย เขาพุ่งเป้ามาที่หกเคล็ดวิชาพิเศษภาคฟ้า สาเหตุที่หลับหูหลับตาเดินไปทั่วก็ง่ายมากเช่นกัน เพราะเขาไม่สะดวกจะไปยังเป้าหมายโดยตรง กลัวว่าจะถูกสงสัย วิธีการที่ดีที่สุดก็คือเดินผ่านเป้าหมายนิดหน่อยก็พอ แล้วถือโอกาสเก็บของเอาไว้ วิธีการที่ผีไม่เห็นเทพไม่รู้แบบนี้เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดแล้ว ดังนั้นการทัศนาจรของเขาจึงต้องทำให้เหมือนการทัศนาจร

พอม่านราตรีใกล้จะมาเยือน ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น นักบวชห้าคนก็เหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชรุ้ง แต่ละคนปิดบังเอาไว้

อวิ่นจ้าว นักบวชที่เป็นหัวหน้ากลุ่มมองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “ครั้งนี้ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน ดูรอบๆ สักหน่อย หาสถานที่เหมาะๆ พักก่อนเถอะ”

นักบวชสามคนเหาะแยกกันไปค้นห้าสามทิศทาง คนที่ยังยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยไม่ขยับไปไหนก็คือศิษย์น้องอวิ่นหมิง

อวิ่นหมิงก้าวขึ้นมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง มายืนอยู่ข้างกัน แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “หนีไปอีกแล้วเหรอ! เขามีเบาะแสไม่แน่นอน ไม่ทราบแน่ชัดว่าจะไปที่ไหนกันแน่ พอพวกเราไปถึง พวกเขาก็ไปแล้ว ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกเขาพักที่ไหนด้วยซ้ำ รอจนได้ข่าวแล้วพวกเราไปอีกรอบ คนก็ไปแล้ว ศิษย์พี่ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร?”

อวิ่นจ้าวก็จนใจเช่นกัน ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทัศนาจรทัศนาจร เจ้าหนุ่มนั่นไปทัศนาจรจริงๆ ตอนนี้ทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่หยุดพักเลย ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างสิ”

อวิ่นหมิงกล่าวอย่างปวดประสาทว่า “ศิษย์พี่ ท่านก็พูดอย่างนี้มาตลอดทางแล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเมื่อไรจะได้พัก ถ้าเขาเบื่อแล้วเลี้ยวหนีไป แล้วออกจากแดนสุขาวดีไปเลยจะทำยังไง?”

อวิ่นจ้าวเอียงหน้ามองมา แล้วกล่าวอย่างมีนัยยะแฝง “ถ้าเขาหนีไปจริงๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้”

“งั้นพวกเราจะรายงานผลภารกิจกับท่านอาจารย์ยังไง?” อวิ่นหมิงอึ้งไป

“ท่านอาจารย์รู้สถานการณ์ ไม่โทษพวกเราหรอก” อวิ่นจ้าวตอบ

อวิ่นหมิงขมวดคิ้ว “ศิษย์พี่ ข้าเข้าใจความหมายของท่านนะ การลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีอ๋องสวรรค์โค่วหนุนหลัง ถ้าทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา อ๋องสวรรค์โค่วเดือดดาล ก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย! แต่ท่านอาจารย์ก็บอกไว้ชัดเจนแล้ว ว่าที่ให้พวกเราลงมือก็เพราะโดนกดดันมาเหมือนกัน เรื่องนี้ท่านอาจารย์ไม่เชื่อใจคนนอก ตระกูลอิ๋งบีบจุดอ่อนของเขาอยู่ ถ้าอาจารย์ไม่รายงานผลการปฏิบัติงาน แล้วทางตระกูลอิ๋งเปิดโปงจุดอ่อนของท่านอาจารย์ขึ้นมา ทางเขาหลิงซานไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่”

