ตุ้บ!
หวังหลิงคุกเข่าลงบนพื้น เขาเอ่ยตะกุกตะกักด้วยความประหม่าว่า ”กระ กระหม่อมคารวะองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ!”
แม่เฒ่าหวังและเหยียนหลิ่วเอ๋อร์อ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อทันทีที่ได้ยินคำพูดของหวังหลิง
คน คนคนนี้คือองค์ชายสามองค์ปัจจุบันหรือ
แม่เฒ่าหวังไม่ได้คุกเข่าลงทันที แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่านางตกใจเพียงใด
แต่หลังจากที่หวังหลิงคุกเข่าลง เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็รีบคุกเข่าคำนับตามเขาอย่างรวดเร็ว มือของนางเริ่มมีอาการสั่นเล็กน้อย
สีหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เปลี่ยนไปมากนัก ใบหน้าด้านข้างอันสง่างามของเขายังคงสมบูรณ์แบบราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง มันทั้งเย็นและขาวซีด
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น พร้อมกันนั้นดวงตาของนางก็ตวัดไปมองยังหวังหลิงที่ตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ”ยังมีใครสงสัยในตัวตนของพวกข้าอยู่หรือไม่”
หวังหลิงส่ายหน้าอย่างรุนแรง เขาปิดปากเงียบเหมือนคนที่ตกใจเสียจนไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้
“ในเมื่อไม่มีใครสงสัยอีก เช่นนั้นก็ถอดชุดออกได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหวังหลิงกับเหยียนหลิ่วเอ๋อร์
ทั้งสองคนนิ่งไปครู่หนึ่ง หวังหลิงเป็นคนแรกที่ขยับตัว ตามมาด้วยเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ พวกเขาไม่มีท่าทีขัดขืนแต่ประการใด ตรงกันข้าม พวกเขากลับให้ความร่วมมือในการถอดชุดเป็นอย่างดี
แม้เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่พูดอะไร แต่ดวงตาของนางก็ดำทะมึนขึ้นเรื่อยๆ ขณะยกตะเกียงน้ำมันขึ้นจากโต๊ะไม้ หลังจากมองดูพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง นางก็โยนตะเกียงใส่ชุดแต่งงานทั้งสองชุดอย่างรวดเร็วโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครเก็บมันกลับไปได้
หวังหลิงกับเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ไกลออกไปนั้น พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
ทั้งสองตัวสั่นทันทีที่ได้ยินเสียงปะทุของเปลวไฟซึ่งอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งช่วงแขนนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยกดสายตามองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ”ตอนนี้ในเมื่อชุดแต่งงานถูกเผาไปแล้ว ต่อให้อยากกลับ เจ้าก็ไม่สามารถกลับไปได้ ข้ามีทางเลือกให้เจ้าสองทาง หนึ่ง ปรากฏตัวออกมาด้วยตัวเอง ข้าจะช่วยปลดปล่อยวิญญาณเจ้าให้หลุดพ้นจากความทรมานนี้ สองคือให้ข้าเป็นคนลากเจ้าออกมา แล้วทำลายวิญญาณของเจ้าซะ!”
ทั้งสองคนไม่ตอบสนอง
แต่วิญญาณร้ายที่ซ่อนตัวอยู่กลับหัวเราะเยาะว่า ทำลายหรือ ช่างอวดดีเสียไม่มี! นางคิดว่าข้าอยู่ในระดับเดียวกับวิญญาณร้ายธรรมดาๆ พวกนั้นหรือ
มันได้เห็นพลังของชายคนนี้มาก่อนแล้ว และมันก็น่าทึ่งจริงๆ
จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันก็ยังระบุตัวตนของชายคนนั้นไม่ได้
แต่สำหรับมัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่ต้นตอของมันยังไม่ได้ถูกทำลายลง มันก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้แม้จะมีปราณแห่งความเคียดแค้นอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
ผู้หญิงคนนี้เองก็ฉลาดใช่เล่นที่เลือกเผาชุดแต่งงานพวกนั้น
แต่นางคิดว่ามันอ่านทางนางไม่ออกหรือ นางไม่รู้ว่ามันซ่อนอยู่ในร่างของใคร ดังนั้นนางก็เลยขู่ออกมาเช่นนั้น
มนุษย์หนอมนุษย์
ดีแต่คิดว่าตัวเองถูก!
