ก่อนหน้านี้เขาสงสัยนิดหน่อยว่าจุดซ่อนสมบัติและสำนักหนานอู๋มีความเกี่ยวข้องกัน อย่างไรเสียห้องใต้ดินก็มีลักษณะความเป็นพุทธชัดเจนเกินไป กอปรกับเครื่องหมาย ‘สวัสดิกะ’ ใครจะคิดว่าจะเกี่ยวโยงกันชัดเจนขนาดนี้ วนอ้อมไปตั้งไกลหนึ่งรอบ ไม่น่าเชื่อว่าจุดซ่อนสมบัติจะโดนฝังลึกอยู่ใต้ซากของสำนักหนานอู๋นี่เอง
ตอนนี้เหมียวอี้แทบจะแน่ใจแล้วห้องใต้ดินนั้นคือมรดกของสำนักหนานอู๋
จากสิ่งนี้ เขาก็สามารถแน่ใจได้เช่นกันว่าผู้ซ่อนสมบัติกับสำนักหนานอู๋ต้องมีอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้นทำไมไม่ให้นำสมบัติก้อนใหญ่ที่หยิบฉวยง่ายขนาดนี้ไปล่ะ สำนักหนานอู๋ถูกทำลายไปหลายปีขนาดนี้แล้ว จะมีเจ้าของเสียที่ไหนกัน แต่กลับต้องรอให้เจ้าของอนุญาตถึงจะนำของไปได้ จะเห็นได้ว่าผู้ซ่อนสมบัติเคารพสำนักหนานอู๋ขนาดไหน เพียงแต่ความสัมพันธ์ที่อยู่ในนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ เกรงว่าคงจะมีเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
ตอนนี้พ่อมาขบคิดถึงประโยค ‘กลางร่องรอยความเจ็บปวดของหนานอู๋’ อีกครั้ง ก็มีอีกความหมายหนึ่งที่ลึกซึ้งจริงๆ หวนคิดถึงความหมายอันลึกซึ้งด้วยจิตใตที่หดหู่
“ใครกันน่ะ?”
เสียงตะโกนที่แหลมเล็กดังขึ้น เงาคนสามคนแฉลบผ่านมา เป็นหง ลั่วและอวี่นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ทั้งสามไล่ตามเหมียวอี้ไปตลอดทาง แต่กลับหาเงาของเหมียวอี้ไม่เจอ ใครจะคิดว่าพอหาจนทั่วแล้วกลับมาที่นี่อีกถึงได้บังเอิญเจอแล้ว
เหมียวอี้ดึงสติกลับมา พอเห็นการแต่งกายของทั้งสามคน ก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มาเก็บเมิ่งถัวหลัว เขายังไม่รู้ที่มาที่ไปของคนพวกนี้ชัดเจน กูไม่อยากเกิดความขัดแย้งอะไรกัน บวกกับได้สมบัติมาไว้ในมือแล้ว จึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวพุ่งขึ้นฟ้าไปเลย มุ่งตรงไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
“อยู่นี่นะ!”
ทั้งสามตะโกนซ้ำๆ นอกจากจะไล่ตามไม่หยุดแล้ว ยังรีบหยิบระฆังดารามาติดต่อกับคนอื่นๆ ในสำนักอีก
ผ่านไปไม่นาน ตามจุดต่างๆ ของดาวพิษก็มีคนโผล่มาอีกยี่สิบกว่าคน รีบเร่งตามมา ทยอยกันห่อขึ้นไปบนท้องฟ้า
เหมียวอี้กำลังเดินทางอยู่ในดาราจักรหันกลับมามองเป็นระยะ รู้สึกโมโหนิดหน่อย ตัวเองไม่ได้ไปหาเรื่องคนพวกนี้ อยู่ดีๆ จะมาไล่ตามตนทำไม?