อวิ่นจ้าวกล่าวว่า “ถ้าทำเรื่องนี้จริงๆ แบบนั้นต่างหากที่จะทำให้จุดอ่อนตกอยู่ในมือตระกูลอิ๋ง ตามที่ข้าคิดนะ ควรจะรีบกำจัดของที่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ให้เร็วที่สุด ถ้าไม่มีอะไรเชื่อมโยง ไม่มีหลักฐานแล้ว แค่คำกล่าวหาปากเปล่าของตระกูลอิ๋งก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก”

“โถ่ศิษย์พี่!” อวิ่นหมิงประนมมือไหว้ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านก็พูดเหมือนง่าย ท่านอาจารย์มีลูกศิษย์มากขนาดนั้น ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตนแล้ว จะยังรักษาไว้ยังไงได้ล่ะ? แล้วอีกอย่างนะ ในเมื่อตระกูลอิ๋งกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่ เรื่องร้านค้าที่ตลาดสวรรค์น่ะ คิดว่าอยากจะตัดก็ตัดได้เลยเหรอ? เกรงว่าในมืออีกฝ่ายจะกุมหลักฐานเอาไว้เพียงพอตั้งนานแล้วน่ะสิ แล้วสาเหตุรองลงมา ถ้าช่วยตระกูลอิ๋งทำเรื่องนี้จริงๆ พวกเราก็ถือว่าจะได้หลุดพ้นจริงๆ แล้ว ต่อไปนี้ตระกูลอิ๋งไม่กล้าขู่พวกเราอีกหรอก เพราะถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะเป็นทางตระกูลโค่ว ทางตำหนักสวรรค์หรือทางเขาหลิงซาน ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางแก้ไขได้เลย ในทางกลับกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเรื่องสกปรกโสมมอะไรทำร่วมกับพวกเรา ตระกูลอิ๋งก็สามารถเปิดโปงเรื่องที่ตลาดสวรรค์โดยไม่กังวลอะไรเลย ท่านอาจารย์คิดได้ถึงจุดนี้ถึงได้ตอบตกลงไป เพราะท่านอาจารย์ไม่ได้โง่หรอก มีหรือที่จะยอมให้คนจูงจมูกไปตลอด”

อวิ่นจ้าวขบคิดถึงคำพูดของศิษย์น้องเงียบๆ แล้วสุดท้ายก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ที่ศิษย์น้องพูดก็มีเหตุผล สงสัยเรื่องนี้จะต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวไม่ได้ แต่ข่าวจากฝั่งอาจารย์ก็ยืนยันอะไรไม่ได้เลย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ยุ่งยากจริงๆ พวกเราสะกดรอยตามแบบนี้ ไม่สะดวกจะทำอย่างเปิดเผย แม้แต่จะเหาะเหยียบพื้นก็ยังต้องหลบคน”

อวิ่นหมิงยิ้มเจื่อน “ท่านอาจารย์บอกว่าไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เขาไม่สะดวกจะเปิดเผยกับพระอรหันต์หวยอวี้ตรงๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนสงสัย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา จะไม่ให้สงสัยไปที่ตัวอาจารย์ก็แปลกแล้ว ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องใจร้อนหรอก เป็นข้าเองที่ไม่หนักแน่น เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า จะรีบร้อนไม่ได้ แค่ไม่ลงมือเท่านั้นเอง ถ้าลงมือขึ้นมาก็ต้องจัดการให้ได้ภายในครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นถ้าถูกเปิดโปงตัวตนขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว คำพูดของศิษย์พี่ก็มีเหตุผล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหนีต่อไปไม่หยุด ต้องมีเวลาหยุดพักบ้างอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะเป็นโอกาสของพวกเรา”