เหลือเวลาอยู่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ซึ่งหมายความว่าตราบใดที่มันสามารถซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน ทุกอย่างย่อมจบลงด้วยดี
วิญญาณทั้งหมดจะมารวมตัวกันที่นี่ในอีกครึ่งชั่วยาม
เมื่อถึงเวลานั้น ปราณแห่งความเคียดแค้นจากมันก็จะแพร่กระจายไปยังวิญญาณดวงอื่นๆ
ไม่ใช่แค่พวกมันจะสามารถสิงร่างมนุษย์ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถแพร่ปราณแห่งความเคียดแค้นนี้ไปยังยมโลกได้อีกด้วย
อีกทั้งวันนี้ก็ยังเป็นวันแห่งผู้ล่วงลับ ดังนั้นในบรรดาวิญญาณที่มารวมตัวกันในครั้งนี้จึงมีวิญญาณของคนที่เพิ่งตายรวมอยู่ด้วย!
วิญญาณคนตายเหล่านี้สามารถเดินทางไปยมโลกได้ง่ายกว่าวิญญาณที่ตายมานานแล้ว
เพราะพวกเขามีชื่ออยู่ในบัญชีนรก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอัญเชิญยมทูตออกมาจัดการ
ยมทูตจะพาพวกเขาเข้าสู่ยมโลกโดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องบุกเข้าไปด้วยซ้ำ
ตราบใดที่หนึ่งในพวกเขาสามารถเข้าไปได้ หนึ่งย่อมกลายเป็นสิบ จากสิบย่อมกลายเป็นร้อย การติดเชื้อนี้จะแพร่กระจายไปยังวิญญาณทุกดวงที่อยู่ในยมโลก
หากถึงเวลาที่พวกเขามาเกิดเป็นทารกบนโลกมนุษย์ เมื่อนั้นทารกที่อยู่ในครรภ์ทั่วทั้งเมืองหลวงจะกลายเป็นวิญญาณร้าย
เมื่อถึงเวลานั้น ผนึกก็จะถูกทำลาย วิญญาณร้ายและภูตผีที่ถูกกักขังไว้ในยมโลกจะปรากฏกายขึ้นบนโลก
ส่วนมนุษย์น่ะหรือ พวกเขาก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมัน
วิญญาณร้ายหัวเราะอยู่ในใจ มันลอบมองไปทางแม่เฒ่าหวังจากเงามืด หญิงชราผู้นี้ไม่มีประโยชน์สำหรับมันอีกต่อไป
ตอนแรกมันคิดว่านางแตกต่างจากคนอื่น อย่างน้อยนางก็เป็นคนโหดเหี้ยม แต่มันคาดไม่ถึงเลยว่านางจะถูกเกลี้ยกล่อมเอาได้
เป็นอย่างที่มันคิด แม้จะกลายเป็นซากศพที่ตายไปแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังอ่อนแออยู่วันยังค่ำ
การร่วมมือกับพวกเขาช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
แม้ว่ามันจะถูกนางสร้างขึ้นมา แต่ซากศพชั้นต่ำเช่นนางไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้านายของมัน!
ฆ่านางซะ!
ปราณแห่งความเคียดแค้นพวยพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ใบหน้าของวิญญาณร้ายเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แวบหนึ่งเป็นใบหน้าของจางหลิงเอ๋อร์ ต่อมาจึงกลายเป็นหวังว่านซี พวกนางล้วนแต่เป็นคนที่ถูกแม่เฒ่าหวังฆ่า เวลานี้ทุกใบหน้าต่างเต็มไปด้วยสีหน้าเกลียดชังที่ไม่เคยมีมาก่อน
หากไม่ใช่เพราะสองแม่ลูกตระกูลหวัง พวกนางคงไม่ต้องตาย
ดังนั้นพวกนางจะไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนรอดไปได้เด็ดขาด!
“ทำไมต้องเสียเวลาพูดให้มากความด้วย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินออกมา รองเท้าหุ้มข้อสีดำเงาของเขาส่งเสียงดังทุกครั้งที่มันกระทบกับพื้น เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างามพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้ม ทุกการขยับตัวนั้นเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันชั่วร้าย แต่ดวงตาของเขากลับเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”อย่างไรหนึ่งในนั้นก็ต้องเป็นมันอยู่ดี ฆ่าทิ้งทั้งสองคนซะก็สิ้นเรื่อง”
ใบหน้าของแม่เฒ่าหวังซีดเผือดทันทีที่นางได้ยินคำพูดของเขา นางรีบตรงเข้าไปหาบุตรชาย แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกับคำนับศีรษะหลายต่อหลายครั้งจนหน้าผากของนางเปื้อนไปด้วยเลือด ”องค์ชาย หม่อมฉันขอร้อง โปรดอย่าฆ่าบุตรชายของหม่อมฉันเลย ท่านสัญญาไว้ว่าจะไม่แตะต้องบุตรชายของหม่อมฉันมิใช่หรือ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนางอย่างไม่แยแส ”คนที่สัญญากับเจ้าไม่ใช่ข้า”
แม่เฒ่าหวังนึกไม่ถึงว่านางจะได้รับคำตอบเช่นนี้กลับมา นางหมอบลงกับพื้นด้วยความเคารพ ”อาหลิงไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เขา…”
“เขาอาจจะถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่ ถ้าเขาไม่ตาย คนอีกมากก็จะตาย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตัดบทนางอย่างเยือกเย็น บนใบหน้าของเขาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ ”เจ้าเย็บชุดแต่งงานขึ้นเพื่อให้ลูกชายได้แต่งงาน ตอนนี้ลูกชายของเจ้าก็ได้แต่งชุดนั้นแล้ว เขาจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อเรื่องนี้ด้วย มันก็ยุติธรรมดีมิใช่หรือ”
แม่เฒ่าหวังยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วเริ่มร้องไห้ออกมา เวลานี้นางรู้สึกเสียใจอย่างมาก นางไม่เคยคิดเลยว่าชุดแต่งงานจะนำอันตรายมาสู่บุตรชายได้!
นี่เป็นผลกรรมที่สวรรค์ส่งมาหรือ
แม่เฒ่าหวังส่ายหน้า แล้วหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยน้ำตาอาบหน้า ”หม่อมฉันขอร้องเพคะ ได้โปรดไว้ชีวิตบุตรชายหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ! จะให้หม่อมฉันทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น! หม่อมฉันขอร้องเพคะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเงียบ
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์หวาดกลัว นางรีบถอยห่างจากหวังหลิง
หวังหลิงกำมือแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า ”ท่านแม่ อย่าทำเช่นนี้เลย…”
“อาหลิง อาหลิงผู้น่าสงสาร…”
เมฆดำบนท้องฟ้าเริ่มก่อตัวหนาทึบขึ้นหลังจากเสียงร้องไห้อันสิ้นหวังของแม่เฒ่าหวัง เสียงฟ้าร้องดังก้องพร้อมกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
ทหารที่อยู่ข้างนอกสะดุ้งตกใจ พวกเขามองหน้ากันอย่างกระวนกระวาย จากนั้นจึงรู้สึกได้ถึงน้ำฝนที่ตกลงมาบนใบหน้า ความหวาดกลัวอันยากจะอธิบายปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขา
ไม่ใช่แค่บรรดาทหารเหล่านั้น แต่แม้กระทั่งชาวบ้านที่อยู่บนถนนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็รู้สึกตกใจ พวกเขาปิดประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนาพร้อมกับอุ้มหลานไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้มือปิดตาเด็กๆ เหล่านั้นเอาไว้ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะเห็นสิ่งชั่วร้ายเข้า
อย่างไรผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านี้ก็อยู่มานานกว่าคนหนุ่มสาว ดังนั้นพวกเขาย่อมรู้สิ่งต่างๆ มากกว่า
ใครๆ ต่างก็พูดกันว่าฤดูฝนเป็นฤดูที่ลำบากที่สุด ใช่ว่ามันจะไม่มีมูลไปเสียทีเดียว
อีกอย่างหนึ่งตอนนี้ก็เป็นฤดูหนาว มันไม่ควรจะมีฝนตกตั้งแต่แรกแล้ว…