มีอยู่จุดหนึ่งที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือคนพวกนี้เหมือนจะมีวรยุทธ์พอๆ กับเขา ความเร็วตอนไล่ตามก็ไม่ได้แย่กว่า เขารู้สึกวู่วามอยากจะลงมือ
แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาเหาะไปยังจุดที่เหยียนซิวซ่อนตัวอยู่ ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหยียนซิว
พอบุกเข้ามาในแนวเทือกเขาของดาวเคราะห์ที่เหยียนซิวซ่อนตัว เหมียวอี้ก็รีบถลันตัวเข้าไปซ่อนในนั้น
หง ลั่วและอวี่ไล่ตามไม่หยุด ขณะกำลังจะค้นหาตรงจุดที่เหมียวอี้หายไป จู่ๆ เงาคนคนหนึ่งก็ถลันลงมาจากข้างบน มาขวางทั้งสามเอาไว้กลางอากาศ แล้วตะคอกว่า “พวกเจ้าเป็นใครกัน?” คนถามก็คือเหยียนซิวนั่นเอง
ทั้งสามหยุดอย่างกะทันหัน แล้วมองประเมินเหยียนซิวศีรษะจดเท้า และหน้าตาของเหยียนซิวก็ไม่ได้น่าเอ็นดูอยู่แล้ว เพียงแต่พอเห็นว่าเหยียนซิวแต่งตัวเหมือนปุถุชน ศิษย์พี่หงจึงกล่าวเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าสองคนรีบไปตรวจสอบ”
ตอนที่ศิษย์น้องลั่วกำลังจะถลันตัวเข้าไป ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นฝ่ายปรากฏตัวออกมาก่อนแล้ว ตะคอกถามว่า “ผู้ที่มาเป็นใคร?”
แน่นอน ผ้าดำที่ใช้คลุมร่างกายถูกถอดทิ้งแล้ว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว
ดวงตาของเหยียนซิวฉายแววเคารพนับถือ ถอยกลับมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วบอกว่า “นายท่าน สงสัยจะหลบไม่พ้นแล้ว คนพวกนี้คงจะไม่ยอมเลิกราถ้าไม่ได้ฆ่าพวกเรา”
หง ลั่วและอวี่มองไปยังทิศทางที่เหมียวอี้จากมา พอได้ยินคำเรียกว่า ‘นายท่าน’ พวกนางก็ระแวงสงสัยและทำท่าอยากจะตะโกนถาม แต่ใครจะคิดละว่าเหมียวอี้จะกล่าวอย่างโมโหแล้ว “ได้! นึกว่าหนีไม่พ้นแล้ว ก็สู้ตายให้เหมือนปลาเจาะแหก็แล้วกัน หนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีอยู่นี่แล้ว ใครจะกล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งไหม!” พูดจบก็โบกมือช้อนทวนเกล็ดย้อนขึ้นมาชี้ทั้งสามอย่างเกรี้ยวกราด
แม่ทัพภาคตลาดผีหนิวโหย่วเต๋อ? คนคนนี้คือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ? หง ลั่วและอวี่อึ้งนิดหน่อย คิดตามไม่ค่อยทันว่านี้มันเรื่องอะไรกันแน่
ศิษย์พี่หงถามอย่างค่อนข้างตะลึงว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อ แม่ทัพภาคตลาดผีฝั่งตำหนักสวรรค์เหรอ?”
เหมียวอี้ชี้ทวนพลางแสยะยิ้ม “รู้แล้วยังจะแกล้งถามทำไม ไล่สังหารจากดาวฮุ่ยหลินมาจนถึงที่นี่ อยากจะเอาชีวิตหนิวไม่ใช่เหรอ? เข้ามาได้เลย!”
ไล่สังหารจากดาวฮุ่ยหลินมาที่นี่อะไรกัน? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก
ในขณะนี้เอง ข้างหลังก็มีศิษย์ร่วมสำนักทยอยกันมาถึง มาช่วยทั้งสามล้อมเหมียวอี้กับเหยียนซิวเอาไว้ตรงกลาง ในมือของแต่ละคนถือตรีศูล
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร คนที่เพิ่งมาจากดาวพิษเมื่อครู่นี้คือเจ้ารึเปล่า?” ศิษย์พี่หงถามเสียงต่ำ
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ดาวพิษอะไรกัน อย่ากระบิดกระบวนนักเลย! แต่ละคนซ่อนหัวหดหางไม่กล้าเจอหน้าใครเหรอ? พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”
ศิษย์พี่หงดึงผ้าคลุมศีรษะสีดำออก ผมงามแผ่สยาย เผยใบหน้าที่สวยเลิศล้ำ “ชางหง ศิษย์ของพุทธะหน้าหยก ได้รับคำสั่งจากท่านพุทธให้มาเก็บสมุนไพรที่ดาวพิษ อาตมาจะถามอีกครั้ง คนที่ออกมาจากดาวพิษเมื่อครู่นี้คือเจ้าใช่มั้ย?”
กลุ่มศิษย์พี่ศิษย์น้องพากันถอดผ้าโพกศีรษะ ถอดผ้าสีดำทิ้ง เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา แต่ละคนเรียกได้ว่าสวยหยาดเยิ้ม โดยเฉพาะลักษณะการแต่งตัว ช่างร้อนแรงยั่วยวนจริงๆ เปิดเผยเรือนร่างพอสวมควร หน้าอกขาวดุจหิมะและต้นขาขาวผ่องแทบจะโผล่ออกมาเกินครึ่ง ถ้ามองนานๆ ก็ทำให้เลือดลมสูบฉีดได้ ขนาดเหมียวอี้เห็นแล้วยังเหม่อ คนกลุ่มนี้แต่งตัววาบหวิวยิ่งกว่าจางเทียนเซี่ยวเสียอีก
เหมียวอี้กับเหยียนซิวอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก สงสัยนิดหน่อยว่าผู้หญิงพวกนี้เป็นคนสำนักพุทธจริงเหรอ?
“พุทธะหน้าหยก? มิน่าล่ะถึงได้ใจกล้าขนาดนี้!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อไปหาโค่วเจิงโดยตรง ขอความช่วยเหลือ!
จวนตระกูลโค่ว โค่วเจิงที่กำลังฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิได้รับข่าวขอความช่วยเหลือจากเหมียวอี้ เรียกได้ว่าตกใจมาก รีบวิ่งออกมาจากห้องสมาธิทันที บุกตรงไปยังเขตหวงห้ามด้านในของจวนตระกูลโค่ว
โค่วหลิงซวีก็กำลังฝึกตนอยู่เช่นกัน พอถังเฮ่อเหนียนที่ขวางโค่วเจิงไว้ข้างนอกได้ยินเรื่องนี้ ก็ตกตะลึงมากเช่นกัน จึงเข้ามารายงานโดยไม่ลังเล
ผ่านไปไม่นาน โค่วหลิงซวีก็เดินออกมาจากตำหนักใหญ่ ขณะที่เดินลงบันได้ ก็ตะโกนถามโค่วเจิงที่ยืนรออยู่ตรงบันไดว่า “มีเรื่องอะไร?”
โค่วเจิงกุมหมัดคารวะ “ตามที่หนิวโหย่วเต๋อ เขาเที่ยวเล่นที่แดนสุขาวดีไปจนถึงดาวฮุ่ยหลิน ถูกศิษย์คนหนึ่งในดาวฮุ่ยหลินที่ชื่อว่าไป่ลิ่วหลอกล่อให้ไปยังสถานที่ลับตาคน ล่อให้ติดกับดักล้อมสังหาร อันตรายถึงชีวิต หลังจากสู้ตายจนรอดออกมาแล้ว ก็หนีออกจากดาวฮุ่ยหลินทันที ใครจะคิดว่าพอหนีมาถึงบริเวณดาวพิษ ก็ถูกศิษย์ของพุทธะหน้าหยกล้อมไว้อย่างไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดอีก ฝ่ายตรงข้ามมีคนเยอะจึงได้เปรียบกว่า สถานการณ์อันตราย จึงขอความช่วยเหลือจากทางบ้านอย่างเร่งด่วน!”
โค่วหลิงซวีหันกลับไปมองถังเฮ่อเหนียนอีกครั้ง “เจ้าคิดว่ายังไง?”
ถังเฮ่อเหนียนขมวดคิ้วกล่าวอย่างลังเล “จากดาวฮุ่ยหลินไปดาวพิษเหมือนจะห่างไกลกันอยู่นะ ตอนที่เขาหนีออกจากดาวฮุ่ยหลิน ทำไมถึงไม่บอกตระกูลสักคำ ดึงดันจะรอถึงตอนนี้ให้ได้?” แล้วก็ถามโค่วเจิงอีก “หนิวโหย่วเต๋อได้เปิดเผยตัวเองหรือเปล่า?”
“เขาบอกว่าเขาเปิดเผยแล้ว แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมหยุด” โค่วเจิงตอบ
“หึหึ! อวี้หลัวช่าคิดจะทำอะไร? คิดว่าตาแก่คนนี้นั่งหัวโด่อยู่เฉยๆ รึไง?” โค่วหลิงซวีเดือดจนหัวเราะประชด หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวี้หลัวช่าเพื่อยืนยันทันที อวี้หลัวช่าก็คือพุทธะหน้าหยกนั่นเอง เขายืนยันด้วยตัวเองว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงหรือไม่
ส่วนอวี้หลัวช่าที่อยู่ฝั่งแดนสุขาวดี พอได้ข่าวจากโค่วหลิงซวีก็ตกใจเหมือนกัน คนของตัวเองจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน แต่พอได้ยินว่าอยู่บริเวณดาวพิษก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วเหมือนกัน ถึงตาฝ่ายนางไปเก็บรวบรวมเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษพอดี นางจึงบอกให้โค่วหลิงซวีใจเย็น นางจะยืนยันกับฝ่ายตัวเองสักหน่อย
ดังนั้นชางหงที่กำลังล้อมเหมียวอี้จึงได้รับข่าวจากท่านอาจารย์เร็วมาก ถามว่านางกำลังเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต๋อใช่หรือไม่?
ตอบสนองเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ชางหงกัดริมฝีปากพลางจ้องเหมียวอี้ เมื่อครู่เพิ่งเห็นเหมียวอี้วางระฆังดาราไปได้ไม่นาน ฝั่งก็สะเทือนไปถึงท่านอาจารย์แล้ว ดูท่าแล้วน่าจะเป็นหนิวโหย่วเต๋อของฝั่งตำหนักสวรรค์จริงๆ คนที่มีเส้นสายหนุนหลังก็ดีอย่างนี้
นางรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมนิดหน่อย หลังจากยืนยันไปแล้วว่าล้อมหนิวโหย่วเต๋อเอาไว้จริงๆ อาจารย์ก็ตำหนินางไปยกหนึ่ง ทั้งยังบอกนางว่าอย่าทำซี้ซั้วด้วย
“ศิษย์พี่หง…” ชางลั่วกับชางอวี่มาขนาบชางหงไว้ตรงกลางอย่างค่อนข้างลำบากใจ เพราะอาจารย์สั่งให้พวกนางควบคุมชางหงเอาไว้ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสังหารลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่ว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ถ้ายังตรวจสอบเรื่องนี้ไม่ชัดเจนและยังยืนยันไม่ได้ว่าชางหงมีเอี่ยว ชางหงก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะมีอิสระ
ชางหงกัดฟันก้มหน้าเงียบๆ ปล่อยให้ศิษย์น้องทั้งสองควบคุมตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองโดนมัดแล้ว
นางรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจนอยากร้องไห้ นางมีใจที่เที่ยงธรรมแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นไปล่วงเกินคนมีเส้นสายหนุนหลัง จนตัวเองต้องได้รับความอัปยศต่อหน้าฝูงชน
แน่นอน ฝั่งนี้รายงานไปแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋ออาจจะบุกเข้ามาขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนกัน คนที่ล้อมเหมียวอี้เอาไว้ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยเหมียวอี้ไปถ้ายังไม่ได้ตรวจสอบให้ชัดเจน
พอพุทธะหน้าหยกได้รับคำตอบจากคนของตัวเอง ก็รีบให้คำตอบกับโค่วหลิงซวี
โค่วหลิงซวีตอบนางเพียงคำเดียวว่า เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควรแล้วกัน!
ตรงตีนบันได พอเห็นโค่วหลิงซวีเก็บระฆังดาราแล้ว ถังเฮ่อเหนียนก็เอ่ยถามว่า “นายท่าน สถานการณ์เป็นยังไงบ้างขอรับ?”
“เฮอะ!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “อวี้หลัวช่าบอกว่าคงจะเป็นเข้าใจผิด คนของนางสงสัยว่าหนิวโหย่วเต๋อไปที่ดาวพิษเพื่อขโมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เป็นเรื่องบังเอิญ ช่างหาข้ออ้างได้ดีนี่ เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น ที่ดาวฮุ่ยหลินมีคนวางกับดัก หนิวโหย่วเต๋อแทบจะหนีเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ ยังจะบังเอิญไปเจอกับคนของนางได้อีกเหรอ? มีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเสียที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าทางตำหนักสวรรค์มีใครสมคบคิดกับทางนั้นเพื่อลงมือ!”
ถังเฮ่อเหนียนกับโค่วเจิงสบตากันแวบหนึ่ง คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับยืนยันว่าหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในอันตรายแล้วจริงๆ
“ดูท่าแล้วน้องเขยก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน ทางนั้นวางกับดักได้ ก็แสดงว่าจะต้องเล่นงานให้ถึงตายให้ได้ แต่ใครจะคิดว่าน้องเขยก็ยังหนีรอด ท่านพ่อ ตอนนี้ทำยังไงดี พวกเราไม่มีทางตามไปทางนั้นได้ทันเวลาแน่ จะเกิดเรื่องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?” โค่วเจิงถาม
“นึกไม่ถึงว่าแดนสุขาวดีจะเข้ามาพัวพันกับฝั่งนี้ นี่กำลังอยากจะช่วยใครควบคุมข้ารึเปล่า? ถ้าอวี้หลัวช่าเก่งนักก็ลองลงมือดูสิ ข้าจะทำให้นางฟื้นฟูพลังปราณไม่ได้หนึ่งแสนปีเลย!” โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม แล้วเหล่ตามองถังเฮ่อเหนียน พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ถ่ายทอดคำสั่งทหารของข้าลงไป ส่งทหารทัพเหนือไปควบคุมวัดทั้งหมดของอวี้หลัวช่าที่อยู่ในอาณาเขตของเราเอาไว้ จับพระทั้งหมดเอาไว้ ใครกล้าขัดขืน ฆ่า!”
“นายท่าน จะอ้างเหตุผลอะไรในการเคลื่อนกำลังพล?” ถังเฮ่อเหนียนถาม
“หาคนที่เคยเกี่ยวข้องกับโจรกบฏมาสักสองสามคน บอกไปว่ามีคนชี้ตัวว่าพวกเขาสมคบคิดกับโจรกบฏ!” โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างสบายๆ แต่กลับเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของคนนับไม่ถ้วน นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ
ถังเฮ่อเหนียนพยักหน้า แล้วรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อดำเนินการทันที
โค่วหลิงซวีบอกอีกว่า “เจ้าใหญ่ พาลูกน้องไปแดนสุขาวดีด้วยตัวเองสักเที่ยว ถ้ายืนยันได้แล้วว่ามีใครรังแกคนของตระกูลโค่ว ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอะไรทั้งนั้น”
“ขอรับ!” โค่วเจิงเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
ตอนนี้พวกเหมียวอี้เหาะลงมาเหยียบบนพื้นแล้ว แต่คนรอบข้างที่มาล้อมไว้ก็ยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน
ชางหงที่ถูดมัดไว้อย่างแน่นหนากลับไม่ยอมแพ้ ยังแอบกำชับศิษย์ร่วมสำนักให้ตรวจสอบค้นหาให้ทั่ว
ศิษย์ร่วมสำนักกลับมารายงาน บริเวณใหญ่เคียงไม่พบใครทั้งนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าหนีไปแล้วตอนที่พวกนางมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า แม้แต่ชางลั่วกับชางอวี่ก็ยังสงสัยว่านี่คือเรื่องบังเอิญที่ทำให้เข้าใจผิดจริงๆ หรือเปล่า
ชางหงกลับจ้องเหมียวอี้พลางกัดฟันไม่เลิก ภายใต้ความอัดอั้น นางมั่นใจว่าคนคนนั้นคือเหมียวอี้
…………………………