อวิ่นจ้าวพยักหน้า แต่สีหน้าก็ยังมีความกังวลอยู่ “หนิวโหย่วเต๋อเป็นทหารกล้าของตำหนักสวรรค์ คนที่ตายด้วยน้ำมือเขามีตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ ตอนอยู่ระดับบงกชทองก็บุกเดี่ยวตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ตอนทิ้งไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็รอดออกมาได้ ตอนหลังก็บัญชาการกำลังพลธงพยัคฆ์ครึ่งหนึ่งไปโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแตกพ่าย ได้ยินว่าในศึกนั้นไม่มีนักพรตบงกชรุ้งคนไหนกล้าปะทะกับเขาซึ่งๆ หน้าเลย ชื่อเสียงการรบสะท้านใต้หล้า ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กลายเป็นลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วหรอก หนิวโหย่วเต๋อรบร้อยศึกแต่ยังรอด หลายปีมานี้ไม่เคยแพ้เลยสักศึก เรียกได้ว่าเป็นทหารกล้าที่เหยียบศพคนอื่นเดินออกมา ชื่อเสียงของเขาไม่ใช่สิ่งจอมปลอม ข้ากังวลนิดหน่อยว่าศิษย์พี่ทั้งสี่จะเอาชนะเขาได้หรือเปล่า”

อวิ่นหมิงพูดปลอบใจ “ศิษย์พี่คิดมากไปแล้ว พวกที่โดนตีฝ่าในแดนอเวจีเป็นแค่ลูกกระจ๊อกเท่านั้น ส่วนที่นำกำลังพลธงพยัคฆ์ไปโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้าน ข้ายอมรับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่นั่นเป็นเพราะเขาบัญชาการได้เหมาะสม ทั้งยังอาศัยอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นก็ลองให้เขาลุยเดี่ยวดูสิ แล้วอีกอย่างนะ ใช่ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ อาศัยของวิเศษที่ให้มา การกำจัดเขาก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ครั้งนี้พวกเราห้าคนเหนือกว่าเขาแน่นอน!”

อวิ่นจ้าวพยักหน้า ทอดสายตามองพระอาทิตย์ยามเย็นสีเลือด แล้วบอกว่า “พอหนิวโหย่วเต๋อตาย แล้วโค่วหลิงซวีต้องการคำอธิบาย เกรงว่าที่แดนสุขาวดีคงจะวุ่นวายอยู่สักพัก”

หลังจากนั้นสองวัน ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งห้าที่แอบอยู่ในถ้ำกลางแนวภูเขาก็ทยอยกันลืมตาท่ามกลางความมืดมิด ศิษย์น้องทั้งสี่มองไปยังอวิ่นจ้าวที่ไม่รู้ว่ากำลังใช้ระฆังดาราติดต่อไปที่ไหน

รอไปสักประเดี๋ยว อวิ่นจ้าวที่เก็บระฆังดาราแล้วก็ลุกขึ้นยืน อีกสี่คนที่แน่ใจแล้วลุกขึ้นยืนตาม อวิ่นหมิงถามว่า “ศิษย์พี่ ครั้งนี้จะไปไหนอีก?”

อวิ่นจ้าวเดินไปนอกถ้ำ พร้อมบอกว่า “ดาวฮุ่ยหลิน”

หลังจากพวกเขารีบออกจากถ้ำมาแล้ว อวิ่นหมิงก็หันกลับมาข้างหลัง พบว่าคนหายไปหนึ่งคน จึงตะโกนถามว่า “อวิ่นกวง มัวชักช้าอะไร? ถ้ารีบไปอาจจะเจอพวกเขาเดินอ้อยอิ่งอยู่วันสองวันก็ได้”

คนที่เหลือหันมองตาม เห็นเพียงอวิ่นกวงเดินเนิบนาบออกมา แล้วกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “เกรงว่าเขาจะเดินเล่นประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไปอีกน่ะสิ ถ้าตามไปก็อาจจะตามไม่ทันแล้วก็ได้ ข้ามีวิธีรั้งเขาไว้ให้อยู่รอพวกเรา”

“อ้อ!” อวิ่นหมิงหันตัวมา “มีวิธีการอะไรก็รีบบอกมา?”

อวิ่นกวงเดินไปตรงหน้าพวกเขา แล้วกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้ามีคนรู้จักอยู่ที่ฮุ่ยหลิน ถ้าให้เขาช่วย เขาก็น่าจะคิดหาทางรั้งหนิวโหย่วเต๋อไว้รอพวกเรา เพียงแต่เรื่องนี้ไม่สะดวกจะให้คนอื่นรู้…”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท